ตอนที่ 131 ข้าขี่ม้าไม่เป็น
เหนือภพรับสัมภาระมาจากษา สิ่งที่ได้ประกอบไปด้วย อาหาร ยารักษาอาการป่วยและอาการบาดเจ็บฉุกเฉิน อุปกรณ์เสริมสำหรับช่วยชีวิต เชือก แผนที่ ชุดเกราะ และเสื้อผ้าสำหรับออกทำภารกิจของเจ้าหน้าที่ และเงินหนึ่งถุงเป็นเบี้ยเลี้ยงสำหรับทำภารกิจ ภายในถุงเต็มไปด้วยเหรียญทองแดงรวมเป็นมูลค่าสามเหรียญเงินพอดิบพอดี
“นี่เป็นเบี้ยเลี้ยงของวันนี้ แล้วก็ล่วงหน้าอีกสองวันนะ ถ้าทำภารกิจล่าช้ากว่านี้ก็ออกเงินไปก่อน แล้วค่อยกลับมาเบิกคืนนะจ๊ะ”
“ครับ อ้อ พี่คนสวย พี่รู้อะไรเกี่ยวกับภารกิจนี้บ้างรึเปล่า”
เหนือภพเบาเสียงลงตอนถาม คำถามนั้นทำให้ษาหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้หรือแอบฟัง ษาจึงชะโงกหน้าเข้ามาใกล้กระจกแล้วกระซิบบอกว่า
“ภารกิจที่เจ้าได้ทำ มันเกี่ยวกับคนใหญ่คนโตของแคว้นที่ไม่ต้องการเปิดเผยให้สาธารณะรู้”
“ใครหรอครับ ทำไม….”
“เหนือภพ ! ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก คนอื่นรอเจ้าอยู่”
บงกตเอ่ยอย่างดุดัน ทำให้ทั้งเหนือภพและษาแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว ษากลับไปทำที่ทำหน้าที่ของตัวเองโดยมีสายตาของบงกตจ้องอย่างคาดโทษเธออยู่ ส่วนเหนือภพนั้น เมื่อรวบรวมสัมภาระทั้งหมดได้แล้วก็โบกมือลาพี่ษาไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ไว้เจอกันครับพี่คนสวย”
เมื่อเหนือภพเดินจากไปจนลับตาแล้ว บงกตก็พุ่งเข้ามาหาษาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน
“ตามข้ามา”
เมื่อษาได้ยินเสียงเข้มของบงกต ใบหน้าของเธอก็สลดลงทันที จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องนั้น ทะลุเข้าไปสู่ห้องพักเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้าง ๆ กัน ซึ่งภายในห้องนี้มีความเป็นส่วนตัวกว่ามาก
“ข้าบอกเจ้าเรื่องภารกิจ ก็เพราะไม่ต้องการให้เจ้าเป็นกังวล แต่ทำไมเจ้าต้องบอกคนอื่นด้วย”
“คนอื่นงั้นหรอ” ษาเงยหน้ามองบงกตด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เธอไม่ชอบท่าทีแบบนี้ของเขาเลย
“เพราะท่านเป็นแบบนี้ไง พี่น้องของพวกเราต้องตายไปเท่าไหร่แล้ว เพราะท่านเอาแต่ปิดบังข้อมูล ความจริงแล้วภารกิจนี้มันเกินความรับผิดชอบของแผนกเฉพาะกิจด้วยซ้ำ หรือว่าท่านเห็นว่าพวกเขาเป็นตัวปัญหา เลยคิดจะใช้พวกเขาไปทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ อย่าลืมสิ แม้พวกเขาเป็นตัวปัญหา แต่พวกเขาก็ยังเป็นคน มีเลือด มีเนื้อ มีชีวิตเหมือนกับเรา”
บงกตนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงแล้ว แผนกเฉพาะกิจ ไม่เพียงถูกจัดตั้งมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยากให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของแผนกนี้ถูกสร้างมาเพื่อควบคุมตัวปัญหาที่ชอบก่อความเดือดร้อน และมีโอกาสสูงที่พวกเขาจะสร้างความเสียหายต่อส่วนรวมในอนาคต อย่างเหนือภพ เป็นต้น ดังนั้นพวกตัวปัญหาเหล่านี้จะถูกทำทุกวิถีทางให้มาอยู่ในแผนกเฉพาะกิจเพื่อควบคุมและขัดเกลานิสัยใจคอพวกเขาด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยใช้หลักการที่ว่าใช้คนชั่วจัดการความชั่ว
แต่หลังจากที่แผนกเฉพาะกิจดำเนินการมาต่อเนื่องยาวนาน ก็มีบ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับอำนาจ และผลประโยชน์ทับซ้อน แม้จะมีการเปิดโปงจนต้องยุบแผนก แต่สุดท้ายเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็เล็งเห็นว่าแผนกนี้จำเป็นต้องถูกจัดตั้งขึ้นใหม่อีกครั้ง เพื่อใช้งานและเก็บตัวปัญหาไว้ใกล้หูใกล้ตา หากในอนาคตมีเจ้าหน้าที่ที่คิดไม่ซื่อ พวกเขาก็พร้อมที่จะตัดเนื้อร้ายทิ้งไปโดยไม่ไยดี
“ข้าเข้าใจเจ้า ษา ข้ารู้และเข้าใจความเจ็บปวดของเจ้าเป็นอย่างดี แต่กฎมีไว้เพื่อสร้างระเบียบ และระเบียบก็จะช่วยลดปัญหาในการอยู่ร่วมกันในสังคมใหญ่ได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
บงกตพูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้ษามองแผ่นหลังของชายที่เติบโตมาด้วยกันจากไปโดยที่เธอไม่คิดจะทักท้วง เพราะเธอรู้ว่าบงกตเป็นอย่างทุกวันนี้ได้เพราะเขาโตมากับแผนกเฉพาะกิจที่ค่อย ๆ ขัดเกลาเขา แต่กว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องผ่านประสบการณ์เลวร้ายมากมาย และเขาก็ค้นพบความจริงของชีวิตที่ว่าทุกคนต้องพบกับความสูญเสียอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก คนใกล้ชิด หรือแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง ดังนั้นการสูญเสียจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ข้าจะไม่ให้คนอื่นต้องกลายเป็นแบบท่านในวันนี้” ษาพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาทุกข์ระทม สีหน้าของเธอซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้อย่างล้ำลึก
“พี่ภพ ทางนี้ ทางนี้”
ทิวยืนโบกมือไปมาอยู่ตรงหน้าแผนกขนส่ง ที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่แผนกเฉพาะกิจอีกเจ็ดคน หากนับรวมเหนือภพด้วยก็เป็นแปดคนพอดี ทุกคนกำลังอบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมในการทำภารกิจ โดยมีเจ้าหน้าที่ของแผนกการต่อสู้ช่วยตรวจสอบสมรรถภาพร่างกายไปพลาง ๆ ขณะรอแผนกขนส่งจัดเตรียมม้าอสูรเพื่อใช้ในการเดินทางระยะไกล
“เจ้ามาที่นี่ได้ไง”
“ข้าออกจากหมู่บ้านมาพร้อมกับพวกพี่ญาดาหลังจากที่พี่จากไปไม่กี่ชั่วโมงน่ะ”
“ไม่ใช่ ข้าหมายความว่าเจ้าได้มาเป็นเจ้าหน้าที่ด้วยได้ยังไง”
“ก็คนของสำนักงานฮันเตอร์ติดต่อให้ข้ามารับรางวัล ดูสิข้าแรงค์ E เท่าพี่แล้วเห็นไหม”
ทิวพูดจบก็ชูข้อมือขวาให้เหนือภพดูตัวอักษร E อย่างภาคภูมิใจ
“หากไม่ใช่เพราะพี่นะ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะจัดการภารกิจนั่นได้หรือเปล่า แล้วพอข้าได้ข่าวว่าพี่มารับรางวัลไปแล้ว และได้เข้าแผนกเฉพาะกิจด้วย ข้าก็เลยอ้อนวอนเจ้าหน้าที่ขอตามพี่เข้ามาทำงานด้วย”
“เจ้านี่มันบ้าไปแล้ว”
เหนือภพส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แม้แต่เขาเองยังไม่แน่ใจเลยว่าการที่เขาเลือกตกลงรับงานนี้มันดีหรือไม่ แต่เจ้าเด็กนี่กลับระริกระรี้อยากเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่แผนกเฉพาะกิจ
ส่วนทิวนั้นได้แต่ยืดเหยียดร่างกายอยู่ข้าง ๆ เหนือภพด้วยรอยยิ้มแป้น หลังจากประสบความสำเร็จในภารกิจที่ผ่านมา ทิวก็มั่นใจแล้วว่าการติดตามเหนือภพไปจะทำให้ชีวิตของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นอน
“ใครที่ตรวจร่างกายเสร็จแล้วไปรับม้าอสูรได้เลยไม่ต้องรอ”
เจ้าหน้าที่แผนกการต่อสู้พูดกับทุกคนในทีม เหนือภพยิ้มอ่อน ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่การต่อสู้ เพื่อตรวจสภาพร่างกาย จากนั้นเขาก็ไปรับม้าอสูรเพื่อใช้ในการเดินทาง ทว่าเขามีปัญหาบางอย่าง
“เอ่อ อย่าว่ายังงี้ยังงั้นเลยนะ คือข้าขี่ม้าไม่เป็น”
“ห่ะ”
เจ้าหน้าที่ที่กำลังจูงม้าอสูรมาจ้องมองเหนือภพราวกับเห็นเหนือภพเป็นเด็กอมมือ โตกันจนป่านนี้แล้วยังมีคนที่ขี่ม้าไม่เป็นอีกหรือ เจ้าหน้าที่ร่วมแผนกเฉพาะกิจอีกเจ็ดคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็มองมาที่เหนือภพอย่างดูถูก ยกเว้นทิวเพียงคนเดียวที่มองเหนือภพอย่างประหลาดใจ แต่พอทิวคิดไปคิดมาเขาก็ลอบยิ้มอยู่กับตัวเอง พลางคิดในใจ
‘อัจฉริยะก็แบบนี้แหละ พวกเขาแตกต่างจากคนทั่วไปเสมอ’
“ข้าไม่เคยขี่ม้าน่ะ สัตว์อสูรชนิดอื่นก็ไม่เคยขี่”
เหนือภพรับสายจูงม้าอสูรมาอย่างอิดออด ในอดีตอย่าว่าแต่ขี่สัตว์อสูรเลย ต่อให้เป็นรถเทียมเกวียนเขาก็ยังนั่งไม่ได้ ทว่ายังไม่ทันที่เหนือภพจะได้พูดอะไรต่อก็หนึ่งในทีมเฉพาะก็พูดขึ้นเสียก่อน
“ถ้าเจ้าไม่เอา ข้าขอ”
พายุ ชายหนุ่มกล้ามโตที่นั่งอยู่หลังม้าอสูรพูดกับเหนือภพอย่างเสียงดังฟังชัด เขามีรอยแผลเฉียงพาดใบหน้าของเขาตั้งแต่คิ้วจรดกรามด้านล่าง แค่กวาดตามองครั้งเดียวก็พอจะเดาได้ว่าเขาต้องเคยเป็นอันธพาลมาก่อนแน่ ๆ
“เจ้าจะขี่ม้าอสูรสองตัวได้ไง” เหนือภพขมวดคิ้วมองพายุอย่างไม่เข้าใจ ส่วนพายุก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“เปล่า ข้าจะเอาไปกิน”
“ห่ะ” เหนือภพตะลึงอยู่แค่เสี้ยววินาที แล้วเขาก็ตั้งหลักกลับมาได้
“เอามา 1 เหรียญเงิน”
พายุโยนถุงเงินเบี้ยเลี้ยงที่มีมูลค่า 3 เหรียญเงินให้เหนือภพทันที สำหรับเขาแล้วเงินแค่นี้ถือว่าคุ้มค่ากับเนื้ออสูรม้าตัวใหญ่แบบนี้
“เดี๋ยว ๆ พวกเจ้าสองคนคุยอะไรกัน หลังจบภารกิจต้องนำสัตว์พาหนะของสำนักงานมาคืนนะ”
เจ้าหน้าที่ทักท้วง พลางจ้องพายุกับเหนือภพอย่างไม่พอใจ เหนือภพเห็นดังนั้นก็รีบจูงม้าเดินไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกคนแปลกหน้าของเขา
“เฮ้ ข้าล้อเล่นน่ะ มามะ ข้าจะจูงมันไปเอง ไปพวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
จากนั้นเหนือภพก็เดินจูงม้าเคียงข้างกลุ่มชายฉกรรจ์ พวกเขาเดินทางไปไม่ไกลนัก เจ้าหน้าที่ที่ดูแลม้าอสูรได้แต่มองตามไปอย่างเป็นกังวล แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเหนือภพคุยกับพายุอยู่ไกล ๆ
“จะว่าไป การทำภารกิจที่เสี่ยงแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาแหละเนาะที่จะมีการสูญเสียบ้าง ม้าอสูรพวกนี้ก็มีพลังป้องกันต่ำจะตาย มันตายง่าย เจ้าว่ามะ”
เจ้าหน้าที่เบิกตากว้างอย่างคิดไม่ถึง นี่เหนือภพคิดจะขายม้าอสูรจริง ๆ หรือนี่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เห็นพายุพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วพายุก็พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้ยินแล้ว
“หน็อย พวกเจ้านี่มัน… เฮ้อ”
กรุบ กรุบ กรุบ
เสียงกีบเท้าม้ากลุ่มใหญ่ดังระงมก้องไปทั่วผืนป่าใกล้ ๆ เขตหมู่บ้านตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนตามมาด้วยเสียงคำสั่ง ‘หยู๊ดดดด’ ที่ดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
“เฮ้ พวกเจ้า มาช้าเกินไปหรือเปล่า”
เหนือภพก้าวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ พลางโบกไม้โบกมือไปมา ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำลังยกผลมะยงชิดขึ้นมากัดกิน ผลมะยงชิดนั้นนับเป็นผลไม้พื้นบ้านที่ขึ้นชื่อในป่าแถบนี้ สายตาของเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจทั้งเจ็ดคนเบิกกว้างอย่างแปลกใจ ไม่เว้นแม้แต่ทิว
“ข้าว่าแล้ว เด็กใหม่อย่างเจ้าต้องไม่ธรรมดา” พายุเอ่ยเป็นครั้งแรกหลังจากลงจากม้าอสูร แล้วสายตาของเขาก็มองไปรอบ ๆ
“แล้วม้าของข้าล่ะ”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้ม แล้วผายมือไปด้านหลัง พายุเดินตามมือของเหนือภพไป แล้วเขาก็พบกับม้าอสูรของเหนือภพที่ถูกผูกติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ เหนือภพอุ้มมันวิ่งมาตลอดทาง เมื่อใกล้ถึงที่หมายเขาจึงหยุดพักเพื่อรอพรรคพวกและจับม้าอสูรผูกเอาไว้ให้มันหายคลั่ง เนื่องจากม้าอสูรตัวนี้ไม่เคยมีประสบการณ์ถูกอุ้มแล้ววิ่งด้วยเร็วสูงมากก่อน มันจึงมีอาการตื่นตระหนกจนคลุ้มคลั่ง
“ข้าชื่อพายุ เจ้าชื่ออะไร”
“เหนือภพ”
เหนือภพตัดสินใจไม่คิดปิดบังชื่อที่แท้จริงของเขากับคนในแผนกเดียวกัน ตอนที่เขานั่งกินมะยงชิดเพื่อรอพรรคพวกนั้น เขาก็คิดได้ว่าตอนนี้ชีวิตของพวกเขาถูกผูกเอาไว้ด้วยกันแล้ว แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และแม้ว่าพวกนั้นจะดูน่ากลัว ท่าทางของแต่ละคนดูราวกับคนที่เติบโตมาอย่างปากกัดตีนถีบ ไม่แน่ใจว่าจะไว้ใจกันได้แค่ไหน แต่นี่คือภารกิจแบบทีม ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเหนือภพก็ต้องการสานสัมพันธ์เป็นมิตรสหายกับทุกคนให้ได้
“เหนือภพ” พายุพูดทวนชื่อก่อนจะพยักหน้ารับ
“ข้าจะจำไว้ ไปเถอะเหนือภพ ไปกินเนื้อม้าอสูรกัน พี่น้องทุกคน วันนี้ข้าเลี้ยงเอง”
สิ้นเสียงพายุ ทุกคนก็ส่งเสียงโห่ร้องตอบรับราวกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้ พอได้คุยกันมากเข้าเหนือภพถึงได้เข้าใจว่า ก่อนที่เหนือภพและทิวจะได้เข้ามาร่วมแผนกนี้ ทีมเฉพาะกิจไม่ได้มีแค่พวกเขาทั้งหกคน แต่พวกเขามีจำนวนมากกว่านี้ ผ่านภารกิจเป็นตายกันมาหลายต่อครั้ง สุดท้ายทีมเฉพาะกิจก็เหลือเพียงแค่หกคน พวกเขาจึงมีธรรมเนียมเฉพาะกลุ่มที่ว่า ต้องจัดงานฉลองกันก่อนเริ่มงาน อย่างน้อย ๆ หากใครพลาดท่าตายจากไป ก็จะได้ไม่รู้สึกเสียดายที่พลาดงานเลี้ยงนี้ มันเป็นงานเลี้ยงของการบอกลาล่วงหน้า