ตอนที่ 5 วิญญาณภูตรัตติกาลในตำนาน
ตอนที่ 5 วิญญาณภูตรัตติกาลในตำนาน
ทันทีที่หลิงเฟิงจือกล่าวคำอธิบายเสร็จ เขาไม่รอช้าที่จะเหาะออกจากตำหนักด้วยวิชากระบี่เหินทันที เมื่อฉีหวนเงยหน้าขึ้นเพื่อจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็พบว่าหลิงเฟิงจือเหาะบนนภาไปไกลราวหลายร้อยไมล์แล้ว
ฉีหวนเห็นกระบี่บินของหลิงเฟิงจือเปล่งประกายแพรวพราวสีทองในนภา เธอก็กลืนน้ำลายพร้อมตระหนักว่า 'อีกนานไหมเนี่ย! กว่าฉันจะเหาะบนฟ้าด้วยกระบี่แบบเดียวกับเขาได้? โอ้ย!' เมื่อถึงคราวนั้นเธอนึกวางแผนไว้แล้วว่า เธอจะเลือกกระบี่ที่สง่างามและเฉิดฉายที่สุด จนเหล่ามังกรฟ้า หรือไม่ก็นกเฟิงหวงเห็นแล้วต้องยอมเป็นสาวกของเธอ โดยต้องมีฉีหวนบินนำหน้าเป็นนางเอกด้วยนะ...
แต่ทว่าบัดนี้ระยะทางระหว่างเธอกับขั้นวิชากระบี่เหินนั้นช่างห่างไกลยิ่งนัก เพราะฉะนั้นเธอควรเร่งปลูกฝังรากฐานเพื่อบรรลุขั้นกำเนิดลมปราณให้ได้เสียก่อน
ฉีหวนลากฟูกออกมาเพื่อนั่งท่าขัดสมาธิ พร้อมกับตั้งใจฝึกจิตตามขั้นตอนการกักขังพลังชี่ที่หลิงเฟิงจือสอนทุกประการ และก่อนจากไปเขากล่าวไว้อีกว่า ในอดีตเคยมีผู้ฝึกบ่มเพาะพลังด้วยคัมภีร์เล่มนี้สามารถบรรลุขั้นกำเนิดลมปราณโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น... ซึ่งบัดนี้เวลาผ่านไปราวสองเดือนแล้ว แต่ฉีหวนกลับยังคงคว้าน้ำแหลว และยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชี่ หรือลมปราณแม้แต่น้อย
"เฮ้อ!... หรือว่าฉันจะเป็นคนสมองช้าจริง ๆ ทำไมสวรรค์ถึงไม่เข้าข้างฉันบ้างเล่า!" ฉีหวนพึมพำพร้อมกับนั่งไขว้ขาบนเตียงแสนนุ่มราวกับกำลังคิดว่าตนเองเป็นเจ้าหญิง
หลิงเฟิงจือเห็นเยี่ยงนั้น จึงตระหนักว่า ไม่ควรนิ่งนอนใจอีกต่อไป เขาต้องทำสิ่งใดสักอย่างเพื่อให้ฉีหวนออกไปจากที่พำนักของเขาเสียที เพราะถ้าหากรอให้นางบรรลุขั้นจนหมดคัมภีร์ มีหวังชาตินี้คงไม่ได้ตำหนักคืนแน่ จากนั้นหลิงเฟิงจือก็ออกคำสั่งให้เหล่าสาวกประมาณหนี่งร้อยตนเร่งสร้างประสาทตามคำเรียกร้องของฉีหวนให้เสร็จในเวลาอันสั้นที่สุด ความจริงแล้วเธอชอบตำหนักทรงพีระมิดมากกว่า แต่น่าเสียดาย เพราะหลังจากสร้างตำหนักทรงประสาทเสร็จ หลิงเฟิงจือกับเธอก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีก...
"ช่างเถอะ! เลิกคิดเรื่องบ้าบอนี้สักที เอาเวลาไปนอนดีกว่า" ฉีหวนกลิ้งไปมาบนเตียง และซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน จนในที่สุดก็เผลอหลับ
เวลาผ่านไปไม่นาน หลังจากที่ฉีหวนกำลังเคลิบเคลิ้มไปในนิทรา ทันใดนั้นแสงสว่างสีครามอันเบาบางราวกับหมอกควัน ก็พุ่งกระจายออกมาจากร่างเธอ ด้วยปรากฏการณ์นี้ทำให้เส้นพลังชี่แห่งสวรรค์และพิภพไหลลงมาบรรจบกัน แล้วถูกดูดซับโดยหมอกสีครามที่กำลังลอยอยู่เหนือร่างฉีหวน กลวิธีดังกล่าวเกิดขึ้นวนซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งรุ่งเช้าควันที่เปล่งประกายสีครามก็พุ่งกลับเข้าร่างฉีหวนด้วยท่าทางอิดออดราวกับกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง
ในขณะเดียวกัน บนยอดเขาชิงหยุนอันแสนเงียบเหงา ชายชราสามตนกำลังจ้องมองไปยังจุดสูงสุดของยอดเขาที่มีตำหนักคล้ายปราสาทตั้งตระหง่านอยู่
"อุบ๊ะ! นี่ศิษย์พี่พบวิญญาณภูตรัตติกาลในตำนานงั้นรึ?! นั่น! ข้าว่าแล้ว! นางต้องไม่ธรรมดา! เพราะท่านไม่เคยรับผู้ใดเป็นศิษย์โดยงง่ายถึงเพียงนี้! อื้อหื้อ! สมแล้วที่นักพรตต่างให้ความเคารพท่าน"
"เจ้าก็ยกยอปอปั้นข้าเกินไป! มันก็แค่เพียงความบังเอิญเท่านั้น... ฮะฮ่าๆ!" แม้ว่าคำบอกกล่าวจะฟังดูช่างอ่อนน้อมถ่อมตน แต่น้ำเสียงและท่าทางนั้นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
วิญญาณภูตรัตติกาลเป็นกลยุทธ์พิเศษของผู้ฝึกที่สามารถดูดซับพลังชี่แห่งสวรรค์และพิภพได้ในยามสุริยาหลับไหล ซึ่งผู้ที่มีกลยุทธ์นี้จะสามารถบ่มเพาะพลังได้แค่ในยามราตรีเท่านั้น ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะอยู่ในนิทรา แต่จุดบ่มเพาะพลังลมปราณก็จะยังคงดำเนินการบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะย่ำรุ่ง ข้อได้เปรียบของผู้ได้รับกลยุทธ์นี้ก็คือประสิทธิภาพของลมปราณนั้นจะเข้มข้นและเหนืออำนาจกว่ามนุษย์ทั่วไปถึงสิบเท่า
นี่คือเหตุผลว่าทำไมผ่านมาตั้งสองเดือนแล้วฉีหวนถึงไม่รู้สึกว่ามีพลังชี่แม้แต่เส้นเดียวเข้าสู่ร่างกาย เพราะเธอพยายามปลูกฝังลมปราณแค่เพียงตอนกลางวันแสก ๆ แต่ไม่เคยลองฝึกบ่มเพาะในยามราตรีสักครั้ง ดังนั้นฉีหวนจึงไม่รู้ว่าตนเองผ่านการบ่มเพาะชั้นกำเนิดลมปราณและการวาดพลังชี่เข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานานแล้ว
บัดนี้ฉีหวนเดินทางมาถึงช่วงกลางของขั้นนักรบลมปราณอย่างรวดเร็ว หากอยู่ในโลกมนุษย์เธอคงได้รับพิจารณาให้เป็นปรมาจารย์ แต่ทว่าตอนนี้เธออยู่ในนิกายชิงหยุน เพราะฉะนั้นการตวัดนิ้วจากสาวกคนอื่นเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ฉีหวนถึงแก่ความตายได้
หลังจากที่เขาตระหนักว่าศิษย์ของตนถูกคัดเลือกจากสวรรค์ให้ได้รับกลยุทธ์หายากอันมีค่ามหาศาล ซูกงจือก็เร่งกลับไปยังยอดบรรพต และปล่อยให้เหล่าผู้อาวุโสตริตรอง และตะลึงถึงวัตถุโบราณนั้นต่อไป เขามีชีวิตอยู่มานานถึงสองพันปี มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะหาขุมทรัพย์ชิ้นนี้พบ เพราะฉะนั้นซูกงจือจึงต้องการสอนและปลูกฝังพลังนางทุกขั้นตอนด้วยตัวของเขาเอง
แม้ว่าซูงกงจือจะไม่สามารถเหยียบเหล่านิกายคุนหลุนให้จมดิน หรือทำลายยอดเขาซูซันให้แบนราบเป็นหน้ากลอง แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถอวดนาง ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนนิกายชิงหยุนได้อย่างเต็มภาคภูมิ!
ในขณะนั้นเมื่อซูกงจือพบว่าเธอกำลังศึกษาคัมภีร์เหนือมนุษย์ ใบหน้าเขาก็เริ่มแดงก่ำ เมื่อฉีหวนหันมาพบอาจารย์ผู้อาวุโสของเธอ ก็เห็นท่านกำลังเหวี่ยงกระบี่ทองคำและพุ่งเหาะออกไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว ฉีหวนเดาะลิ้นอย่างตื่นเต้น ราวกับไม่เคยเห็นชายชราจิตใจดีท่านนี้กลายร่างเป็นมังกรพ่นไฟมาก่อน...
เพียงหนึ่งชั่วโมงต่อมา สาวกนิกายชิงหยุนร่ำลือกันว่า มีอสูรโบราณตนหนึ่งมุ่งหน้าเดินไปทั่วบรรพต และระเบิดยอดเขาของผู้นำลัทธิจนเหลือเพียงเถ้าธุลีดินภายในพริบตา
ฉีหยุนที่อยู่บนเชิงเขาอีกฝั่งมองเห็นเหตุการณ์เพลิงไฟปะทุได้อย่างชัดเจน ถึงกระนั้นเธอกลับถูจมูกไปมาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก เนื่องจากเธอคิดว่าสิ่งที่ซูกงจือทำใส่หลิงเฟิงจือนั้นไม่ได้แปลกอันใด ในทางกลับกันเธอคิดว่าสมควรแล้วเสียด้วยซ้ำ
อันที่จริงหลังจากที่เธอเลือกคัมภีร์นั้น หลิงเฟิงจือได้บอกความลับเรื่องคัมภีร์นี้ให้ฟังแทบทุกอย่างแล้ว ทั้งที่เขาตระหนักไว้ว่าจะไม่มีทางบอกนาง แต่ฉีหวนเป็นมนุษย์ที่ขี้สงสัย และเฝ้าซักถามไปเสียทุกเรื่อง ทำให้หลิงเฟิงจือหมดความอดทนจึงกล่าวบอกนางให้จบ ๆ ไป ถึงกระนั้นฉีหวนก็ยังเลือกที่จะไม่เปลี่ยนคัมภีร์อยู่ดี และเธอก็ไม่ได้โง่ที่จะบอกซูกงจือตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นก็คงได้เปลี่ยนคัมภีร์ไปนานแล้ว
หลังจากที่ระบายอารมณ์จนสบายใจ ซูกงก็จับจ้องไปที่ฉีหวนเพื่อเฝ้าเกลี้ยกล่อมและรบเร้าเธอให้เปลี่ยนคัมภีร์ เนื่องจากซูงกงจือตั้งใจจะปลูกฝังวิชาคัมภีร์บรรพบุรุษชิงหยุนของตนที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุให้เธอสืบทอดต่อไป
แต่ทว่าฉีหวนกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย 'หึ! ในที่สุดท่านก็รู้สักทีว่าเรามีค่ามากมายมหาศาลแค่ไหน?! โธ่! ท่านผู้เฒ่า... มันสายเกินไปแล้วล่ะ ท่านเลือกที่จะทิ้งฉันไว้และจากไปอย่างไม่ใยดีเอง! ต่อไปนี้ก็ถือว่าชดใช้ในสิ่งที่ท่านทำไว้กับฉันแล้วกันนะ!'
ฉีหวนยึดมั่นกับความคิดนั้นพร้อมกับเมินซูกงจือเป็นเวลาถึงสองวัน ในที่สุดซูกงก็หมดความอดทน เขาจึงเชิญศิษย์พี่ผู้อาวุโสทั้งสองลงยอดบรรพตมาจัดการ ศิษยพี่ทั้งสองรู้เรื่องเช่นนั้นจึงมองหน้ากันพร้อมกับตระหนักว่า 'มันสมเหตุสมผลแล้วงั้นรึ?! ข้าเป็นถึงปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพิภพแห่งเทพอมตะ และเป็นอาจารย์เก่าแก่ที่มีชีวิตยาวนานมากถึงสองพันปี แล้วเจ้าเด็กนั่นเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดข้าถึงต้องลดตัวไปเผชิญหน้าด้วย?!'
ศิษย์พี่ผู้อาวุโสทั้งสองค่อนข้างฉุนเฉียวก่อนที่จะปรากฏตัวด้วยกระบี่ทองคำที่บินพุ่งเข้ามาในตำหนักฉีหวนอย่างแรง เธอตกใจมากจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
ผู้อาวุโสทั้งสองต่างพยายามข่มอารมณ์ และกล่าวชักแม่น้ำทั้งห้า แต่ทว่ากลับต้องพ่ายแพ้วาจาของฉีหวนที่กล่าวออกมาเพียงประโยคเดียว "ในเมื่อท่านผู้อาวุโสทั้งสามเป็นถึงปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพิภพเทพอมตะ เหตุใดพวกท่านถึงไม่เอาเวลาที่ตามราวีข้าน้อย ไปคิดหาหนทางตามหา 'วิชาเหนือเทวาลัย' และ 'วิชาเหนือพิภพ' กันเล่า คัมภีร์แห่งตำนานจะได้สมบูรณ์เสียที!!"
ด้วยประโยคข้างต้นทำให้ชายชราผู้อาวุโสทั้งสองเหาะจากไปอย่างไร้ซึ่งคำพูดใด บัดนี้เหลือเพียงซูกงจือที่ยืนทำหน้าสลดราวกับกำลังกลั้นน้ำตาต่อหน้าศิษย์ของตนที่กำลังยิ้มแย้มอย่างอบอุ่น
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากได้มันคืน หรือว่าไม่มีพละกำลังมากพอ แต่อีกฝ่ายนั้นก็แข็งแกร่งไปไม่น้อยกว่าพวกเขาเช่นกัน และอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ วิชาทั้งสองแยกกันอยู่ในนิกายบ่มเพาะเวทปีศาจ... ซึ่งคัมภีร์วิชาเหนือเทวาลัยอยู่ในความครอบครองของนิกายเทพอสูร และคัมภีร์วิชาเหนือพิภพอยู่ในความครอบครองของนิกายภูตผี
แม้ว่าท่านผู้อาวุโสทั้งสามจะสามารถต่อต้านศัตรูได้ราวสิบคนต่อครั้ง ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถรับมือกับนิกายเวทปีศาจทั้งสองอยู่ดี เนื่องจากวิชาเวทปีศาจสามารถสร้างสาวกออกมาได้ราวหมื่นคนต่อครั้ง แต่พลังของท่านผู้อาวุโสทั้งสามรวมกันกลับยังไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำ ถ้าหากให้นิกายทั้งสองถ่มน้ำลายใส่พวกเขาคนละที บัดนี้ทั้งสามท่านคงจมน้ำลายสิ้นชีพไปแล้ว
เดชะบุญที่ซูกงจือหมั่นฝึกขั้นวิชามาเป็นเวลานาน ทำให้เขาพอทราบอยู่ว่าบนฟากฟ้าเทวาลัยนั้นมิมีสิ่งใดสามารถคาดเดาได้ ผู้ใดจะรู้ บางทีการตัดสินใจของฉีหวนครั้งนี้ อาจพลิกผันชะตากรรมจนทำให้คัมภีร์สามารถกลับมาสมบูรณ์แบบเช่นเดิมก็เป็นได้...
แต่นี่เป็นเพียงการเคาเดาในแง่ที่เข้าข้างตนเองที่สุดเท่านั้น นอกจากนี้ฉีหวนจะต้องศึกษาถึงขั้นจอมทัพลมปราณให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน คงอีกไม่นานเกินรอแน่นอน ซึ่งตามที่ซูกงจือคาดไว้ก็น่าจะใช้เวลาเพียงสองร้อยปีเป็นอย่างต่ำเท่านั้นเอง... เห็นไหมไม่ต้องรีบ... ไม่ต้องรีบเลย...