ตอนที่ 137 อาจารย์ !!
ณ ห้องขังของเหนือภพและศิษย์พี่ทั้งสอง
เวลาล่วงเลยมาหลายชั่วโมงแล้ว เหนือภพและศิษย์พี่ทั้งสองก็ยังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ แม้พวกเขาจะใช้มือเล่นหมากล้อม แต่ปากพวกเขากลับพูดคุยกันไปหลายเรื่อง จนมาถึงเรื่องเกี่ยวกับลัทธิดับสุริยัน
“เดี๋ยวนะศิษย์พี่ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับศาสนจักรดับตะวันอยู่บ้างนะ แต่มันต่างยังไงกับลัทธิดับสุริยัน ข้าว่าความหมายมันคล้าย ๆ กันออก”
“ศิษย์น้องเจ้ายังไม่รู้อะไร เพราะความเหมือนนี้แหละที่ทำให้คนสับสนมานักต่อนักแล้ว ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังละกัน”
จากนั้นทานธรรมก็ร่ายยาวเกี่ยวกับเรื่องราวของลัทธิทั้งสอง
นานมาแล้วในดินแดนแคว้นใหญ่อย่างแคว้นสุริยัน ได้ก่อกำเนิด ‘ศาสนจักรสุริยัน’ ศาสนจักรที่ปกครองโดยนักบวชสูงสุด โดยพวกเขามีความเชื่อว่าสุริยันคือผู้ให้กำเนิดชีวิต หากปราศจากสุริยันแล้วไซร้ โลกใบนี้ก็หมดความหมาย ในอีกนัยหนึ่งพวกเขาก็ได้แทนค่าผู้มีพรสวรรค์เท่ากับสุริยัน ส่วนผู้ไร้พรสวรรค์นั้นเป็นเพียงจันทรา พวกเขาใช้สัญลักษณ์เป็นรูปพระอาทิตย์สีแดง
หลังจากนั้นก็มีกลุ่มผู้ศรัทธากลุ่มหนึ่งเห็นค้าน พวกเขาแยกตัวออกมาก่อตั้ง ‘ศาสนจักรดับตะวัน’ ซึ่งเป็นศาสนจักรที่ปกครองโดยนักบวชสูงสุดเช่นกัน พวกเขาใช้สัญลักษณ์เป็นรูปพระอาทิตย์สีดำ เพื่อสื่อว่าศาสนจักรของพวกเขามีความเชื่อตรงกันข้ามศาสนจักรสุริยัน
“หากพูดว่าศาสนจักรสุริยันคือแสงสว่าง ศาสนจักรดับตะวันก็คือความมืด เมื่อไหร่ที่เจ้าเจอพวกมัน ก็จงระวังเอาไว้”
“แล้วลัทธิดับสุริยันล่ะศิษย์พี่”
“ลัทธิดับสุริยัน จะมีสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์สีดำครึ่งซีก พวกเขาเป็นลัทธิย่อยของศาสนจักรดับตะวัน เป็นการรวมกลุ่มของพวกคนหัวรุนแรงแต่เก่งกาจ พวกเขามองเห็นผู้มีพรสวรรค์เป็นเพียงข้ารับใช้ที่จะจ้างให้ทำงานถวายหัวยังไงก็ได้ หรือไม่ก็มองเห็นเป็นเหยื่อตัวน้อย ๆ เท่านั้น”
“คล้าย ๆ กับกลุ่มภราดาหรือครับ”
“ใช่แบบนั้นแหละ เพียงแต่พวกเขาใช้วิธีการที่รุนแรงกว่ากลุ่มภารดา เดี๋ยวสิศิษย์น้อง หมากตัวที่อยู่ตรงนี้ของข้าหายไปไหน เอาคืนมาเลย”
“ท่านยังไม่ได้วางต่างหากล่ะ อย่ามาโมเมใส่ข้าสิ นี่ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าในช่วงหลายปีมานี้ ทั้งลัทธิดับสุริยัน และศาสนจักรดับตะวันพวกเขาล้วนเคลื่อนไหวอยู่ที่แคว้นอมตะถูกไหม”
“ใช่ แต่เจ้าอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ หมากข้าหายไปไหน”
“มา ๆ เล่นใหม่ก็ได้ แต่เดี๋ยวนะศิษย์พี่ใหญ่”
“ว่าไง”
“ข้ารู้สึกว่ามันแปลก ๆ ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าโดนไล่ฆ่าที่หมู่บ้านลมหวน พอนึกดูดี ๆ แล้วน่าจะมีถึงสองกลุ่ม ตอนแรกข้าคิดว่าอาจจะเป็นคนของลัทธิสุริยันและใครสักคนที่มีอำนาจในงานประมูลนั้น มาแก้แค้นข้า แต่พอนึกดี ๆ มันเป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นเป็นคนจากศาสนจักรดับตะวัน”
ทานธรรมพอได้ยินเรื่องนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสันนิษฐานออกมาอย่างใคร่ครวญ
“พวกเขาไม่ได้ความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราตั้งแรก ไม่น่าจะมีความแค้นหรือความบาดหมางกัน อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้มีของสำคัญอะไรที่พวกนั้นต้องการด้วย พวกนั้นก็แค่กลุ่มนักบวชที่เคร่งศาสนาก็เท่านั้น ข้าคิดว่าไม่น่าจะใช่ พวกเขาคงมาปรากฏตัวที่แคว้นเราด้วยเหตุผลอื่น”
“หรือว่าเรื่องที่ดาบมัจฉาสวรรค์หายมันจะ..”
เหนือภพพูดขึ้นมา เขาคิดว่าพวกศิษย์พี่ทั้งสองน่าจะไม่รู้เรื่องนี้ เพราะพวกเขาถูกจับมาเสียก่อน แต่พอเหนือภพพอพูดถึงดาบที่หายไป ก็ทำให้เขานึกถึงมีนาและตระกูลหลักของเธอ
“มัจฉาสวรรค์มีความเกี่ยวข้องกับศาสนจักรดับตะวันหรือเปล่า”
เหนือภพถามด้วยความใคร่รู้ แต่นั่นกลับทำให้ทานธรรมหันมองวัฏจักรแล้วก็หัวเราะออกมา
“ศิษย์น้อง เรื่องดาบเล่มนั้นต้องถามพี่รองของเจ้า”
“เอ๊ะ ?” ใบหน้าเหนือภพเต็มไปด้วยคำถาม ส่วนวัฏจักรนั้นยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยขณะตอบศิษย์น้องสามของเขา
“ข้าขโมยเอง”
“ห๊ะ !”
เหนือภพรู้ทึ่งและก็โล่งใจที่ได้รู้ความจริงว่าการที่ดาบมัจฉาสวรรค์หายไปนั้น เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้ มันเป็นเพียงการละเล่นของพวกชนชั้นสูงที่ถูกจัดขึ้นโดยองค์จ้าวแคว้น องค์จ้าวแคว้นจ้างวัฏจักรให้สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อประโยชน์แก่พวกราชวงศ์ ทำให้พวกองค์หญิงองค์ชายได้ทดสอบความสามารถและก็สร้างชื่อเสียงให้ระบือไกลก็เท่านั้น
แอ๊ดดด
เสียงประตูห้องขังเปิดออก ผู้ที่เดินเข้ามาคือผู้คุ้มกฎขวา
“เอาล่ะ พวกเจ้าพักพอแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะใช้งานเจ้าแล้ว”
ยังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้ตอบความอะไร ผู้คุมกฎขวาก็ซัดพลังคลื่นกระแทกใส่พวกเขาทันที
ตูม !!!
ร่างของทั้งสามคนถูกกระแทกเหวี่ยง ทะลุผ่านหน้าต่างชั้นห้าออกมาด้านนอก พวกเขาทั้งสามคนต่างลอยละลิ่วตกลงมากระแทกพื้นในสภาพสะบักสะบอม ส่วนผู้คุมกฎขวานั้นไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนจึงเคลื่อนที่ลงมายืนข้างชายหนุ่มทั้งสามได้ในพริบตา
“ทำบ้าอะไรตาแก่ อยากตายหรือไง”
เหนือภพตวาด ก่อนจะพุ่งเข้าไปหวังจะโจมตีที่จุดตาย ทว่าวิ่งไม่ทันเกินสองก้าว ลูกศรอันคุ้นเคยก็พุ่งมาทางเขาเสียก่อน เหนือกัดฟันกรอดมองไปบนฟ้า แล้วเขาก็เห็นจันทรากำลังยืนอยู่บนอินทรียักษ์เตรียมพร้อมที่จะปลิดชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ การกระทำของคนพวกนี้ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดร่างกายได้ แต่จิตใจของเขานี่สิ มันรู้สึกเจ็บช้ำจากการถูกหยามโดยไม่สามารถตอบโต้
“นี่ผู้อาวุโสท่านต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่ มีอะไรก็บอกกันดี ๆ สิ อ๊าก !!”
ทานธรรมที่พยายามจะเจรจา ถึงกับต้องชักดิ้นชักงอ เมื่อแท่งเหล็กไหลสุริยันแปรเปลี่ยนจากสีดำเป็นแดงราวกับเหล็กร้อน ร่างของทานธรรมสั่นสะท้านอย่างทรมานราวกับถูกไฟเผาจากด้านใน ทานธรรมกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ขณะที่วัฏจักรยังคงเงียบอยู่ได้ เขามีความอดทนมากพอ และจะไม่ยอมปริปากเด็ดขาด แต่สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ส่วนเหนือภพนั้นกำลังนั่งนิ่งจ้องมองผู้คุมกฎขวาตาแป๋ว แม้เหล็กไหลสุริยันที่ท้องของเขาจะสำแดงฤทธิ์เต็มที่จนมันสีแดงแจ๋ เหนือภพก็ยังนั่งนิ่งอยู่ได้
“นี่ตาแก่ ถ้าทำได้แค่นี้ก็เสียเวลาเปล่... เย้ย !!”
เหนือภพสะดุ้งโหยง เมื่อลูกธนูที่ยิงมาจากฟ้าในครั้งนี้ถูกเล็งตำแหน่งมาที่กล่องดวงใจของเขา แต่เหนือภพก็ถอยหลบได้ทันเวลา
“อย่าเล่นยังงี้สิ ขี้โกงนี่”
ผู้คุมกฎขวารู้สึกแปลกใจ แม้เขาจะไม่สามารถควบคุมเหล็กไหลสุริยันได้เต็มร้อย แต่เขาก็สามารถควบคุมมันได้ถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด และสามารถนำพลังของมันออกมาใช้และควบคุมได้ตามใจที่เขาต้องการแล้ว ทว่ามันกลับไม่ได้ผลกับเจ้าเด็กคนนี้
เพื่อยืนยันความคิดของเขา ผู้คุมกฎขวาตวัดมือไปด้านหน้าเพียงแผ่วเบา จากนั้นเหนือภพก็รับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลพุ่งเฉียดแก้มเขาไปด้วยความเร็วสูงมากเกินจินตนาการ ฉัวะ ! เลือดไหลรินออกจากแก้มของเหนือภพทันที
“ที่แท้เจ้าก็มีพรสวรรค์พิเศษไร้ความเจ็บปวดนี่เอง”
ผู้คุมกฎขวาเอ่ยอย่างรู้ทัน และเขาก็รู้ด้วยว่าในบรรดาคนที่มีความสามารถพิเศษในด้านนี้ เป็นกลุ่มคนที่ยากจะทรมาน จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นข่มขู่พวกเขา
“จันทรา”
“คะอาจารย์”
“เอามันขึ้นไปให้สูงที่สุด แล้วปล่อยลงมา”
“ค่ะ”
เหนือภพอ้าปากค้าง วินาทีต่อมาเขาก็พบว่าตัวเองกำลังถูกอินทรีโฉบยกตัวขึ้นไปบนอากาศเสียแล้ว
“เดี๋ยว พวกเจ้าบ้าแล้วหรือไง นี่มันถึงตายเลยนะ”
ภาพต่อมาคือภาพเหนือภพถูกทิ้งลงมาจากที่สูงกว่าหนึ่งพันเมตร เสียงกรีดร้องโหยหวนของชายหนุ่มดังระงม แม้เหนือภพจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่ความหวาดเสียวและความหวาดกลัวกับการมองเห็นร่างกายของจน ค่อย ๆ ตกลงไปเบื้องล่างนั้นคือความทรมานอย่างแท้จริง จนเหนือภพที่ชื่นชอบโจมตีผู้อื่นจากบนฟ้านั้น ก็ยังรู้สึกกลัว เพราะเขาในตอนนี้ไม่ได้มีร่างกายแข็งแกร่งอีกแล้ว เพราะเหล็กไหลเส็งเคร็งแท่งนี้
เหนือภพถูกโยนลงมาซ้ำ ๆ แล้วก็ถูกโฉบจับก่อนที่จะตกไป แล้วยกตัวขึ้นมาโยนซ้ำอีกครั้ง วนไปวนมาแบบนี้ จนกระทั่งเมื่อสบโอกาสพญานาคก็พุ่งพรวดออกจากตัวเหนือภพ มันขยายร่างกายใหญ่โตแล้วกลืนกินอินทรียักษ์ทั้งตัว
จันทรานั้นมีปฏิกิริยาฉับไว เธอรีบกระโดดดีดตัวออกจากอินทรีเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนเขมือบไปด้วย ทว่าเธอเองก็ลืมคิดไปว่า ขณะที่เธอกระโดดหลบบนฟ้านั้นมีความสูงจากพื้นดินเป็นพันเมตร ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่งเพียงใด แต่ด้วยความสูงขนาดนี้มันก็ต้องมีอ่วมกันบ้าง
“ไปดีมาดีนะสาวน้อย”
เหนือภพโบกมือหย็อย ๆ พลางฉีกยิ้มสะใจ ขณะเกาะอยู่บนหลังช่วงคอของพญานาคที่ช่วยใช้ปราณอสูรพยุงตัวเองให้ตกลงพื้นช้าอย่างช้า ๆ พร้อมกันนั้นมันก็ค่อย ๆ กลืนกินอินทรียักษ์จนหมดตัวแล้วพญานาคก็หดตัวกลับเข้าไปในสาบเสื้อของเหนือภพอีกครั้ง
“เดี๋ยวสิเจ้าบ้า เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ส่งให้ถึงพื้นก่อนสิ”
เหนือภพโวยวายพลางมองร่างของตัวเองตกลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นพญานาคก็สื่อสารตอบกลับมาในจิตของเหนือภพ
‘ถ้าข้าตกลงไปด้วยคงได้ถูกไอ้แก่นั่นทุบตีแน่ ดังนั้นข้าคิดว่าให้เจ้าโดนคนเดียวดีกว่า ช่วงนี้ข้าไม่สะดวกจะปะทะ’
เหนือภพได้แต่กัดฟันกรอด พลางปล่อยกายพุ่งตกลงไปตามยถากรรม
‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’
ยิ่งใกล้พื้นมากเท่าไหร่ ความเร็วของเหนือภพก็ยิ่งมากเท่านั้น เขาคิดหาวิธีการลงพื้นสารพัดวิธี แต่บทสรุปคือไม่รอดสักวิธี และอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าร่างกายของเขาก็จะตกถึงพื้นแล้ว
“อ๊ากกกก”
ฟุบ !!
เหนือภพตกลงไปในอ้อมแขนแข็งแรงของชายคนหนึ่ง ซึ่งคนที่มานั้นก็ทำให้ทั้งเหนือภพและศิษย์พี่ทั้งสองตกใจมาก
“อาจารย์ !! ท่านมาได้ยังไง”
ขณะเดียวกันนั้นผู้คุมกฎขวาก็กระโดดมารับลูกศิษย์สาวของตัวเองเช่นกัน ก่อนจะจ้องมองพระภิกษุรูปหนึ่งอย่างดุดัน
พระอาจารย์สิริจันโทสะบัดมือเบา ๆ ร่างของทานธรรมและวัฏจักรก็แอ่นโค้ง พวกเขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างกระแทกจากด้านหลังอย่างรุนแรง จนพวกเขาจำเป็นต้องแอ่นท้องมาข้างหน้า พร้อมกับแท่งเหล็กไหลราชันย์สุริยันในพุงของพวกเขาที่พุ่งออกมา และเหนือภพก็รับแท่งเหล็กไหลเหล่านั้นเอาไว้ได้
“อาจารย์ข้าขอเถอะ”
เหนือภพยิ้มหน้าบานอย่างไม่สนใจใคร แต่เขามีเหตุผล เพราะเขารู้สึกว่าเหล็กไหลราชันย์พิภพในกายเขากำลังทำบางสิ่งบางอย่างกับแท่งเหล็กไหลที่แทงอยู่ตรงท้องน้อย แท่งเหล็กไหลกำลังอ่อนยวบลงอย่างประหลาด ราวกับว่าเหล็กไหลของเขากำลังกลืนกินมันเข้าไป
“เจ้านี่มันยังเหมือนเดิมเลยนะ เป็นไง ข้าบอกให้เจ้ารู้จักฝึกสมาธิ แล้วก็ก่อเรื่องให้มันน้อย ๆ หากเจ้าฟังข้าบ้าง เจ้าจะตกอยู่ในสภาพนี้มั้ย”
“อาจารย์อ่ะ ก็ข้า...”
“เงียบเลย แค่เจ้าอ้าปากข้าก็รู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ไปยืนตรงนั้นกับศิษย์พี่ของเจ้าไป”
“ครับ”
เหนือภพหน้าจ๋อยลงทันที ก่อนจะเดินไปยืนต่อแถวเรียงหน้ากระดานกับศิษย์พี่ ที่ด้านหลังอาจารย์