ตอนที่ 149 ผลสอบ
ณ โรงเรียนฮันเตอร์เซนต์อมตะ
สนามโล่งหน้าอาคารเรียนขนาดใหญ่ของโรงเรียนฮันเตอร์เซนต์อมตะอัดแน่นไปด้วยผู้คนหลายวัย แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาววัยเยาว์ที่กำลังวนเวียนเบียดเสียดกันเข้าไปดูป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่แสดงรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาคปฏิบัติเพื่อเลื่อนระดับเป็นฮันเตอร์แรงค์ D โดยเรียงชื่อตามพยัญชนะ
เหนือภพเบียดเสียดพาร่างสูงเพรียวของตัวเองฝ่าฝูงชนที่มีทั้งผู้เข้าสอบและคนทั่วไปที่อยากรู้อยากเห็น เขาต้องทนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ส่งเสียงเซ็งแซ่วุ่นวาย
“หลบหน่อย ขอทางให้ข้า”
“ไอ้พวกข้างหน้าน่ะ ดูเสร็จแล้วก็รีบออกมา อย่ามายืนขวางทางคนอื่น”
“เอ็งอย่ามาดันข้าสิ”
“หลบหน่อย”
เหนือภพพูดแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างอึดอัด เมื่อเขาหาช่องทางเข้าไปถึงป้ายพยัญชนะหมวด ห หีบไม่ได้ เหนือภพจึงหมุนคออย่างหงุดหงิด
“หลบให้ข้าหน่อย”
เหนือภพส่งเสียงบอกคนข้างหน้า ทว่าชายวัยกลางคนข้างหน้าหันหลังกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“จะเอายังไงเจ้าหนุ่ม อยากตายหรือไง”
“ช่างเขา พ่อบ้าน ข้าดูเสร็จแล้วไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มรูปร่างดี สวมใส่เสื้อผ้าภูมิฐานที่อยู่ด้านหน้าพ่อบ้าน เอ่ยปากเพียงเท่านั้นก็เคลื่อนตัวจากไป ทำให้ชายวัยกลางคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อบ้าน ไม่แสดงท่าทีก้าวร้าวอีก แต่สายตาเขายังจับจ้องเหนือภพไม่วางตา จนกระทั่งเขาเดินลับสายตาไป
เหนือภพจ้องมองตามขณะที่พึมพำออกมาว่า “คิดว่าจะแน่”
“เหนือภพ !” สมุทรร้องเรียกเสียงดังเมื่อเห็นเหนือภพ เขาพยายามเบียดเสียดฝูงชนเข้าไปหาสหายรักทันที
“เจ้ายังไม่ได้ดูอีกเหรอ”
“ยัง ไม่คิดว่าคนชื่อพยัญชนะเดียวกับข้าจะมีมากขนาดนี้ นี่ข้ารอมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ข้ายังไม่ได้ดูเลย เจ้าเป็นมือธนูนี่นา สายตาเจ้าต้องดีมาก ช่วยดูให้ข้าหน่อย”
สมุทรได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า
“ได้”
นัยน์ตาของสมุทรแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเปล่งประกาย ป้ายที่อยู่ห่างจากพวกเขานับร้อยเมตรชัดแจ้งในดวงตาของสมุทร สมุทรไล่มองทีละป้าย ทีละตัวอักษรจนกระทั่งจบทั้งสิบป้าย เขากลอกตาไปมามองซ้ำอยู่หลายครั้ง แล้วใบหน้าเขาก็ขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นไง เห็นชื่อข้าไหม” สมุทรลังเลที่จะให้คำตอบแก่เหนือภพ เพราะในป้ายทั้งสิบไม่มีชื่อของเหนือภพเลย สมุทรส่ายหน้าช้า ๆ
“ข้าไม่เห็น เดี๋ยวข้าดูให้ใหม่”
เหนือภพนิ่วหน้า “ไม่ต้องข้าดูเอง”
เหนือภพรู้สึกหวิว ๆ ในใจ ไม่มีชื่อเขาในบัญชีรายชื่องั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร เขามั่นใจว่าเขามีความสามารถมากกว่าฮันเตอร์แรงค์ D ด้วยซ้ำ และเพื่อที่จะตอบคำถามสิ่งที่เขาได้ยินมา เหนือภพกระทืบเท้าลงพื้น ตูม !! แรงกระแทกทำให้เหล่าผู้คนกระเด็นล้มระเนระนาดไปกับพื้น ขณะที่เหนือภพเคลื่อนตัวกระโดดไปตามช่องว่างมุ่งตรงเข้าหาป้าย
เหนือภพจ้องดูมันทีละป้าย ทีละป้าย บรรยากาศรอบตัวของเขาแลดูอึมครึมและอันตราย จนผู้คนที่ตั้งใจจะเข้ามาจู่โจมเหนือภพไม่กล้าทำอะไร พวกเขาได้แต่พูดก่นด่าเพียงเท่านั้น
“เงียบ !” เสียงตะโกนจากเหนือภพเป็นสาเหตุทำให้พวกคนที่ทรุดล้มลงและได้บาดเจ็บนั้นค่อย ๆ เบาเสียงลง
“ภพ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
สมุทรถามเหนือภพด้วยความเป็นห่วง เขารับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบตัวของเหนือภพอบอวลไปด้วยพลังงานด้านลบ มวลพลังงานนั้นหนาแน่นจนขวางกั้นระหว่างสมุทรกับเหนือภพเอาไว้
เหนือภพไม่ตอบอะไร เขาเพียงจ้องมองแต่ละป้ายนิ่งอยู่อย่างนั้น และเขาถึงขนาดหักโค่นป้ายเพื่อที่เขาจะได้เอามานั่งยอง ๆ ดูมันชัด ๆ ซ้ำหลาย ๆ ครั้งด้วยความเงียบงัน
ไม่มีชื่อเหนือภพจริง ๆ
หากเป็นเหนือภพในวันวาน เขาคงจะไม่แยแสกับระบบระเบียบการจัดลำดับบ้าบอนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์คือของปลอม ความสามารถสิของจริง แต่ในวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว อนาคตที่เขาวาดฝันไว้กับพราวจันทร์จะเป็นจริงไม่ได้ ถ้าหากว่าเขาไม่เล่นตามกติกาของสังคม เขาจะต้องเป็นฮันเตอร์แรงค์ D ที่สามารถทำภารกิจระดับสูง และสามารถก่อตั้งบ้านฮันเตอร์ของตัวเอง ทว่าในตอนนี้ทั้งหมดที่เขาวาดฝันกลับแตกสลายไปอย่างรวดเร็วราวกับฟองสบู่
เหนือภพตัดสินใจเดินย้อนกลับด้วยสภาพคอตก ก้มหน้ามองดิน ไหล่ห่อลู่ลง พลังงานด้านลบอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากความรู้สึกผิดหวังของเขา ส่งผลให้ผู้คนถอยหลบแหวกช่องให้เหนือภพเดินกลับออกไปแต่โดยดี
“พี่คะ”
เหนือฟ้าปรากฏตัวขึ้นข้างกายเหนือภพ เธอรู้ตั้งแต่เช้ามืดแล้วว่าพี่ภพของเธอสอบไม่ผ่าน ดังนั้นเธอจึงมาปรากฏตัวที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวคือการปลอบใจพี่ชายเพียงคนเดียวของเธอ ยิ่งพอได้เห็นอาการผิดหวังของพี่ชายก็ทำให้น้องสาวอย่างเธอเป็นกังวลอย่างมาก แต่ไม่ว่าเหนือฟ้าจะส่งเสียงเรียกพี่ชายของเธอเท่าไหร่ พี่ชายของเธอก็ไม่ยอมหันกลับมา
“พี่คะ พี่คะ หยุดก่อนค่ะ พี่คะ”
แม้ว่าเหนือภพจะมีท่าทางหมดอาลัยตายอยากแบบนั้น แต่เขาก็ยังมีสติพอที่จะได้ยินเสียงน้องสาวที่รักที่เขาปรารถนาจะพบเจอมาโดยตลอด ทว่าในเวลานี้เขากลับไม่กล้าเงยหน้ามองเธอ เขาทำให้น้องสาวและเมียจ๋าต้องผิดหวัง เขากลัวว่าชาวเมืองจะนินทาน้องสาวที่รักของเขา เด็กสาวผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศที่สามารถเป็นฮันเตอร์แรงค์ C ได้ตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่กลับมีพี่ชายไร้พรสวรรค์ที่สอบไม่ผ่านแรงค์ D ดังนั้นเหนือภพจึงเมินเฉยทำเป็นไม่รู้จักเหนือฟ้า แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ร้านพี่พล
สมุทรและเหนือฟ้าได้แต่มองเหนือภพเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่คิดจะตามไป พวกเขาเข้าใจว่าเหนือภพคงต้องการอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนอะไรบางอย่าง
“เอ๋ นั่นพี่ภพนี่ เขาเป็นอะไรหรือครับพี่”
ทิวเห็นท่าทางแปลก ๆ ของเหนือภพ จึงเดินเข้าสอบถามสมุทร ขณะที่ในมือยังถือไก่ย่างรสเด็ด
“สอบไม่ผ่านน่ะ คงเสียใจล่ะมั้ง”
“ไม่มั้ง พี่ภพคงไม่เสียใจอะไรกับเรื่องแบบนี้หรอก พี่เขาออกจะเก่ง ข้าคิดว่าข้อสอบอาจจะมีข้อผิดพลาด เอาไหม ?”
ทิวพูดจบก็ยื่นไก่ย่างห่อใบตองอีกอันให้กับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มอย่างเหนือฟ้า เหนือฟ้ายิ้มบาง ๆ แล้วก็รับมันมาอย่างไม่รังเกียจ
“ขอบคุณค่ะ พี่สมุทรเอาไหม”
สมุทรส่ายมือปฏิเสธ
“เรื่องกินเอาไว้ก่อน ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนบ้า ๆ อย่างเหนือภพจะมีอารมณ์ผิดหวังเป็นอย่างคนอื่นเขาด้วย”
เหนือฟ้าถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดราวกับคนเจนโลกว่า
“พี่หนูก็เป็นคนนะคะ”
สมุทรพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ส่วนทิวก็พยักหน้าตามไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขายังเชื่อมั่นว่าเหนือภพพิเศษกว่านั้น จะใช้คำจำกัดความว่า ‘คน’ เหมือนคนทั่ว ๆ ไปกับเหนือภพไม่ได้หรอก
ณ ร้านของพี่พล
“เหนือภพ ผลสอบเป็นยังไงบ้าง”
พี่พลยืดตัวขึ้นมาถาม เมื่อเห็นเหนือภพมาถึงหน้าร้าน เขาเองก็ลุ้นผลสอบไม่ต่างจากเหนือภพ เพราะหลังจากที่เขาออกจากวงการฮันเตอร์มา เขาก็ติดแหง็กอยู่ที่แรงค์ E แล้วก็ไม่เคยได้ไปสอบเลื่อนระดับอีกเลย ดังนั้นเขาจึงคิดซะว่าเหนือภพเป็นตัวแทนของเขา แต่พอเขาเห็นหน้าแปลก ๆ ของเหนือภพ เขาก็พอจะเดาออก
“สอบไม่ผ่านสิท่า เอาน่า ๆ ครั้งแรกก็แบบนี้แหละ”
“ดูเหมือนพี่จะต้องหาทำเลตั้งร้านใหม่แล้วล่ะ”
เหนือภพหน้ามุ่ยขณะหักนิ้วตัวเองดังกร๊อบ ๆ ทำให้พี่พลที่อยู่หลังโต๊ะเก็บเงินรีบกระโจนโดดข้ามโต๊ะไม้ตัวใหญ่เข้ามาหาเหนือภพที่อยู่ยืนหน้าร้าน พร้อมจับมือของเหนือภพเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวอันตรายอย่างเหนือภพอาละวาด
“นี่น้องชาย ข้าล้อเล่น ข้าคิดว่าเจ้าต้องสอบผ่านแน่ ๆ”
“จริงเหรอ ? แล้วทำไมถึงไม่มีชื่อข้าล่ะ”
พลตาโตเมื่อรู้ว่าเหนือภพสอบตกจริง ๆ แต่เขาก็ต้องพูดปลอบใจเหนือภพ เพราะเขารู้ว่านี่เป็นการสอบครั้งแรกของเหนือภพ เหนือภพไม่เคยมีประสบการณ์สอบฮันเตอร์มาก่อน บางทีนี่อาจจะเป็นผลเสียของการเลื่อนระดับโดยใช้เส้นสาย
“มันอาจจะผิดพลาดก็ได้ เอาน่าใจเย็น ๆ ก่อน มีเรื่องอะไรเจ้าก็ลองถามที่สำนักงานฮันเตอร์สิ เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ นั่นสิ งั้นข้าไปก่อนนะ ฝากบอกเมียข้าด้วย เดี๋ยวข้ามา ข้าจะไปเอาอนาคตมาให้นางก่อน”
“อ่อ ได้ ๆ”
แล้วเหนือภพก็เดินจากไป ขณะที่พี่พลพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดอาวุธเคลื่อนที่ก็ออกจากร้านเขาไปเสียที
“พออารมณ์ไม่ดีเข้าหน่อย เอะอะก็ขู่จะทุบร้านข้าอยู่เรื่อย เฮ้อ เจ้าเด็กบ้านี่”
เหนือภพรีบเดินทางไปที่สำนักงานฮันเตอร์ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะไปถึงจุดหมายนั้น กลับมีคนขององค์หญิงบุษย์น้ำเพชรมาปรากฏตัวขวางเขาไว้เสียก่อน และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเวนไตย ผู้ไม่ชอบหน้าเหนือภพมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“มากับข้า คุณหนูรอเจ้าอยู่”
“นำไปสิ”
เหนือภพตอบสั้น ๆ แต่เขาแสดงท่าทางคล้ายกับเจ้านายกำลังสั่งลูกน้อง ทำให้เวนไตยถึงกับคิ้วกระตุก ยิ่งเขารู้ว่าภายในใจของคุณหนูนั้นสนใจตัวตนของเจ้าเด็กบ้านี่เพียงใด เขาก็ยิ่งเกลียดเหนือภพ ถ้าวันใดวันหนึ่งชีวิตเกิดพลิกผันฟ้าเล่นตลกทำให้เหนือภพต้องมาเป็นเจ้านายเขาอีกคน คงเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากเป็นแน่
“ข้าขอเตือนนะ เวลาคุยกับคุณหนูก็ระวังท่าทีของเจ้าด้วย สำเหนียกรู้ฐานะของตัวเองให้ดี อย่าคิดเป็นคางคกที่อาจเอื้อมตีตัวเสมอหงส์ฟ้า ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เวนไตยพูดอย่างจริงจัง แต่เหนือภพกลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เหนือภพยืนแคะหูก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตัดรำคาญ
“รู้แล้ว ๆ รีบพาไปสักที ข้ารีบ”
โชคดีที่องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรกำหนดจุดนัดหมายที่สำนักงานฮันเตอร์ ซึ่งเป็นจุดหมายที่เขาต้องการไปพอดี ดังนั้นเหนือภพจึงรู้สึกเบาใจ ไม่เร่งรีบเมื่อต้องพูดคุยกับองค์หญิง
“เจ้าให้เด็กรับใช้มาตามข้า มีธุระอะไรหรือเปล่า”
คำพูดไม่แยแสยศองค์หญิงและท่าทีของเหนือภพนั้นตรงข้ามกับที่เวนไตยพูดเตือนก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เหนือภพเดินเข้าไปใกล้จนไหล่ของเขาแทบจะชนกับไหล่ของบุษย์น้ำเพชร แถมเหนือภพยังถือวิสาสะจัดปอยผมเล็ก ๆ ที่หลุดออกมา ขึ้นไปทัดหูของเธอด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ ก่อนพูดต่อไปว่า
“เจ้าคงรู้ว่าข้าสอบไม่ผ่าน แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีปัญหา”
บุษย์น้ำเพชรตกใจกับท่าทีประหลาดของเหนือภพ ปกติเขาจะรักษาระยะห่างกับเธอ แต่วันนี้เขากลับเข้ามาใกล้ชิดมากจนหัวใจของบุษย์น้ำเพชรเต้นระส่ำ เวนไตยที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแอบกัดฟันกรอด ยิ่งเขาเห็นว่าเหนือภพเหลือบมองมาทางเขา แล้วยักคิ้วให้อย่างยั่วอวัยวะเบื้องล่างสุด ก็ทำให้เวนไตยแทบจะกระโจนเข้าไปสับเหนือภพเป็นชิ้น ๆ ทว่าปัญญาชนย่อมตอบโต้โดยไม่ใช้กำลัง
เวนไตยหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยกมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“เจ้าสอบไม่ผ่านเพราะโง่เองหรือเปล่า ถ้าคิดจะหาข้ออ้างล่ะก็ เปล่าประโยชน์”
คำพูดลอย ๆ ของเวนไตยทำให้เหนือภพหนังคิ้วกระตุก ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ อย่างไม่มั่นใจ
‘ไอ้เด็กตระกูลครุฑนี่มันดูถูกกันเกินไปแล้ว เอาเลยไหม’
พญานาคเอ่ยขึ้นอย่างร้อนตัว เพราะคำตอบกว่าครึ่งที่เหนือภพตอบในกระดาษคำตอบก็มาจากความคิดของพญานาคทั้งสิ้น พญานาคคือสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ทรงอำนาจทางด้านร่างกาย กำลัง และสติปัญญา ดังนั้นไอ้เด็กนี่ช่างกำเริบนัก
‘ใจเย็น ๆ ดูไปก่อน’
เหนือภพปลอบใจพญานาค ไม่ใช่เพราะว่ามีจิตใจดีงามเยี่ยงนักบุญหรอก แต่เขามีวิธีดีที่กว่าที่จะจัดการเวนไตยแล้วต่างหาก