ตอนที่ 141 ก็แค่สอบเลื่อนระดับแรงค์ D
ณ สำนักงานฮันเตอร์ แผนกเฉพาะกิจ
เหนือภพเปิดประตูห้องประชุมของแผนกเข้ามาก็พบกับบงกตที่กำลังจะเดินสวนกลับออกมาพอดี
“อ้าว เหนือภพ เจ้าหายหัวไปไหนมา”
“ข้าอยากหายหัวซะที่ไหนเล่า ท่านอ่ะให้ภารกิจอะไรก็ไม่รู้ หมาสักตัวก็ไม่เห็น เจอแต่ฝูงตัวบ้าอะไรไม่รู้ ข้าวิ่งอย่างเดียวเลย พอรู้ตัวอีกทีก็หลงทาง กว่าจะกลับมาได้น่ะ เฮ้อ จ่ายเงินมาเลย”
“จ่ายเงินอะไร”
“ท่านเจ้านายคร้าบ ไม่คิดจะชดเชยอะไรบ้างเหรอ”
เหนือภพพูดจาหยอกล้อพร้อมกับแบมือไปข้างหน้าบงกต บงกตตีมือเหนือภพดัง เพี๊ยะ
“จ่ายบ้าจ่ายบออะไร แค่นี้ข้าก็ปวดหัวมากอยู่แล้ว อย่าเพิ่งมากวนใจข้า อ้อ เกือบลืม มานี่ข้ามีอะไรอยากให้เจ้าดู”
บงกตบอกขณะเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะกลม ก่อนวางเอกสารบนนั้น บงกตคัดแยกเอกสารออกมาบางส่วนแล้วยื่นให้เหนือภพ
“หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเป็นคนที่ประมูลได้ภารกิจระดับสูงที่เทศกาลงานประมูลที่หมู่บ้านลมหวน ถูกไหม”
“ใช่มีอะไร”
เมื่อเหนือภพได้ยินคำว่าภารกิจระดับสูงเขาก็ตื่นตัวทันที ผลประโยชน์สูงมากขนาดนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนหมายปอง อยากจะแย่งผลประโยชน์ของเขาไป
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีพวกเราได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับภารกิจนั้น และเห็นว่ามีภารกิจเกี่ยวกับมัน ทางสำนักงานก็แค่อยากได้ข้อมูลภารกิจจากเจ้า และอยากให้เจ้าร่วมการเดินทางด้วย”
“เงื่อนไข และผลตอบแทนล่ะ”
“ไม่มีทั้งนั้นแหละ”
“งั้นข้าไม่ไป และข้าก็ไม่บอกอะไรทั้งนั้น”
“เจ้านี่มัน...”
“เอาล่ะ ๆ ข้าก็แค่บอกเจ้าไว้ก่อน ข้ารู้ว่ามันไม่ยุติธรรม ข้าจะจัดการเจรจาเรื่องผลตอบแทนเอง หากมีเรื่องอะไรข้าจะแจ้งอีกที อ่อ อีกอย่าง อีกสองวันจะมีการเปิดรับสมัครสอบเลื่อนขั้นฮันเตอร์แรงค์ E ไปเป็นแรงค์ D ยังไงก็อย่าลืมไปสอบด้วยล่ะ มันเป็นผลประโยชน์กับตัวเจ้าเอง”
“ครับ ๆ เจ้านาย เดินทางดี ๆ นะครับ”
เหนือภพโบกมือลา แต่พอนึกถึงภารกิจระดับสูง มันก็ทำให้เขาเปิดแท็บเล็ตขึ้นมา เขาตรวจดูกงล้อหรรษากับเงินในกระเป๋าและก็รู้สึกละเหี่ยใจ เงินที่ศิษย์พี่วัฏจักรให้มามันพอแค่หมุนกงล้อได้แค่สองครั้ง ยังไม่นับรวมว่าสิ่งที่หมุนได้จะเป็นอะไร หากเป็นของที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อก็ดีไปอย่าง หากต้องเสียเงินซื้ออีก เขาก็ได้แค่รอหาเงินเพิ่ม ดูท่าเขาคงต้องรีบทำภารกิจระดับสูงโดยเร็วเสียแล้ว
ณ สำนักงานฮันเตอร์ สาขานิรันดร์กาลนคร
“ข้ามาติดต่อเรื่องภารกิจระดับสูง”
เหนือภพพูดกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อย่างแผ่วเบา พลางวางป้ายภารกิจที่เขาได้มาจากงานเทศกาลประมูลบนโต๊ะของเธอ
เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนเหลือบตามองป้ายภารกิจระดับสูง เมื่อเห็นว่ามันเป็นของจริงเธอก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริด แต่เธอก็ยังทำหน้าที่ของเธอได้อย่างดี
“ขอทราบระดับแรงค์ของท่านด้วยค่ะ”
เหนือภพยืนมือออกไป แล้วหงายฝ่ามือให้เธอดู จากนั้นเธอก็ถอนหายใจอย่างผิดหวัง
“ขอโทษด้วยนะคะ ตามกฎแล้วผู้ที่สามารถรับข้อมูลภารกิจระดับสูงได้จะต้องมีแรงค์ D ขึ้นไปค่ะ”
“อ้าว แต่นี่มันคือภารกิจของข้านะ จะแรงค์ไหนก็ช่าง ขอแค่ทำสำเร็จก็พอไม่ใช่หรอ”
“กฎก็คือกฎค่ะ และนี่คือกฎที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องไม่ให้ฮันเตอร์ต้องทำภารกิจที่เกินตัวนะคะ กลับไปเลื่อนระดับมาก่อนเถอะค่ะ”
“ครับ ๆ รู้แล้วครับ” เหนือภพจำใจเดินทางกลับเมืองอมตะนครด้วยอารมณ์เซ็งในใจ
‘เหอะช่างเถอะ แค่สอบเลื่อนเป็นแรงค์ D แค่นั้นก็จบปัญหาแล้ว’
สองวันต่อมา ณ ห้องประชุม 7 โรงเรียนเซนต์อมตะ
“ข้า ในนามของกรรมการผู้จัดสอบในครั้งนี้ ขอกล่าวต้อนรับฮันเตอร์ผู้ทรงเกียรติทุกท่าน...”
คิมหันต์ ยืนกล่าวอยู่บนเวทีไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก ข้างล่างมีฮันเตอร์แรงค์ E กำลังนั่งฟังอยู่ประมาณ 100 คน พวกเขามารวมตัวกันที่นี่เพื่อสมัครสอบเลื่อนระดับเป็นฮันเตอร์แรงค์ D
“....การเลื่อนระดับเป็นแรงค์ D นั้นจะทำให้พวกท่านทั้งหลายสามารถรับทำภารกิจได้หลากหลายยิ่งขึ้น ได้รับผลตอบแทนที่ดีมากยิ่งขึ้น และผู้เข้ารับการทดสอบที่ได้คะแนนสูงสุดสิบอันแรกจะสามารถเลือกได้ว่าจะไปประจำอยู่ที่สำนักพระราชวังหรือรับตำแหน่งสำคัญในสำนักงานฮันเตอร์”
เมื่อคิมหันต์พูดมาถึงตรงนี้ก็เรียกเสียงฮือฮาจากฮันเตอร์วัยรุ่นทั้งห้องประชุม ยกเว้นสมุทรและเหนือภพ พวกเขานั่งนิ่งเคียงข้างกันโดยไม่สนใจคำพูดโฆษณาของคิมหันต์แม้แต่น้อย
คิมหันต์ยังคงพูดต่อไป แต่ในครั้งนี้เขาปรับโทนเสียงให้ทุ้มต่ำลง และอัดพลังปราณอาคมใส่เข้าไปในน้ำเสียงด้วย
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พวกท่านมั่นใจแล้วหรือว่าพวกท่านมีความสามารถมากพอที่จะถูกเรียกว่าแรงค์ D พวกท่านคิดว่าแต่เลื่อนระดับเป็นฮันเตอร์แรงค์ E แล้วจะสอบขึ้นแรงค์ D เมื่อไหร่ก็ได้งั้นหรือ การสอบในครั้งนี้ไม่ง่ายดายเหมือนภารกิจที่พวกท่านเคยประสบพบเจอ หากความสามารถไม่ถึงจริง ๆ ล่ะก็ ทุกท่านก็มีโอกาสเสียชีวิตลงในการสอบได้ทุกเมื่อ ดังนั้นได้โปรดถามใจตัวเองก่อนว่าพร้อมจริง ๆ หรือไม่”
คิมหันต์พูดจบก็ใช้ปราณอาคมอย่างอ่อน ๆ แผ่กระจายไปทั่วห้องประชุม เด็กหนุ่มสาววัย 14-15 ปีที่เพิ่งเป็นฮันเตอร์แรงค์ E ได้ไม่นานต่างพากันขนลุกขนพอง บางคนไม่อาจป้องกันพลังปราณอาคมของคิมหันต์ได้ก็ถึงกับเหงื่อตกกันเลยทีเดียว แต่ก็มีหลายคนที่มีประสบการณ์การสอบมาหลายปี พวกเขามีประสบการณ์มากพอที่จะต้านรับพลังไว้ได้อย่างสบาย ๆ รวมถึงเหนือภพและสมุทรด้วย สองสหายยังคงนั่งรออย่างเบื่อหน่าย
“เมื่อไหร่ตาลุงนี่จะพูดจบสักทีนะ ว่ามั้ยสมุทร” เหนือภพพูดจบก็ยกมือขึ้นปิดปากหาวหนึ่งที
“อืม แต่นี่คือการคัดเลือกในรอบแรก”
“ห๊ะ อะไรนะ คัดเลือกแบบนี้น่ะหรอ อ่อนชะมัด”
“อืม”
สมุทรไม่อธิบายมาก เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก และในขณะที่สมุทรกำลังจะสัปหงกหลับคาเก้าอี้นั้น คิมหันต์ก็ตะเบ็งเสียงดังก้องเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าให้โอกาสครั้งสุดท้าย ใครที่คิดว่าไม่ไหว หรือมีความไม่มั่นใจเพียงแวบเดียวในจิตใจ ข้าขอให้พวกท่านลุกออกไปเดี๋ยวนี้ !”
เสียงก้องทรงพลังจนทำให้หัวใจคนฟังสั่นระรัวของคิมหันต์ ทำให้เหนือภพและสมุทรสะดุ้งตื่นจากภวังค์ กลับมานั่งตัวตรงและสนใจคนรอบข้างอีกครั้ง ในครั้งนี้มีฮันเตอร์หนุ่มสาวมากมายลุกเดินจากไป พวกเขามีความลังเล และไม่พร้อมที่จะลองสอบ
“เอาล่ะ สำหรับทุกท่านที่ยังนั่งอยู่ที่นี่ ลำดับต่อไปขอเชิญทุกท่านแยกไปลงชื่อสมัคร สัมภาษณ์ประวัติ และเตรียมจ่ายเงิน 100 เหรียญทอง เป็นค่าลงทะเบียนได้ที่ห้องถัดไป”
ฟรึ่บ !
สิ้นเสียงของคิมหันต์ ผ้าม่านหนานักสีดำมันที่แขวนอยู่มุมห้องก็ทิ้งตัวลงทั้งผืน เผยให้เห็นพื้นที่ห้องถัดไป ที่นั่นมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ประมาณสามสิบชุด อันประกอบไปด้วย โต๊ะขนาดเล็กหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัววางประจันหน้ากันโดยมีเจ้าหน้าที่หนึ่งคนนั่งประจำอยู่
เหนือภพและสมุทรได้เป็นฮันเตอร์สามสิบคนแรกที่ได้เข้าไปนั่งสัมภาษณ์ซักประวัติ ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องทำทุกครั้งตอนสมัครสอบ ไม่ว่าฮันเตอร์คนนั้นจะเคยสอบซ้ำมาหลายรอบแล้วก็ตาม
เหนือภพเดินไปนั่งสอบสัมภาษณ์อย่างสบายใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องควักเงินมาจ่ายค่าสมัคร เพราะองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะจ่ายให้เขา
“ชื่อ อายุ ที่อยู่”
กรรมการวัยกลางคนรูปร่างแข็งแรงกำยำ ผมยาวชี้ฟู หน้าตาขึงขังราวกับฮันเตอร์ที่ตะลุยอยู่ชายแดนมานาน ถามเหนือภพด้วยคำถามสั้นกระชับ
“เหนือภพ 18 ปี อยู่ที่ร้านพลน้ำผึ้งเว้ยเฮ้ย !”
เหนือภพก็ตอบสั้น ๆ เท่าที่จำเป็นเช่นกัน จากนั้นก็เป็นประโยคถามตอบอย่ารวดเร็วของทั้งคู่
“เจ้าเป็นฮันเตอร์ที่ไร้พรสวรรค์ สิ่งนี้สร้างปัญหา หรือทำให้เจ้าอยู่ในสถานการณ์ตกเป็นรองหรือไม่”
“ไม่เท่าไหร่”
“เจ้าจะเป็นฮันเตอร์แรงค์ D ไปเพื่ออะไร”
“หาเงิน”
“หืม ?” กรรมการชะงักเล็กน้อย แต่เขาก็เคยพบเห็นหนุ่มน้อยจอมยียวนมานักต่อนักแล้ว
“เจ้าเคยต่อสู้กับสัตว์อสูรแรงค์ D หรือไม่”
“มากกว่านั้นก็เคย”
“ถ้าเจ้าตกอยู่ในรังสัตว์อสูรเพียงลำพัง เจ้าจะทำอย่างไร”
“เลือกเก็บเอาของมีราคามาก่อน จากนั้นก็ฆ่าพวกมัน”
“ถ้าเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะชนะ เจ้าจะทำอย่างไร”
“สู้ไม่ได้ก็หนีสิ”
เหนือภพตอบเรียบ ๆ โดยไม่ต้องคิด เพราะเรื่องทั้งหมดนี้เขาเคยผ่านมาหมดแล้ว ผิดกับกรรมการและฮันเตอร์คนอื่น ๆ ที่ยืนรออยู่ ทันทีที่พวกเขาได้ยินต่างก็หันขวับมองเหนือภพเป็นตาเดียว
กรรมการผู้สัมภาษณ์เหนือภพเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมา เขาไม่ได้เห็นคนหนุ่มที่ตรงไปตรงมาอย่างนี้มานานแล้ว ไม่แน่ว่าเจ้าหนุ่มนี้อาจจะพูดจริงก็ได้
“ถ้าเจ้าถูกสัตว์อสูรใต้น้ำดึงลงไปน้ำเป็นเวลานาน จนหายใจไม่ออก เจ้าจะทำอย่างไร”
“ก็รออยู่ใต้น้ำ จนกว่าจะได้โอกาสหนี นานแค่ไหนข้าก็รอได้”
เมื่อถึงคำถามนี้ฮันเตอร์คนอื่น ๆ ก็เริ่มตีวงล้อมเข้ามาฟังเหนือภพมากยิ่งขึ้น ส่วนกรรมการประจำโต๊ะของเหนือภพก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างสนุกสนานยิ่งขึ้นตามจำนวนคำตอบของเหนือภพ
“ถ้าเจ้าถูกสัตว์อสูรบินได้จับตัวไปเจ้าจะทำอย่างไร”
“ลากมันไปให้พญานาคกิน ทำให้พญานาคพอใจแล้วก็ใช้งานพญานาค ได้กำไรสองต่อ”
เฮ.. มีเสียงเฮมาจากรอบข้าง ในตอนนี้พวกเขากำลังดูเหนือภพเพื่อความบันเทิง คล้ายกับกำลังดูการแสดงในโรงละครก็มิปาน เหนือภพจะพูดจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แน่ ๆ คือคำตอบของเหนือภพช่างทำให้พวกเขาสะใจ ฮึกเหิม และพอใจยิ่งนัก
“ดี ! กล้าหาญยิ่งนัก ในตอนนี้มีสัตว์อสูรตัวไหนบ้างที่เจ้าหวาดกลัว”
เหนือภพนิ่งคิดเพียงเสี้ยววินาที “ในตอนนี้เหรอ อืม.. ไม่มี”
เฮ…
“ถ้าเจ้าบาดเจ็บสาหัส กระดูกและเส้นเอ็นเสียหาย เจ้าจะรักษาด้วยวิธีไหน”
“นอนพัก คืนเดียวก็หาย”
เฮ…
“ถ้าเจ้าได้รับภารกิจกวาดล้างโจรร้าย แต่พวกมันซ่อนตัวอยู่ในปราสาทที่มีการป้องกันแน่นหนา เจ้าจะทำอย่างไร”
“ต่อยปราสาทให้ถล่ม เอาให้ยับเลย”
เฮ…
“เยี่ยมมากพ่อหนุ่ม งั้นคำถามสุดท้าย เจ้าคิดว่าเจ้าจะสอบผ่านภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเพื่อเลื่อนระดับเป็นแรงค์ D ได้หรือไม่”
“เรื่องกล้วย ๆ”
เหนือภพยักไหล่ตอบอย่างมั่นใจ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องจากรอบด้าน เหนือภพช่างกล้าหาญ บ้าบิ่น และมีความมั่นใจอย่างที่พวกเขาทุกคนปรารถนาจะเป็น
“เอาล่ะ เชิญกลับบ้านไปก่อน พรุ่งนี้เช้าเราจะนำรายชื่อผู้ที่ผ่านการสอบสัมภาษณ์มาติดไว้บนป้ายประกาศหน้าห้องนี้ และคนที่ผ่านการสัมภาษณ์จะได้เข้าสอบภาคทฤษฎีในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้ ขอให้โชคดี”
จากนั้นกรรมการก็เชิญเหนือภพออกไป เพื่อให้คนอื่นเข้ามานั่งสัมภาษณ์ต่อ ในใจลึก ๆ ของเขานั้น เขาอยากจะประกาศให้เหนือภพรู้ด้วยซ้ำว่า ‘เจ้าผ่านแล้ว’ แต่ติดปัญหาอยู่อย่างเดียว นั่นคือกรรมการทุกคนต้องนำกระดาษคำตอบของผู้สมัครทุกคนไปให้คะแนนร่วมกัน ไม่สามารถตัดสินจากกรรมการเพียงคนใดคนหนึ่ง