ตอนที่ 148 หัวหน้าครอบครัว
“หึ อะไรกัน”
เหนือภพเอ่ยอย่างนึกขัน พลางคว้าตัวเธอใต้ผ้าห่มมากอดไว้แนบแน่น เขาไม่คิดว่าหญิงสาวที่คุ้นเคยกับหอนางโลมเป็นอย่างดี จะยังมีความเหนียมอายอะไรแบบนี้ด้วย แล้วเขาก็กระชากผ้าห่มออกจากใบหน้าของเธอ
“ไม่ต้องอายข้าหรอก พราว เอ่อ กลิ่นจันทน์”
เหนือภพพูดตะกุกตะกักด้วยความสับสน เขาไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกเธอด้วยชื่อไหนดี เธอคือกลิ่นจันทน์ก็จริง แต่เขาคุ้นเคยกับเธอที่อยู่ในรูปลักษณ์พราวจันทร์เสียแล้ว
พราวจันทร์หัวเราะขำท่าทีคิดไม่ตกของสามี
“พี่จะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้”
“อืม...”
เหนือภพยังคิดไม่ตกว่าจะเรียกเธอว่าอะไรดี ระหว่างนั้นเขาก็ลูบไล้ตัวเธอเล่น เพียงครู่เดียวการลูบอย่างสะเปะสะปะก็เริ่มจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ มือของเหนือภพซุกซนอย่างที่เขาเองก็คาดไม่ถึง ราวกับว่ามือทั้งสองมีจิตใจเป็นของตัวเอง พวกมันขยับเลื้อยไปมาบริเวณผิวกายส่วนที่นุ่มลื่นที่สุด แล้วขยับย้ายไปยังจุดที่นูนเต่งตึงทั้งข้างบนข้างล่าง
พราวจันทร์ครางเสียงกระเส่า สลับกับบิดกายไปมาอยู่ใต้ผ้าห่ม เตียงไม้เก่าแก่ส่งเสียงประท้วงเล็กน้อย ราวกับเตือนคนทั้งคู่ว่าอีกไม่นานมันจะแหลกสลายแล้ว เสียงหอบหายใจหนักของทั้งคู่ดังก้องสะท้อนไปทั่วห้องขนาดเล็ก มันเล็กขนาดที่คนสี่คนไม่อาจอยู่รวมกันในนี้ได้ พวกเขาคงจะหายใจไม่ออก
“งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า..เมียจ๋า ดีมั๊ย”
เหนือภพพูดเสียงกระเส่า พลางมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มเพื่อดมกลิ่นกายของเธออย่างใกล้ชิด พราวจันทร์ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะกับคำเรียกแสนหวานนั้น เธอหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนตอบ
“ค่ะ ท่านพี่”
“ท่านพี่เลยรึ” เหนือภพชะงักด้วยความไม่คุ้นเคย ไม่เคยมีใครเรียกเขาว่าท่านพี่มาก่อน
“อื้ม ก็ท่านพี่คือสามีของข้าและเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย”
“หัวหน้าครอบครัว ?”
เหนือภพดึงตัวออกมาจากผ้าห่มแล้วนอนก่ายหน้าผากทันที ท่าทางของเปลี่ยนไปเป็นคนหมดอาลัยตายอยากในฉับพลัน จนพราวจันทร์ตกใจ
“ท่านพี่เป็นอะไร”
“เห้อ ข้าไม่รู้ว่าข้าจะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ดีแค่ไหน ข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้เหนือภพจะใฝ่ฝันถึงเงินมาโดยตลอด แต่เขาก็รู้เพียงว่ามีเงินเยอะ ๆ จะทำให้ชีวิตดีขึ้น เอาเข้าจริงเขาก็ไม่เคยคิดอย่างจริงจังเลยว่าต้องหาเงินได้เท่าไหร่มันถึงจะพอ เพราะกงล้อมหาภัยนั่นสูบเงินของเขาไปอย่างกับอสูรวาฬอ้าปากสูบน้ำ
“ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน ขนาดตอนท่านพี่เป็นเด็ก ท่านพี่ยังสามารถดูแลครอบครัวได้เลย”
พราวจันทร์พลิกตัวกลับมากอดเหนือภพอย่างให้กำลังใจ เหนือภพกอดเธอกลับและจ้องมองเธอด้วยความจริงจัง เขาเองก็อยากจะให้เธอเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย และเลี้ยงเธอให้สุขสบายได้
“อืม แต่ข้าก็พอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าพอมั๊ย”
พราวจันทร์มองหน้าสามีของเธอแล้วก็ยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี เธอก็คงต้องรับหน้าที่เป็นมันสมอง คอยส่งเสริมเขาอยู่เบื้องหลัง โดยมีเขาเป็นคนบุกตะลุยกรุยทางไปข้างหน้า
“ท่านพี่ ยังไงพวกเราก็ถือเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ข้าอยากจะรู้ว่าตอนนี้ทรัพย์สินของเรามีอะไรบ้าง เผื่อมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ ข้าก็จะทำอย่างเต็มที่”
“อ้อ ใช่เลยเมียจ๋า”
จากนั้นเหนือภพก็เล่าให้พราวจันทร์รับรู้ว่าเขามีแผนที่ขุมทรัพย์ของขุนศรีไชยยะ ที่เขาไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะเขาเข้าใจดีว่าคนที่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างขุนศรีไชยยะคงไม่มีเงินเก็บมากนักหรอก และเขาก็ยังมีแร่หกสีอีกประมาณ 30 ก้อนที่ฝากไว้บนหลังแมวราตรีที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปเป็นตายร้ายดีที่ไหน เขาติดต่อมันไม่ได้มาหลายสัปดาห์แล้ว
พราวจันทร์อ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินว่าเหนือภพมีแร่หกสีในครอบครองมากขนาดนั้น
“ข้ารู้ว่าท่านพี่สามารถทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายของใคร ๆ แต่นี่มันแร่หกสีเชียวนะ ท่านทำได้ยังไง แล้วท่านที่จะปล่อยมันไว้กับแมวที่ตอนนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้หรอคะ”
เหนือภพถอนหายใจเบา ๆ พลางลูบไหล่พราวจันทร์ที่กำลังหนุนแขนเขาอยู่
“ไม่ต้องกังวล มันยังเป็นของเรา ไม่ว่าเจ้าแมวนั่นจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะตามล่าหาตัวมันให้พบอยู่ดี”
จากนั้นเหนือภพก็เล่าให้พราวจันทร์ฟังต่อว่าเขายังมีโฉนดที่ดินผืนหนึ่งในเมืองหลวง เห็นสไบเงินบอกว่ามันเป็นที่ดินผืนเล็ก ๆ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจในตอนนี้ ส่วนเงินสด กับป้ายแลกเงิน 50 สิบล้านที่มีติดตัวเขาในตอนนี้ก็แทบไม่มีมูลค่าอะไรเลย เพราะเขาจะต้องเอามันไปซื้อสินค้าที่สุ่มได้จากกงล้อ คงเหลือเงินที่ผู้คุมกฎซ้ายสัญญาว่าจะให้อีก 50 ล้านเหรียญทอง รวมกับเบี้ยเลี้ยงรายวันจากสำนักงานฮันเตอร์อีกวันละ 1 เหรียญเงิน เบี้ยเลี้ยงรายวันจากการเป็นสมาชิกของบ้านฮันเตอร์เพชรการเวก เป็นจำนวน 300 เหรียญเงินต่อวันและเงินประจำตำแหน่งฝ่ายนอกขั้น 2 อีกเดือนละ 100 เหรียญทอง โดยองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรจะจ่ายทั้งเบี้ยเลี้ยงและเงินประจำตำแหน่งรวมกันเดือนละหนึ่งครั้ง
นอกจากนี้เขายังมีรายได้จากกลุ่มทาสที่เขาเคยช่วยไว้ พวกเขามักจะแบ่งเงิน 3 ใน 10 ส่งมาให้เหนือภพ ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีจำนวนถึงห้าร้อยกว่าคน แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนงานระดับล่างที่ค่อย ๆ ไต่เต้าทำงานในโลกแห่งอิสรเสรี รายได้แต่ละเดือนที่เหนือภพได้จากพวกเขาจึงไม่แน่นอนนัก
“ท่านพี่ ข้าว่าแค่นี้ทรัพย์สินของเราก็มากพอแล้วนะคะ ท่านไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว”
พราวจันทร์พูดเสียงใส ท่าทีร่าเริงมีความสุขของเธอไม่ได้เกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินของเหนือภพแม้แต่น้อย แต่เธอมีความสุขที่เห็นว่าเหนือภพไม่อยากจน เขาไม่ต้องอดอยากเหมือนเช่นในอดีต และดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะมีความสามารถมากพอที่จะหาเงินได้ แค่นี้เธอก็มีความสุขมากแล้ว
“แต่ว่า...” เหนือภพพูดแล้วก็หยุดกลับมานอนหงายมือก่ายหน้าผากตามเดิม เขายังไม่ได้เล่าอีกเรื่องให้เธอฟัง
“เมียจ๋า จำแท็บแล็ตกับการซื้อของในนั้นได้มั้ย”
“ที่ท่านพี่ต้องเติมเงินซื้อใช่มั้ยคะ”
“ใช่ แต่ตอนนี้อะไรอะไรมันก็เปลี่ยนไปแล้ว คือเรื่องมันเป็นยังงี้นะ”
จากนั้นเหนือภพก็เล่าให้เธอฟังว่าระบบการซื้อของแบบเดิมถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเติมเงินแล้วสุ่มวงล้อเสี่ยงดวง เขาไม่ลืมเล่าเหตุการณ์ที่เขาเสียเงินไปกว่าพันล้านเหรียญทองเพื่อสุ่มซื้อของดี ๆ มากิน ดังนั้นสำหรับเขาแล้วทรัพย์สินที่มีอยู่ตอนนี้ไม่นับว่ามีค่าสักเท่าไหร่นัก
พราวจันทร์หน้าเผือดสีในทันที เมื่อได้รับรู้ว่าผู้ชายแสนงกอย่างเหนือภพจะสามารถใช้เงินพันล้านเหรียญทองหมดภายในเวลาไม่ถึงเดือน นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป
เหนือภพเห็นพราวจันทร์มีสีหน้าเช่นนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ เขาจะต้องเลี้ยงดูเธอให้สุขสบายให้ได้ เธอเคยกินอยู่ ใช้จ่ายมากมายเท่าไหร่ เขาก็จะมอบให้เธอไม่ต่ำกว่านั้น แล้วเขาก็โอบกอดเธอแน่นเสมือนเป็นคำสัญญาลูกผู้ชาย
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ทรัพย์สินที่ข้ามีตอนนี้ข้าจะยกให้เจ้าดูแลทั้งหมดเลย เจ้าอยากจะใช้จ่ายยังไงก็ได้ เดี๋ยววันนี้ข้าก็จะได้เป็นฮันเตอร์แรงค์ D แล้ว ข้าจะสามารถทำภารกิจระดับสูงและมีโอกาสในการหาเงินได้อีกมากมาย”
“โธ่ ท่านพี่ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
“ต้องสิ เจ้าเป็นเมียจ๋าของข้านะ” พราวจันทร์ยิ้มเขินพลางพยักหน้ารับคำ ราวกับภรรยาที่เชื่อฟังสามีทุกอย่าง แล้วเธอก็นึกอะไรบางอย่างออก
“เออ ท่านพี่ ถ้าท่านได้เป็นฮันเตอร์แรงค์ D แล้ว ท่านก็สามารถตั้งบ้านฮันเตอร์เป็นของตัวเองได้นี่นา ท่านไม่จำเป็นต้องไปเป็นลูกน้องใครอีกแล้ว เมื่อได้รับภารกิจมาท่านพี่ก็จะได้จับเงินก้อนนั้นทั้งหมด ขอเพียงเราจัดการบริหารดี ๆ จ้างคนมีฝีมือมาช่วยงาน รับรองว่าบ้านฮันเตอร์ของท่านพี่จะต้องมีชื่อเสียงระบือไกลพร้อม ๆ กับความมั่งคั่ง ท่านพี่เห็นด้วยมั้ยคะ”
เหนือภพดวงตาลุกวาวทันที
“จริงสิ ถ้าเจ้าไม่พูดเรื่องนี้ข้าก็คงลืมไปแล้ว สมุทรเคยชวนข้าว่าพวกเราจะตั้งบ้านฮันเตอร์ด้วยกัน”
“ท่านสมุทรหรือคะ อืม ถ้าเช่นนั้นก็ดีค่ะ เราสามารถไว้ใจเขาได้ และที่สำคัญเขาเก่งเรื่องการค้าและการต่อรองมาก ๆ”
“หืม เจ้ารู้ได้ไง”
พราวจันทร์ถอนหายใจน้อย ๆ แล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ เธอจะอธิบายให้เขาฟังได้อย่างไรว่าเธอคือผู้นำตึกแห่งการหาข่าวสาร เธอรู้เรื่องมากมายเกินกว่าที่เหนือภพจะจินตนาการออก
“ช่างเถอะ เราคุยมาพอแล้ว ตอนนี้ข้าจะแสดงให้ดูว่าหน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่แท้จริงต้องทำยังไง”
เหนือภพพูดพลางพลิกตัวขึ้นคร่อมตัวเธอ เขาและเธอจ้องตากันอยู่ชั่วครู่ และแล้วแสงตะวันยามเช้าก็สาดส่องเข้ามาในห้องนอน คลอด้วยเสียงนกยามเช้าตรู่ที่ต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่
“ท่านพี่เช้าแล้วนะ”
“ช่างมันสิ”
เหนือภพสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างกระตือรือร้น ทว่าพราวจันทร์เริ่มมีท่าทีอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนเธอเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกมา แถมยังไม่ได้นอนพักอีกต่างหาก
“อย่าลืมนะคะว่าวันนี้ท่านพี่ต้องไปฟังผลสอบภาคทฤษฎี แถมยังต้องสอบภาคปฏิบัติอีก ป่านนี้เจ้าหน้าที่คงแปะป้ายประกาศแล้วค่ะ”
“จริงของเจ้า เมียจ๋า งั้นข้ารีบไปจัดการให้เสร็จก่อนนะ เดี๋ยวเย็น ๆ เราค่อยมาต่อเรื่องของเรา”
เหนือภพลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า ขณะที่พราวจันทร์ซึ่งมีสีหน้าอิดโรยลุกขึ้นจากเตียงหวังมาช่วยเหนือภพ แต่เหนือภพกลับจับมือเธอไว้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไร เจ้าพักเถอะ อย่าลืมสิข้าบอกเจ้าแล้วข้าจะดูแลเจ้าเอง ข้าจะรีบกลับมา”
เหนือภพลูบหัวพราวจันทร์อย่างแผ่วเบา ตามด้วยการจูบหน้าผากอย่างแรงหนึ่งที จากนั้นเขาก็ลูบใบหน้าอันเนียนนุ่ม ปิดท้ายด้วยการแตะริมฝีปากเบา ๆ อย่างอ่อนโยนเป็นดังคำสัญญา
“ข้าไปก่อนนะ ฝันดีนะเมียจ๋า”
เหนือภพบอกลา ก่อนจะปิดประตูห้องเขาจ้องมองพราวจันทร์ที่นอนหันหน้ามาทางประตูด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปิดประตูลงด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจตัดใจ แม้จะไม่อยากจากไป แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกร่าเริงอย่างประหลาด เขารู้สึกราวกับว่าพร้อมแล้วที่จะออกไปท้าทายโลกใบนี้ วันนี้เขารู้สึกว่าเขามีเป้าหมายในชีวิตอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนกับว่า เขารู้แล้วว่าเขาจะดิ้นรนกระเสือกกระสนเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ และเพิ่มความสามารถในการหาเงินไปเพื่ออะไร และเพื่อใคร