ตอนที่ 53 เผ่าวิญญาณ
ตอนที่ 53 เผ่าวิญญาณ
ทะเลแห่งความมืดต้องคงขยายใหญ่ต่อไปเล่นด้วย มันเริ่มจะดูดกลืนทุกอนุภาคพลังงานที่อยู่ในระยะโดยไม่สนว่าจะธาตุอะไร
มันกินพื้นที่ไปหลายร้อยกิโลเมตร วิญญาณของทุกสิ่งมีชีวิตเริ่มตายต้นไม้เริ่มเหี่ยวเฉาลง
“ละเว้นนาง” ดอนเริ่มที่จะทนไม่ไหวแล้วแต่เขาก็ยังบอกกับดาบตัดวิญญาณให้ไม่ทำร้ายซิเรีย
ตอนนี้ซิเรียสลบไปแล้วจากแรงกดดันของทะเลความมืด
หลังจากที่เขาพูดแล้วร่างและวิญญาณถูกดึงเข้าสู่จุดศูนย์กลางของทะเลความมืด
ในการเพิ่มความสัมพันธุ์กับธาตุนั้น ใช่ว่าจอมอาคมคนอื่น ๆ หรือธาตุอื่น ๆ จะทำไม่ได้ มันสามารถทำได้โดยมีจอมอาคมระดับสูงคอยควบคุมและต้องใช้ทรัพยาการมหาศาล
แต่ของเขามันแทบจะเรียกว่าการเกิดใหม่ได้เลย พิธีที่เขาทำก็มีจิตสำนึกดาบตัดวิญญาณคอยควบคุมอยู่ และก็เป็นมันที่ถ่ายทอดเทคนิควิญญาณพิภพให้กับเขา
ส่วนวัตถุดิบนั้นก็เป็นคนถึง 3664 คนซึ่งถ้ามีจอมอาคมที่รู้ละก็เขาจะถูกตามล่าเป็นแน่
หลังจากที่มันดูดกลืนจนอิ่มตัวแล้วอนุภาคความมืดทั้งหมดในทะเลความมืดก็ไหลเข้ามาในวิญญาณและร่างของเขา
ร่างกายที่สั่นกระตุกไปมาเพราะการผ่านเข้าและออกของธาตุมืดอยู่ตลอดก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
มันเริ่มแทรกไปทุกส่วน ทุกอนุภาค ทุกเซลล์ ทุกวิญญาณ
เส้นผมและขนทุกส่วนของเขาเริ่มร่วงหล่ม เล็บที่หลุด ผิวหนังที่สลาย เลือดเนื้อที่ระเหิด กระดูกที่หลอมละลาย
ทุกอย่างถูกทำลายและสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ดอนไม่รู้สึกเจ็บเพราะวิญญาณของเขาแยกออกมา แต่เขารู้สึกกลัวเนื่องจากอนุภาคความมืดเริ่มส่งผ่านเข้ามาที่วิญญาณและเข้าไปในอาณาเขตวิญญาณของเขา
เขากลัวว่ามันจะรับไม่ไหวเพราะอาณาเขตวิญญาณของเขามันเล็กเกินไป
อีกอย่างเขาไม่มีรูนในอาณาเขตวิญญาณไว้เก็บพลังงานแล้ว
แต่แล้วเมื่อวิญญาณที่เข้ามาในอาณาเขตวิญญาณก็เริ่มสร้างรูนขึ้นมาที่ละตัว ทีละตัว
“นี่มัน...”
ว่ากันว่าสัตว์อสูรนั้นถือกำเนิดมาพร้อมรูนที่อยู่ในเลือดเนื้อ ปีศาจถือกำเนิดรูนขึ้นมาในสายเลือด ทำให้พวกมันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ และบางตัวแค่วันแรกที่ลืมตาก็มีพลังในระดับราชันแห่งเวทแล้ว
แต่มนุษย์นั้นต้องสร้างรูนและ เทคนิคพวกนี้ก็ไม่ได้สมบูรณ์เหมือนกับพวกมันเพราะมัน
ประวัติศาสตร์ของจอมอาคมหายไปในช่วงก่อนก่อตั้งสหพันธุ์หรือยุคสำรวจ นั้นรวมถึงเทคนิคต่าง ๆ ด้วย
ตอนนี้เขาต้องขอบคุณการตัดสินใจที่จะเดินบนเส้นทางจอมอาคมวิญญาณมันเป็นเทคนิคระดับสูงอย่างแน่นอน
เริ่มจากที่รูนระดับมนุษย์เป็นพื้นฐาน
10 รูนเป็น ผู้สัมผัส รู้ถึงอนุภาค
11 รูนข้ามผ่านไปเป็น ผู้ใช้พลัง 100 รูน ใช้พลังงานได้อย่างอิสระ
101 รูนข้ามผ่านเป็นผู้ควบคุม คุมทั้ง พลังงานและพลังจิต
สร้างพื้นฐานก่อนข้ามผ่าน 1001 รูน เป็นจอมอาคม
ตอนนี้รูนในอาณาเขตวิญญาณของเขาเพิ่มถึง 1000 แล้วแต่มันไม่สามารถผ่าน 1001 ได้
แค่เขาสร้างรูนระดับปฐพีได้ 1 ตัวก็สามารถเลื่อนเป็นจอมอาคมได้แล้ว
นั้นก็เป็นเพราะว่าอาณาเขตวิญญาณของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว
“ได้แค่นี้” ดอนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากโอกาศที่เขาจะเป็นจอมอาคมในขึ้นเดี่ยวเขาได้พลาดไปแล้ว
หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็เกิดการทำลายและสร้างใหม่อยู่แบบนั้นอีกหลายชั่วโมงเมื่อเสร็จแล้ววิญญาณของเขาก็ลอยกลับเขาไปในร่างแต่สิ่งที่เขารู้สึกในครั้งแรกคือความเจ็บปวดที่สะสมทั้งหมดในร่างกายโจมตีเข้ามา
“อ๊าก ๆ !!!” เขาแหกปากร้องออกมาราวกับสัตว์ร้ายที่น่าสมเพช พร้อมกับคิดในใจว่าถ้าต้องเจ็บแบบนี้ขอเจ็บเรื่อย ๆ จากน้อยไปมากดีกว่าที่ต้องจบในครั้งเดี่ยว
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่มันก็แค่ไม่กี่วินาที
เขาค่อย ๆ จับไปที่ด้ามดาบวิญญาณที่เป็นเสาทองคำ เมื่อยืนขึ้นมาด้ามมันก็หดลงมีขนาดเท่ากับดาบทั่วไป
ความเจ็บปวดหายไปพลังก็เข้ามาแทนที่
“ระบบวิเคราะห์ตัวข้า”
“เผ่า : วิญญาณ(ร่างมนุษย์)”
“อายุ : 22”
“ระดับ : ผู้ควบคุม”
“อาณาเขตวิญญาณ ขั้น 3 : 1000 จุด”
“พลังจิต : 1000 หน่วย”
“พลังงาน : 10,000 หน่วย”
“พลังกาย : 15 หน่วย”
“ความอึด : 20 หน่วย”
“ความเร็ว : 5 เมตร/วินาที”
“สัมพันธ์ธาตุ : ความมืด 100%”
“เดี่ยว ทำไมตัวข้าถึงกลายเป็นเผ่าวิญญาณ(ร่างมนุษย์) หรือว่านี่จะเป็นเทคนิคของเผ่าวิญญาณ แล้วทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน นอกซะจากว่าไม่มีใครรู้ว่ามีเผ่าพันธุ์นี้อยู่”
เผ่าที่เขารู้ว่ามีอยู่ตอนนี้คือ มนุษย์ อสูร สุดท้ายก็เผ่าปีศาจ สามเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา
และสงครามตอนนี้ก็เกิดมาจากที่ พวกลัทธิบูชาปีศาจใช้เกสเพนสท์ โจมตีสหพันธ์ ตัวแทนของมนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งอยากรู้พิภพนี้มีกี่เผ่าพันธุ์กันแน่ หรือว่ายังมีพิภพและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อีก
“ไม่สิ มีแน่นอนก็โลกที่ข้าจากมา และโลกในลูกบาศก์วิญญาณ”
เขามองไปบนท้องฟ้า ไม่อาจรู้ได้ว่าสายตาของเขานั้นมองไปที่ไหนกันแน่ แต่ไม่ว่าจะโลกไหนหรือพิภพไหนพลังของเขาในตอนนี้ก็ไม่มีทางไปถึงที่นั่นอย่างแน่นอน
“ซิเรีย” ดอนพยายาปลุกเธอ
ซิเรียค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือดอน แต่เป็นในลักษณะที่เปลี่ยนไป
ดวงตา เส้นผม เล็บ และริมฝีปาก ของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำดังยามราตรี แต่ผิวของเขากลับขาวดังหิมะจนหน้ากลัว
เมื่อเห็นว่าซิเรียตื่นขึ้นแล้ว เขาก็กล่าว “ไปกันเถอะ”
พวกเขาเก็บของทุกอย่างที่ใช้ได้ไปด้วยโดยเฉพาะ เหรียญทองคำ ผลึกพลังงานบางส่วนและอาหาร
มันต้องใช้แรงในการลากเลื่อนที่มีอาหารอยู่พอสมควร
สองคน หนึ่งวิญญาณออกเดินทางอีกครั้ง
……………………………………………………………
ที่แนวหน้าติดชายแดนภูมิภาคเหนือและกลาง
ยังคงมีการปะทะกันอยู่เรื่อย ๆ ระหว่างลัทธิบูชาปีศาจและสหพันธุ์ แต่ไม่ได้มีสงครามขนาดใหญ่มา 1 ปี แล้ว โดยการต่อสู่ที่มีระดับสูงสุดคือ เกสเพนสท์ตาแดงเท่านั้น ส่วนทางสหพันธุ์ก็ส่งระดับอัศวินออกมาจัดการ
เด็กหนุ่มอัศวินขั้น 3 กำลังนำทีมเข้าร่วมภารกิจอยู่ ถึงพวกเขาจะไม่มีผู้ใช้พลังเป็นผู้นำทีมแต่ก็ไม่อาจจะดูถูกได้
เพราะนี่คือกองทัพทหารของสหพันธุ์ พวกเขาต่างจากนักรบรับจ้าง หรือ ผู้ใช้พลังที่ไม่ได้ถูกฝึกเพื่อออกรบกันจริง ๆ
การประสานกันของกระบวนทัพและการโจมตีที่สามารถฆ่าผู้ใช้พลังฝึกหัดได้อย่างแน่นอน ชุดเกาะที่เป็นอุปกรณ์พลังงานมีพลังป้องกันถึง 15 หน่วย ดาบและปืนเพลิงโลกันต์ขนาด 1 เมตรที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วง 3 ปีนี้
สงครามไม่ได้นำมาซึ่งความตายอย่างเดี่ยวแต่นำมาซึ่งการพัฒนาเช่นกัน
“หัวหน้าเดล วันนี้ 1 สิงหาคม วันเกิดหัวหน้า คืนนี้พวกเราจะไปฉลองกันที่ไหนดี?” ชายวัยกลางคนลูกคนสนิทที่ชื่อ แม็คก้า ถามเขาในขณะที่กำลังผ่าเอาหัวใจของเกสเพนสท์ออกมา
“จัดการภารกิจให้เสร็จเถอะ พวกเรายังต้องยึดพื้นที่นี้เพื่อให้หน่วยสื่อสารสร้างเสาสื่อสารติดต่อกลับเมืองและพวกคนที่อยู่ในภูมิภาคทางเหนืออีก” เดลสั่งออกมาด้วยเสียงเข้ม
ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีสัญญาณใด ๆ
“บ้าเอ้ย! ฝนตกซะได้”
ทุกคนถึงกลับบ่นออกมาทันที อากาศที่นี่เย็นมากอยู่แล้วแต่ฝนดันตกมาอีกซะได้
เดลได้แต่คิดว่าทำไมสภาพอากาศถึงปั่นป่วนแบบนี้ แต่เมื่อพูดถึงสายฝนแล้วนั้น เขาก็คิดถึงวันนั้น วันที่เขาสาบานต่อหน้าหลุมศพพี่ชายว่าจะปกป้องทุกคนแทนพี่ชาย แต่ตอนนี้แม้แต่น้องสาวของเขาก็ยังไม่สามารถจะปกป้องได้ เธอต้องไปแต่งกลับผู้ชายสวะ ๆ อย่าง เกเมล คาเลเลีย ในอีก 1 ปี
เมื่อคิดแล้วเขาก็โกรธที่ลุงของเขา มาเวอร์ริค อาเรคัส ที่สนับสนุนในการมั่นหมายนี้
“กลับกันเถอะ” เดลกล่าว
ขณะที่กำลังจะกลับพวกเขาก็เจอกลับเกสเพนสท์อีกตัว “หัวหน้ามีเกสเพนสท์อีกตัว”
“จัดการมันก่อน แล้วค่อยกลับก็แล้วกัน” เดลสั่งให้พวกเขาล้อมมันไว้และพวกเขาก็ฆ่าเกสเพนสท์ตาแดง 1 ข้างได้อย่างง่ายดาย
……………………………………
หอคอยเอราธาเมีย ชั้น 70 ห้องรับแขกของไนเรล
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เรน่า” ไนเรลถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไปทางหญิงสาวชุดเดรสแดง ที่ด้านข้างมีเด็กหนุ่มยืนอยู่
“ข้าแค่มาตามหาคน เจ้ารู้จักเขาไหม” ท่านหญิงเรน่าส่งรูปวาดของดอนที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดให้ไนเรลดู
ไนเรลมองก็แปลกใจทำไม ท่านหญิงองค์กรมืดภูตกะโหลกถึงตามหาคนที่ตายไปแล้วกัน “ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าตามหา”
ถึงเขาจะพูดไปแบบนั้นแต่ท่าทางของเขาก็ไม่มีทางตบตาท่านหญิงเรน่าได้แน่นอน “ขอบใจ งั้นข้าขอตัวก่อน”
หลังจากออกมาจากหอคอยแล้ว รีก้าก็ถามออกมา “ท่านหญิง จะปล่อยไปจริง ๆ หรือ แค่มองก็รู้ว่าพวกเขาโกหก ให้ข้าไปจัดการพวกลูกศิษย์ของสถาบันเอราธาเมียเลยเหรอไป พวกมันจะได้ส่งตัวผีดิบตัวนี้มา”
“เจ้าโง่!! ที่นี่ไม่ใช่ภูมิภาคตะวันตกที่องค์กรมืดพวกเราคุมอยู่ ถึงที่ภูมิภาคใต้พวกมันจะแยกดินแดนกัน แต่ก็ไม่ยอมให้องค์กรภายนอกมาทำลายความสมดุลแน่นอน อย่าคิดอะไรโง่ ๆ อีก” เธอกล่าวพร้อมกับแตะไปที่รีก้าจนกระเด็น
แต่เหมือนรีก้าจะไม่เป็นอะไร รีบลุกขึ้นมากล่าวขออภัยทันที “ท่านหญิงฉลาดที่สุด ข้านี่โง่เขาจริง ๆ ว่าแต่เราจะทำอย่างไงต่อ”
“ง่ายมาก เจ้าไปให้พวกใต้ดิน ตั้งค่าหัว กระจายรูป หาเบาะเเส มาแค่มีเบาะแสหรือคนที่สนิทกับมันก็ได้ แล้วค่อยถามพวกมันดูก็รู้ว่ามันไปหลบอยู่ไหน” ท่านหญิงเรน่าอธิบายด้วยร้อมยิ้มน่ากลัว เธอพร้อมีท่จะเค้นความจริงจากพวกลูกแมวพวกนั้นเต็มแกแล้ว
หลังจากนั้นอีกสามวันพวกใต้ดินก็ตามหาสาวน้อยที่เคยติดตามดอนมาจากเมืองไอเรลัวอา แต่ก็ไม่มีใครหาพบหรือมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกลับเด็กสาวในภาพวาดเลยสักคนในเมืองยาลันซ่า แห่งนี้เลย
“สาวน้อยเคยเห็นผู้หญิงในรูปไหม” นักเลงชายถามเด็กสาวตัวอ้วนตุ้ยนุ้ยเดินกินขนมหวานขณะที่กำลังจะไปทำงานที่ภัตตาคารในเมือง
“ไม่เห็น...” เธอใช้มืออ้วน ๆ ตอบปัดปฏิเสธไป นักเลงชายได้แต่เดินไปถามคนอื่นต่อ
อายูกินขนมในมือไปก็พยามคิดไปว่าเหมือนเคยเห็นคนในรูปที่ไหน แต่ก็คิดไม่ออก “ช่างมันเถอะ ว่าแต่เมื่อไหรนายท่านจะเอาเงินให้ข้าสักที ไม่สิ มาพาข้าไปสักที ขืนเป็นแบบนี้ข้าได้เป็นหนี้ที่ร้านอาหารจนใช้ไม่หมดแน่”
ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังกินไม่หยุด และที่สำคัญเจ้าของร้านก็ดูจะเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ
“อายูเจ้าช้าอีกแล้วรีบไปในห้องครัวเร็ว”
“คะ หัวหน้าพ่อครัว” อายูรีบวิ่งไปช่วยพ่อครัวทันที พร้อมกับฟังเสียงที่ดุด่าเธอไปด้วย