ตอนที่แล้วตอนที่ 131 ข้าขี่ม้าไม่เป็น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 133 หมาป่าอสูรเพลิง

ตอนที่ 132 กลุ่มตัวปัญหา


“นายมีเรื่องเล่าอะไรไหม น้องใหม่”

พายุชวนเหนือภพคุย ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟและต่างก็เล่าเรื่องของตัวเองไปหมดแล้ว  เหนือภพที่กำลังพลิกเนื้อม้าย่างอยู่นั้นยิ้มอ่อน แล้วก็ส่ายหน้า

“เรื่องที่กลัว หรือไม่ชอบ หรืออะไรก็ได้ พวกเราเป็นพี่น้องกันแล้วนะ เอาน่าเกิดเป็นคนมันก็ต้องมีเรื่องให้เล่าอยู่แล้ว”

เหนือภพถอนหายใจแรง ก่อนจะตัดสินใจพูดเรื่องที่เขาไม่เคยบอกใคร แต่อย่างน้อยเพื่อนร่วมทีมก็ควรจะได้รู้เรื่องสำคัญของเขาไว้บ้าง

“งั้นข้ามีความลับจะบอก”

เหนือภพพูดด้วยใบหน้าจริงจัง ท่ามกลางความเงียบงันของพรรคพวกทุกคนที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ โดยมีเพียงเสียงเปลวไฟที่กำลังมอดไหม้คลอบรรยากาศเป็นระยะ

“ข้าไม่ชอบความหวาน”

พรรคพวกชายหญิงทั้งหมดงุนงง ทุกคนกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ พวกเขาไม่แน่ใจว่าเหนือภพกำลังพูดเปรียบเปรยอะไรบางอย่างอยู่หรือไม่

“เอ่อ เดี๋ยวนะ แค่นี้หรอ”

พายุถามย้ำอย่างคาดหวัง และทุกคนก็คาดหวังอยากรู้คำตอบเช่นกัน ระดับเหนือภพ ชายหนุ่มที่สร้างเรื่องวุ่นวายไปทั่วงานเทศกาลประมูลระดับแคว้นน่ะหรือจะมีเรื่องเพียงแค่นี้ มันจึงเกิดเป็นบรรยากาศอึดอัดที่ทำให้ทุกคนพยายามเร่งรัดเหนือภพด้วยท่าทาง

เหนือภพยกเหล้าน้ำผึ้งแบบหวานน้อยขึ้นดื่มหนึ่งอึก ก่อนจะไขข้อสงสัยของทุกคน

“จริง ๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ความหวานทำให้ข้ารู้สึกเจ็บก็เท่านั้น”

เหนือภพบอกเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดของเขาจะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมถ้าหากเขากินของหวาน ๆ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังจำเป็นต้องดื่มเหล้าน้ำผึ้งเป็นประจำเพื่อช่วยให้เหล็กไหลในกายไม่ขบถและย้อนกลับมาเล่นงานเขา ทว่าความลับที่เขาตัดใจเล่าออกมากลับกลายเป็นเรื่องตลกขบขันและสร้างเสียงหัวเราะให้หลาย ๆ คน แต่บางคนก็รู้สึกว่ากำลังโดนปั่นหัว พวกเขาจึงออกอาการฉุนเฉียวอย่างห้ามไม่อยู่

“ไอ้บ้า นี่แกปั่นหัวพวกข้าเหรอห๊ะ มุกไม่ฮาโว๊ย เดี๋ยวเชือดทิ้งเลยหนิ”

ทราย สตรีหน้าตาคมคายเยี่ยงบุรุษนางหนึ่งลุกขึ้นโวยวาย พลางคว้ามีดเตรียมจะพุ่งเข้าเสียบพุงของเหนือภพ แต่เธอถูกคนในทีมช่วยรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน

“ใจเย็น ๆ เจ๊ คนกันเองทั้งนั้น”

แกล้วกล้า ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เป็นคนกระโดดไปโอบรัดเอวของทรายเอาไว้ ไม่ให้พุ่งเข้าไปเสียบเหนือภพ เหมือนที่เสียบคนอื่น ๆ ที่ผ่านมา

“แต่ข้าเชื่อนะ”

พายุมองหน้าเหนือภพนิ่ง เขาเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มและหากนับอายุแล้วก็ห่างจากเหนือภพห้าปี สายตาและประสบการณ์ของเขาเฉียบคม เพราะเขาใช้ชีวิตในวงการอันธพาลโลกสีเทามานาน จนสามารถแยกแยะได้ว่าใครพูดจริงหรือโกหก

“เอาเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว รีบไปจัดการไอ้ตัวปัญหานั่นกัน แล้วเราค่อยมาจัดเลี้ยงกันอีกรอบเป็นไง”

“ดี ๆ” ทุกคนส่งเสียงตอบรับอย่างคึกคัก แม้แต่เหนือภพก็ยังรู้สึกคล้อยตามกับพวกเขาไปด้วย

“นี่เป็นเหล้าแก้วสุดท้าย ถ้าพวกเราจัดการไอ้ตัวปัญหานั่นไม่ได้ พวกเราก็จะไม่แตะเหล้านี่อีก ดีไหม”

“ดี ๆ เอ้าดื่ม”

ทุกคนต่างยกขวดเหล้าของตัวเองขึ้นมาชนกันกลางอากาศ แล้วก็ยกดื่ม ทันใดนั้นเองเหนือภพก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

‘ระวังด้านหลัง’

คำเตือนของพญานาคที่ดังขึ้นมาภายในจิต ทำให้เหนือภพทิ้งเหล้าที่อยู่ในมือ แม้จะเสียดาย แต่ชีวิตสำคัญกว่า เพียงพริบตาเดียวที่เหนือภพปล่อยเหล้า มือเขาก็เปลี่ยนเป็นกำปั้นแล้วชกไปด้านหลังพร้อม ๆ กับที่สัตว์อสูรรูปร่างคล้ายหมาป่ากระโจนเข้ามา หมัดทรงพลังของเขาเสยปลายคางของหมาป่าตัวนั้นเปรี้ยงใหญ่ ก่อเกิดเป็นพลังสายลมผลักร่างหมาป่ากระเด็นกระดอนออกไปไกล จนกระแทกเข้ากับต้นไม้หลายต้นที่อยู่ไกลลิบ

แม้พวกเขาจะเห็นอสูรหมาป่าเพียงแวบเดียว แต่ก็พอจะสังเกตเห็นว่ามันเป็นสัตว์อสูรหมาป่าตัวใหญ่ที่มีขนช่วงขาสีขาว ขนตรงลำแข้งสีเหลือง ส้ม ไล่เฉดสีขึ้นมาจนถึงขนใบหน้าและลำตัวที่มีสีแดงเพลิง แซมด้วยขนสีเงินทั่วตัว ใบหน้าของมันดูน่ากลัวเยี่ยงสัตว์ป่า เขี้ยวยาวเกือบหนึ่งคืบ ความสูงจากพื้นถึงหลังน่าจะสูงประมาณช่วงอกของเหนือภพ รูปร่างเพรียวแบบหมาป่าที่แข็งแรงและมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ามันจะมีจุดเด่นในเรื่องพละกำลัง ความดุร้าย ฉลาดเฉลียว หรือความว่องไวก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ ในตอนนี้พวกเขาได้เห็นถึงศักยภาพในการล่าเหยื่อโดยปราศจากเสียงของมันแล้ว ราวกับมันไร้ตัวตน

“ตามไป !”

พายุออกคำสั่งอย่างมีประสบการณ์ จากนั้นทุกคนก็พุ่งตัวตามไปด้วยความเร็วสูง ยกเว้นทิวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังวิ่งรั้งท้ายทุกคน

แม้ทุกคนจะได้ชื่อว่าเคยเป็นตัวปัญหา ชอบก่อความวุ่นวายไปทั่วโดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม จนเกิดความเดือดร้อนไปทั่ว แต่แท้ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขาต่างหากที่เป็นปัญหามากเกินไปจนต้องถูกทางสมาคมฮันเตอร์เข้ามาควบคุม

เพียงไม่กี่สิบวินาทีพวกเขาก็มาถึงจุดที่สัตว์อสูรตัวนั้นกระเด็นมาตก และเหนือภพก็มาถึงเป็นคนแรก ตามด้วยพายุ

“มันไปไหนแล้ว เหนือภพ”

“เรามาช้าไป มันหายไปแล้ว”

เหนือภพตอบ พลางก้มมองหลุมขนาดใหญ่ที่ยุบตัวลงด้วยน้ำหนักตัวของสัตว์อสูรหมาป่า กับหยดเลือดสีม่วงที่เปรอะเปื้อนอยู่เล็กน้อย พายุเห็นเช่นนั้นก็เรียกชื่อหนุ่มน้อยที่มีความสามารถเหมาะสมกับหน้าที่นี้

“มนต์”

“ข้าอีกแล้วเหรอ มันสกปรกจะตายไป”  มนต์เหลือบตามองพื้นดินและรอยเลือดอย่างรังเกียจ

มนต์ คือชายหนุ่มร่างผอมเพรียว บุคลิกดูนิ่งเงียบ สุภาพเรียบร้อย อาจดูเหมือนชายหนุ่มทั่วไปในเมืองหลวงที่ไม่โดดเด่นอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาคือยอดนักแกะรอยรุ่นเยาว์ ที่เติบโตขึ้นมาในรังโจร ทว่าไม่รู้เหตุใด หรือถูกใครลอบเอาหินทุบหัวตอนเด็ก เขาจึงชอบคิดว่าตัวเองเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ถูกทอดทิ้งในรังโจร เขาจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กลับสู่ฐานะเดิม โดยการแอบอ้างเป็นผู้ดีมีฐานะ บางครั้งก็ถึงกับแอบอ้างเป็นเชื้อสายจากราชวงศ์ ก่อให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว จนถูกมือปราบจับกุมหลายครั้งจนนับไม่ไหว  แต่สุดท้ายทางสำนักงานฮันเตอร์ก็ได้เล็งเห็นพรสวรรค์ของเขา แล้วดึงให้เขาเข้ามาช่วยในแผนกเฉพาะกิจ

“เร็ว ๆ อย่าให้ข้าต้องจับป้อนนะ” พายุดุมนต์เสียงเข้ม แต่มนต์ก็ทำได้แค่ชักสีหน้าไม่พอใจ

“ได้ ๆ”

มนต์นั่งยอง ๆ ลงข้างรอยเลือด เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้ชายเสื้อผ้าตัวสวยของเขาต้องแปดเปื้อน จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วขาวเรียวยาวจิ้มลงไปในกองหยดเลือด ก่อนจะทำสีหน้าพะอืดพะอมขณะแลบลิ้นออกมา ตัวของเขาสั่นสะท้าน และมือของเขาก็สั่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขารีบหลับตาปี๋ขณะแลบลิ้นออกมาแตะหยดเลือดบนนิ้ว

ร่างของมนต์สั่นกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะล้มตึงลงไปบนพื้นดิน จากนั้นปราณอาคมภายในร่างของมนต์ก็ค่อย ๆ ซึมออกมานอกร่างกาย แล้วร่างกายของมนต์ก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างคล้ายสัตว์อสูรหมาป่า ทั้งรูปร่างหน้าตาไม่ผิดเพี้ยน แตกต่างเพียงแค่ขนาด จากขนาดของอสูรหมาป่ากลับกลายเป็นขนาดเท่าตัวคนที่ยืนสี่ขา มนต์กลายร่างจำลองเป็นอสูรหมาป่าเรียบร้อยแล้ว

มนต์ทำท่าเหมือนสัตว์ป่าสี่เท้า เขาชะโงกคอมองไปทิศทางต่าง ๆ ก่อนจะหยุดที่ทิศตะวันตก แล้วพุ่งตัวออกไปในทันทีด้วยความเร็วที่ใครก็คาดไม่ถึง จากนั้นทุกคนต่างก็พุ่งตัวตามมนต์ไป พร้อมกับเรียกอาวุธประจำกายมาถือไว้ในมือ

“แบบนี้ไม่ดีแน่ มนต์เคลื่อนที่เร็วเกินไป”

ทรายวิ่งตามไปด้วยพูดไปด้วย แกล้วกล้าที่วิ่งอยู่ข้างหน้าเธอได้ยินเช่นนั้นก็หันหลังกลับมาตอบ

“เรื่องแบบนี้ มันขึ้นอยู่กับเขาที่ไหนล่ะ เจ้าตัวนี้มันแกร่งกว่าที่ผ่านมา”

“เร็วตามให้ทัน”

พายุพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น แล้วเขาก็รีบวิ่งนำหน้าทุกคนไปทันที สีหน้าของทุกคนดูเป็นกังวล ยกเว้นเพียง เหนือภพที่เพิ่งมาใหม่ เขายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ เขาจึงวิ่งขึ้นไปโดยลดความเร็วให้พอเคียงคู่ไปกับพายุ

พายุนึกได้ว่าเหนือภพอาจจะไม่เข้าใจสถานการณ์ เขาจึงอธิบายให้เหนือภพฟังพร้อม ๆ กับวิ่งตีคู่กันไปด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าของเขา

เหนือภพจับใจความได้คร่าว ๆ ว่ามนต์เป็นคนที่เก่งในด้านการสะกดรอยตาม เขามีปราณอาคมที่พิเศษ นั่นคือเขาสามารถลอกเลียนแบบสิ่งมีชีวิตได้ทั้งคนและสัตว์ แม้จะไม่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่มนต์ก็สามารถดึงความสามารถมาจากเลือดของสิ่งมีชีวิตนั้นได้เกือบครึ่ง ซึ่งการตามรอยด้วยวิธีนี้เมื่อนำมาใช้กับคนก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อนำมาใช้กับสัตว์อสูร มันถือจะเป็นการดึงดูดสัตว์อสูรที่ถูกลอกเลียนแบบตัวนั้น พวกสัตว์อสูรชนิดนั้นจะสัมผัสได้ถึงตัวตนของมนต์

จากการวิเคราะห์สัตว์อสูรตัวนี้ พวกเขาก็คิดว่ามันเลือกการหนีมากกว่าการต่อสู้ซึ่งหน้า เพราะหลังจากที่มันถูกเหนือภพป้องกันการลอบโจมตีนั้นได้ มันก็วิ่งหนีไปเลย ถ้ามันไม่บาดเจ็บหนักเพราะการโจมตีของเหนือภพ ก็อาจเป็นเพราะมันฉลาดมากกว่าที่เห็น มันอาจจะรู้ว่าการต่อสู้กับฮันเตอร์ที่รวมกลุ่มกันนั้น เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากเกินไป มันจึงเลือกการหนีไปตั้งหลัก แล้วคอยหาโอกาสไล่ฆ่าฮันเตอร์ทีเผลอทีละคน เหมือนกับเวลาที่มันลอบเข้ามาโจมตีคนในหมู่บ้าน เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเขาก็ยิ่งต้องวิ่งตามมนต์ให้ทัน เพราะยิ่งมนต์อยู่ห่างจากพวกเขามากเท่าไหร่ โอกาสที่มนต์จะตกอยู่ในอันตรายก็ยิ่งมีสูงมากขึ้น แต่มนต์ก็ช่างวิ่งได้ไวเหลือเกิน ระยะทางของมนต์ทิ้งห่างพวกเขาไปไกลแล้ว

เมื่อเหนือภพเข้าใจในวิธีการทำงานของมนต์แล้ว เขาจึงขออาสาติดตามมนต์ไปด้วยตัวเอง

“เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”

“อย่าเพิ่ง ไม่ใช่ตอนนี้” พายุฉุดรั้งแขนเหนือภพเอาไว้ ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม

“นี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้าเจ้าตัวนี้มันฉลาดอย่างที่ข้าคิด มันคงไม่ออกมาแน่ถ้าเห็นคนอื่น ๆ อยู่กับมนต์ รอก่อน รอมันเผยตัวออกมา แล้วเจ้าค่อยจัดการมัน ข้าเชื่อเจ้าว่าเจ้าทำได้”

พายุมองหน้าเหนือภพด้วยความเชื่อมั่น เขาคิดว่าเขาดูคนไม่ผิด เหนือภพเป็นคนที่เชื่อใจได้และมีฝีมือ

“อืม”

เหนือภพพยักหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องต่อสู้แบบทีม แม้ที่ผ่านมาเขาจะเคยแต่สั่งการคนอื่นมาตลอด แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเรียนรู้การลดอัตตาของตัวเองแล้วเชื่อฟังเพื่อนร่วมทีม ตามที่พระอาจารย์ชอบสั่งสอนเขามา

‘มันมาแล้ว’

เสียงเตือนจากพญานาคทำให้เหนือภพพุ่งตามมนต์ออกไปทันที

“เฮ้ย ! เวรเอ๊ย ทำบ้าอะไรวะ กลับมา !” พายุหลุดสบถคำพูดออกมา เพราะคิดว่าเหนือภพกำลังทำลายแผนของตัวเอง

แต่ทันทีที่เหนือภพใกล้จะถึงตัวมนต์ ทุกคนก็เห็นภาพเงาร่างของสัตว์อสูรหมาป่าตัวเขื่องที่พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ด้านตรงข้าม และนั่นก็เป็นด้านที่อยู่ใกล้มนต์มากที่สุด พายุหน้าซีด ทั้งตกใจและก็รู้สึกเสียหน้าไปในเวลาเดียวกัน

เหนือภพพุ่งเข้าไปตวัดดาบแส้ฟาดใส่ใบหน้าอสูรหมาป่าตัวสีแดงเพลิงดังเปรี้ยง ! ความรุนแรงของอาวุธระดับหกที่เกิดจากแร่หกสี รุนแรงมากจนทำให้อสูรหมาป่าล้มคว่ำไถลไปกับพื้น นับเป็นการยื้อเวลาและเปิดโอกาสให้คนอื่นในทีมที่ตามมาติด ๆ ได้แสดงฝีมือ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด