ตอนที่3 ผีปอบอาละวาด NC
ตอนที่3 ผีปอบอาละวาดNC
กลางดึกคืนนี้มีหญิงสาวชายหนุ่มเดินจูงมือเกี่ยวแขนกันกลางทุ่งนายามฟ้าสาง พูดคุยหยอกล้อกระหนุงกระหนิงกันไปตลอดทาง
“อ้ายบุญ..สิพาเดือนไปไส..คิกๆ”
(พี่บุญ..จะพาน้องเดือนไปไหนคะ..คิกๆ)
“ไปได่กะได่..อ้ายใหย่แล้วตั๋ว”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกปนหัวเราะ
(ไปไหนก็ได้..พี่โตแล้วนะ)
“แล้วบ่องอื่นสิใหย่นำบ่น้อ..”หญิงพูดด้วยน้ำเสียงลากยาวคล้ายกับออดอ้อน
(แล้วตรงอื่นน่ะจะใหญ่ด้วยไหมล่ะหนอ)
“บ่องได๋ล่ะจ๊ะน้องเดือนของอ้าย..”
(ตรงไหนล่ะจ๊ะน้องเดือนของพี่) ชายหนุ่มหยุดเดินก่อนจะสวมกอดจากด้านหลังของหญิงสาวในทันที
“อ๊ะ..อ้ายบุญนี่กะฟ้าวแถ่ะ..เพี๊ยะ”
(พี่บุญนี่ก็รีบจังเลยค่ะ)
“ตีอ้ายเฮ็ดหยังน้องเดือน..ฮู้บ่อ้ายถ่ามาโดนแล้วเดะ..”
(ตีพี่ทำไมน้องเดือน..รู้ไหมพี่รอมานานแล้วนะ)
“ถ่าอีหยัง..”
(รออะไรล่ะคะ)
“กะถ่าสี่น้องเดือนนี่แมะ..”(ก็รอเย็..น้องเดือนนี่ไง) ชายหนุ่มไม่รอช้าคว้าหมับเข้าที่เนื้อนุ่มสองลูกที่ยืดหยุ่นตามแรงกดของฝ่ามือผ่านเสื้อคอกระเช้าที่หญิงสาวสวมอยู่
“อ๊ะ..อื้อ..อ้ายบุญ”
“ใหย่แท้น้องเดือน..อ้ายบ่ไหวแล้ว”
(ใหญ่จังเลยน้องเดือน..พี่ทนไม่ไหวแล้ว)
“อื้อ..อ้ายบุญ..”ชายหนุ่มไม่รอช้าจูงแขนหญิงสาววิ่งไปที่กระท่อมน้อยทันที แต่เพราะวันนี้พระจันทร์เต็มดวงจึงทำให้ไม่ต้องพึ่งไฟจากตะเกียง เพราะแสงจันทร์สว่างมากพอที่จะเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ถนัดตาไม่ต่างกับตอนมีไฟส่องสว่าง
ชายหนุ่มรีบปีนขึ้นกระท่อมน้อยปลายน้อยก่อนจะปลดเปลื้องผ้าขาวม้าตัวเองออกแล้วคลี่ปูรองเป็นที่นอนให้หญิงสาวนอนลงไปในทันที
“..น้องเดือน..”
“อ้ายบุญ..”
ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะกดปลายจมูกซุกไซ้ลงไปที่ต้นคอของหญิงสาวอย่างปลุกเร้า จนทั้งสองเริ่มถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นๆจนหมด กลายเป็นสองร่างเปลือยเปล่ากอดฟัดกันนัวกลางกระท่อมแบบไม่อายฟ้าอายดิน
“อื้อ..อ่า..อ้ายบุญ..อื้อๆ..”
“จุ๊บ..จุ๊บ..แผล่บ..แผล่บๆๆ”ชายหนุ่มไล่ตวัดปลายลิ้นลากไล้ผ่านลำคอลงมาถึงไหปลาร้าก่อนจะไล่ลงมาเรื่อยๆผ่านเต้าทั้งสองลงต่ำมาเรื่อยๆจนถึงท้องน้อย
“อ้ายบุญ..อื้อๆ..”เดือนดิ้นคลุกคลักไปมาอย่างจั๊กจี้ปนอึดอัดแต่ก็ ดิ้นพอเป็นพิธีให้อ้ายบุญชื่นใจเวลากอดรัดฟัดเหวี่ยงบนเถียงนาน้อย
“น้องเดือน..”นิ้วโป้งหยาบด้านไล่บี้กดติ่งเนื้อนุ่มปลายหยอดปทุมสีเข้มจนเริ่มแข็งเป็นไต ก่อนไล่ต่ำลงมาจนถึงติ่งเนื้อรอบข้าง ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะกดปลายลิ้นไปแตะเบาๆ ก่อนจะเริ่มเกร็งลิ้นตวัดเลียขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว
“แผล่บๆๆ..จ๊วบๆๆ..แผล่บๆๆ”
“อื้อๆๆ....อ้ายบุญ..อื้อๆ..”มือนุ่มขยุ้มลงกลางผมดกดำของชายหนุ่มก่อนจะเด้งเอวสวนเข้าใส่และอ้าปากร้องอย่างครวญครางก่อนจะกรีดร้องอย่างถึงที่พร้อมด้วยชายหนุ่มที่เร่งจังหวะการกระดกลิ้นขึ้นลงเพื่อเร่งจังหวะให้หญิงสาวถึงสรวงสวรรค์ตามที่หมาย
“อ้ายบุญ..แฮ่ก..แฮ่ก..อ่า..อ่า”
“จ๋า..น้องเดือน..”
“ขอ..เบิ่งของอ้ายแน่..”
“จ้า..น้องเดือน”ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งขัดตะมาทก่อนจะอ้าขาออกช้าๆ หญิงสาวยันตัวลุกมาเปลี่ยนเป็นกึ่งนั่งกึ่งคลาน ก่อนเอื้อมมือมากำรอบหัวท่อนเนื้อของชายหนุ่ม ก่อนจะสาวขึ้นลงเบาๆ และเพิ่มแรงเป็นการรูดขึ้นรูดลงเร็วขึ้น
“อื้อๆ..น้องเดือนอู้วว..อื้อๆๆ”
“อ้ายบุญ...อุ๊บ..อื้มๆๆ..แผล่บๆ..จ๊วบๆ ๆ”ริมฝีปากนุ่มๆกดลงที่ท่อนเนื้อด้วยความรวดเร็วพลางใช้ลิ้นดูดดันเลียรอบหัวท่อนเนื้อนี่ไปมาอย่างหิวกระหาย เสียงดูดดุนยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละ ไม่ช้าชายหนุ่มก็กดหิวของหญิงสาวลงก่อนจะกระแทกเอวใส่สองถึงสามครั้งและถึงที่หมายในที่สุดพร้อมด้วยน้ำสีขุ่นไหลทะลักย้อยออกมากจากปากของหญิงสาว
“อื้อออ..อึกๆ..อ้ายบุญ”
“แฮ่ก..แฮ่กๆ..น้องเดือน”ชายหนุ่มไม่รอโอกาสให้เสียเปล่ายกบั้นเอวเพรียวนั่นขึ้นนั่งก่อนจะกดเอวเด้งสวนใส่พรวดเดียวจนมิด
“อื้อออ..!!!”เดือนถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆบุญก็ดันทีเดียวเข้าไปจนมิด
“..ขออ้าย..สี่แน่”(ขอพี่เย็..หน่อย)
“อ้าย..บุญ..อื้อๆๆ..แปะๆๆๆ..ตั๊บๆๆๆ...แจ๊ะๆๆ..แปะๆๆ”เสียงเนื้อกระทบเสียดสีใส่กันและกันอย่างเต็มเหนี่ยวจนกระทั่งผิวกายทั้งคู่เริ่มโอนเอนไปมาตามแรงกระแทกจากทั้งคู่คน
“อื้อๆ..อ๊ะๆๆ..อ้ายบุญ..น้องสิแตกแล้ว..”เดือนบอกกับบุญด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ถ่าอ้ายก่อน..อื้อ..แปะๆๆ...ตั๊บๆๆๆ”
“อื้อ..แตกแล้ว..อื้อออ..อ๊ายยย”ชายหนุ่มเด้งเอวใส่ระรัวก่อนจะกระแทกเน้นๆ สองสามครั้ง จนท่อนเนื้ออ่อนตัวลงและหลุดออกมาดังบ๊วบตามความอ่อนตัวเมื่อเสร็จกิจจนสุขสมอารมณ์หมาย
“อื้มมม..พรูดดด..แปะๆ..บ๊วบ..ฮ่า..ฮ่า..”ชายหนุ่มนอนแผ่หลากับพื้นไม้อย่างหมดแรง
“อ้ายบุญ..อื้อ..”หญิงสาวล้มตัวลงนอนทับร่างของชายหนุ่มอย่างอ่อนเพลียก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มบรรเลงบทเพลงรักอีกครั้งในไม่ช้า
“อื้อๆ..อ้ายบุญ..อ๊ะๆๆ..เสียว..อื้อๆๆ ..”
“อื้อๆ..แปะๆๆ..ตั๊บๆๆๆ..แจ๊ะๆๆ”
“แซ่กๆ..อื้อ..อ้ายบุญ..ดะๆ..เดี๋ยวก่อน..”เดือนที่กำลังหอบใจกระเส่าจู่ๆก็พลั้งปากบอกกับบุญให้หยุดก่อนสักพักเพราะเธอได้ยินเสียงบางอย่างที่อยู่บริเวณนี้
“อื้อๆ..แปะๆ..มีหยังน้องเดือน”
“เมื่อกี้น้องได่ยินเสียงอีหยังบ่ฮู้..”ทั้งสองหยุดขยับร่างกายและเอียงหูฟังเสียงปริศนาที่ดังมาจากแถวทุ่งนา
“แซ่กๆ..แซ่กๆๆ”
“ได่ยินบ่..เสียงคืออีหยังอย่างอยู่..”
(ได้ยินไหม..มีเสียงอะไรกำลังเดินอยู่)
“ชู่ว..ใส่เสื้อผ้าก่อน..”
ทั้งสองรีบใส่เสื้อลวกๆ กันก่อนจะนั่งกอดกันกลมแล้วฟังเสียงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างใจจดใจจ่อ เสียงที่ใกล้เข้ามาเริ่มดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะเงียบหายไปในทันที
“มันเป็นโตอีหยัง..”
(มันเป็นตัวอะไร..)
“ชู่ว..ถ่าก่อน..”
(ชู่ว..รอก่อน)
“ตุ๊บ..ตุ๊บๆ..ตุ๊บๆๆ”เสียงทุกอย่างรอบตัวนั่นเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงร้องของสัตว์ต่างๆ จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของทั้งสองคนอย่างชัดเจนหากร้องเงี่ยหูฟัง
“แกร๊ก..แกร๊กๆ..”เสียงคล้ายกรงเล็บของสัตว์ครูดผ่านเสาไม้ไปวูบเดียว
“ตุ๊บ..ตุ๊บๆ..ตุ๊บๆ...ตุ๊บๆๆ”ทั้งสองกับยิ่งหายใจแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“...”
“ปึง..!!!” เสียงคล้ายบางอย่างกระแทกตกลงใส่หลังคาสังกะสีอย่างจังจนทำให้ทุกคนเผลอร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด
“กริ๊ดดดด..อ้ายบุญซ่อยค่อยแหน่..อ้ายบุญ??..”(พี่บุญช่วยน้องด้วย..พี่บุญ?? ..) หญิงสาวร้องเรียกถามหาชายหนุ่มอย่างขวัญผวา แต่แล้วทุกอย่างก็เงียบฉี่ไปไม่มีเสียงตอบรับกลับมา หญิงสาวเดือนค่อยๆแหงนหน้าขึ้นมองช้าๆ แต่แล้วก็ต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้ง เพราะส่วนปากของชายหนุ่มถูกบางสิ่งบางอย่างที่แหลมยาวกระซวกทะลุออกผ่านปลายลิ้นออกมาจนถึงข้างนอกเลือดสีแดงไหลพุ่งกระฉูดออกมาเป็นสายขนาดใหญ่สาดใส่เดือนที่นั่งตาเบิกโพลงอย่างหวาดกลัว
“อุ๊..แค่กๆ!!..ช่วย..ด้วย..”บุญพยายามพูดคำให้เป็นคำแต่ก็พูดได้เพียงเสียงตะกุกตะกักไม่เป็นประโยคเท่านั้น
“กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!”หญิงสาวกระเด้งตัวลุกวิ่งจนตกดังตุ๊บลงกับพื้นจนจุกไปทั้งตัว หญิงสาวพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ไหว
“อ๊ะ..อือ”เธอพยายามตะเกียดตะกายคลานตัวไปกับพื้นดินเรื่อยๆ แต่แล้วเสียงดังก๊อกแกร๊กก็ยังคงไล่ตามาเรื่อยๆ จน เธอเห็นร่างของมันที่ยืนหลบมุมอยู่ตรงเสาไม้ผ่านแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เป็นร่างสีดำพร้อมตาสีแดงก่ำที่จ้องอาฆาตหมายจะเอาชีวิตเธอให้ได้
“อย่านะ..อย่าเข้ามา..ช่วยด้วย..ใครก็ได้ช่วยด้วย..”หญิงสาวยกมือพนมขึ้นไหว้สั่นอย่างขวัญหนีดีฝ่อเงาสีดำนั่นเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนที่จะกระซวกเข้าใส่กลางท้องของเธออย่างจังจนเลือดสีแดงกระฉูดเป็นบริเวณกว้างเปรอะเสาไม้และต้นหญ้าที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม
“กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด..!!!!!!!”เสียงร้องโหยหวนของเดือนมีมาเรื่อยๆไม่ขาดสายก่อนจะเงียบหายไปพร้อมกับเสียงจั๊กจั่นที่ร้องระงมทั่วบริเวณท้องนา
รุ่งเช้า ชาวบ้านนับสิบมุ่งล้อมทั่วบริเวณกระท่อมน้อยที่ห่างออกจากหมู่บ้านราวๆ200เมตร แห่มาดูศพชายหนุ่มและหญิงสาวที่เละไม่เป็นชิ้นคากระท่อม สภาพศพส่วนท้องและเครื่องในหายหมด ไม่เว้นแม้แต่สมองที่ถูกควักออกไปพร้อมลูกตาที่ถลนออกมาจากเบ้า ริมฝีปากฉีกยาวจนถึงหู แขนขาหักกระดูกทะลุออกจากแขนและขาทั้งสองข้าง ต้นขาซ้ายของหญิงสาวถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะจนเห็นท่อนกระดูกสีขาว ชั้นไขมันตรงหน้าท้องไหลทะลักออกมากองด้านนอกจนติดกับต้นหญ้า ส่วนผู้ชายนั้นก็สภาพไม่ต่างกันลิ้นถูกกระซวกออกจากทางท้ายทอยเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่ เครื่องในหายหมดไม่เว้นแม้แต่พวงไข่ของชายหนุ่มที่ถูกกระชากออกไปและท่อนเอ็นที่ถูกกัดขาดเป็นสองชิ้นตกหล่นอยู่ข้างๆตัว ไหล่ซ้ายโดนของบางสิ่งบางอย่างแทงทะลุจนเป็นโพรงโบ๋ จนมองเห็นรูอากาศจากอีกฝั่งของด้านหน้าได้
“อึก..อ้วกกก..ห่าอีหยังอีก..อ้วกกกก..แหวะ..เหม็น...อ้วกกกก”
“มันถืกอีหยังกินอีก..อ้วกกก....อ้วกกก”
(มันถูกตัวอะไรกินมาวะ)
“แค่กๆ ..แม่นอีเดือนกับบักบุญบ่หึ?”
(ใช่อีเดือนกับไอ้บุญหรือเปล่าหึ?)
“บ่ฮู้คือกัน..เบิ่งบ่ออก..หน่าเละตาโบ๋จั่งซี่ไผสิเบิ่งออก”
(ไม่รู้เหมือนกัน..ดูไม่ออก..หน้าเละตาโบ๋แบบนี้ใครจะดูออก)
“บ่แม่นถืกปอบกินติ??”
(ไม่ใช่ถูกปอบกินหรือไง?)
ชาวบ้านต่างถกเถียงกันไปต่างๆ นาๆ ตามประสา จนกระทั่งมีรถพยาบาลและเหล่าตำรวจมากมายหลายนายเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ในละแวกตรงนี้
“ขอทางให้พนักงานหน่อยครับ..ห้ามเข้ามานะครับเพราะพวกผมจะทำการเก็บหลักฐานแล้ว” ตำรวจหลายนายเข้ามากันพื้นที่ให้ชาวบ้านออกห่างจากบริเวณขณะที่ เหล่าทีมแพทย์เข้ามาเก็บตัวอย่างและตัวสอบหลักฐานกันอย่างขมักแขม่น
ตั้งแต่ที่ตื่นมาก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยแหะเรา
“หาวววว..แจ๊บๆต้องไปรับย่าที่วัดนี่..หาวววว”เดินลงบันไดลงมาข้างล่างเรื่อยๆ ก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมากระดกเอื้อกๆ แล้วเดินออกมาดูชาวบ้านข้างนอกที่พากันเดินคุยอะไรกันไม่รู้
“อึกๆ..ป้าๆมื้อนี่เขามีอีหยังกันรถตำรวจกับพยาบาลมาเฮ็ดหยัง”
(ป้าๆ วันนี้เขามีอะไรกันรถตำรวจกับรถพยาบาลมาทำอะไรกัน)กวักมือเรียกป้าคนหนึ่งที่เดินผ่านหน้าบ้านไป
“อ้าวปากลับมาแล้วบ่..มื้อนี่มีคนถืกปอบกิน..”
(อ้าวปากลับมาแล้วรึ..วันนี้มีคนถูกปอบกิน)
“ปอบ??”ฉันเลิกคิ้วอย่างมึนงงก่อนจะตั้งอกตั้งใจยืนฟังป้าเล่าต่อ
“แม่น..เป็นตาหย่านคักอย่าไปเบิ่งเด้อ..ศพเละเบิ่งบ่ออกซ่ำว่าไผเป่นไผแน่”
(ใช่..น่ากลัวมากอย่าไปดูเลยนะ ศพเละจนแยกไม่ออกหรอกว่าใครเป็นใครนะ)
“จ้า..”ได้แต่ยืนคิดแบบอดสงสัยไม่ได้ว่า ปอบกินจริงๆน่ะเหรอศพถึงเละจนดูสภาพไม่ออกขนาดนั้นไม่ใช่ถูกเสือตะปบกินหรือไงทำไมต้องคิดว่าเป็นผีปอบล่ะ แต่ก็เอาเถอะกลัวไว้ก่อนก็ดีจะได้ไม่กล้าออกไปไหนมาไหนตอนค่ำ
สะบัดหัวกับความคิดตัวเองก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปหยิบกุญแจ แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปเห็นอะไรสักอย่างที่คล้ายผู้หญิงชุดขาดรุ่งริ่งและผมเผ้ารุงรังยืนจ้องมองคอกวัวของบ้านหลังนึง
“เฮือก...”แต่แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ดันหันหน้ามาที่ฉันพอดีพร้อมกับแววตาที่เกรี้ยวกราดก่อนจะวิ่งหนีหายไปอีกฟากของคอกวัวซะงั้น
“อะไรน่ะ..เมื่อกี้อะไรน่ะ..”ฉันถึงกับลนลานไปหมดก่อนจะรีบคว้ากุญแจแล้ววิ่งแจ้นไปที่มอไซต์คันเก่าของตัวเองบิดเครื่องเต็มแรงที่60ก่อนจะวิ่งฉิ่วไปตามถนนดินแดง จนถึงวัดป่าที่ห่างจากตัวบ้านราวๆเกือบกิโล เลี้ยวรถเข้ามาในวัดก่อนจะจอดเก๋ๆ ที่ต้นมะขามหวาน
“พรึ่ม..เฮ้อออ..ฮ้อนแถ่ะ”พัดลมร้อนกับตัวเองพั่บๆก่อนจะเดินดุ่มๆไปหาพวกย่าๆทั้งหลายที่พากันนั่งตำหมากกันอยู่แถวศาลาวัด
“อ้าว..ปามาเมื่อได๋คือบ่บอกย่าแน่”
(อ้าวปามาตอนไหนทำไมไม่บอกย่าซะหน่อยล่ะ)
“สวัสดีจ้าย่าๆ ..ปาพึ่งเมียจากโรงบาลเมื่อวาน”(ปาพึ่งกลับจากโรงบาลเมื่อวานน่ะจ้ะเลยไม่ได้มาหา) ยกมือไหว้ทุกคนรอบโต๊ะก่อนจะสะบัดรองเท้าออกแล้วนั่งบนแขกับย่าๆ ทั้งหลายทั้งพากันเม้าท์มอยตามประสา
“มื้อนี่มีหยังกับหมู่บ้านปา..รถคือมาหลายคันแถ่ะ..ถุย..”
(วันนี้มีอะไรกันในหมู่บ้านปา..รถถึงมาหลายคันจังเลยล่ะ)
“มีคนบอกว่าถืกปอบกินตายอยู่ถ่งนา..ศพมุ่นเบิ่งบ่ออกว่าไผเป่นไผเพิ่ลว่าซั่น”
(มีคนบออกว่าถูกปอบกินตายอยู่ที่ไร่นา ศพเละจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใครเลยล่ะจ้า)
“อีหลีติ..บ่แม่นถืกหมอผีไล่จับไปเบิ่ดคราวนั่นแล้วติ..คาก..ถุย”
(จริงรึ..ไม่ใช่ถูกหมอผีไล่จับไปหมดตั้งแต่คราวนั้นแล้วเหรอ)
“ป๊อกๆ..แล้วไผถืกกินปา..ถุย”
(แล้วใครถูกกินล่ะปา)
“บ่ฮู้คือกันจ้าย่า..ปาบ่กล้าไปเบิ่ง..หย่าน”
(ไม่รู้เหมือนกันจ้าย่า..ปาไม่กล้าไปดู..น่ากลัว)
“ป่ะๆ..เมียบ้านเถอะสู..”
(ป่ะๆ..กลับบ้านกันเถอะพวกเรา) )
“ฟ้าวแถ่ะยายเพียร..คาก..ถุย”
(รีบไปไหนยายเพียร)
“สิฟ้าวไปเลี้ยงหลาน..บ่มีคนเบิ่งหย่านถืกปอบมาลักไปกิน”
(จะรีบไปเลี้ยงหลาน..ไม่มีคนดูกลัวถูกปอบลักไปกินเอา)
“ป่ะๆ..เมียบ้านกันสู..ปาซ่อยย่าเพิ่ลนำเด้อ..”
(ป่ะๆ..กลับบ้านกันเถอะพวกเรา..ปาช่วยย่าด้วยนะ)
“จ้าย่าๆ..ย่าเดี๋ยวปาซ่อย..ฮึบ..สวัสดีจ้าหมู่ย่าๆ...ปาไปก่อนเด้อ”
(จ้าย่าๆ ..ย่าเดี๋ยวปาช่วย..ฮึบ..สวัสดีจ้าพวกย่าๆ ..ปาไปก่อนนะ)
“ขี่รถขี่ลากะระวังเด้อปา..”
“จ้า..”
ประคองตะกร้าหมากแล้วก็ย่าเดินไปด้วยกันจนถึงรถก่อนจะถีบขาหยั่งลงให้ย่าถีบแล้วก็ขับไปช้าๆ ตามถนน
“ปา..”
“จ๋าย่า?มีหยัง..บรืนนนน”
“ถ่าย่าบ่อยู่..สิไปหาแม่โตกะได่เด้อ..”
(ถ้าย่าไม่อยู่แล้ว..จะไปหาแม่ก็ได้นะ)
“ย่า..อย่าเว้าจั่งซั่นแหมะ..มันบ่ดี”
(ย่า..อย่าพูดแบบนั้นสิมันไม่ดี)
“ย่ากะ..85แล้ว..”
“..ย่า...”
ต่อให้ย่าจะเป็นยังไงฉันก็จะอยู่ดูแลตลอดไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน ฉันสัญญาไว้แล้ว
ถึงบ้านเสร็จก็สายพอดี ย่าก็นั่งกินข้าวส่วนฉันก็ออกไปไร่ทุ่งตามปกติ เหมือนทุกวัน แต่วันนี้จะแปลกไปกว่าที่เคยเพราะฉันเจออะไรสักอย่าง ก็คือเจ้าเหมียวลายเสือตัวนั้นนั่นแหละมันกำลังเดินป้วนเปี้ยนไปมาหน้าสวนของฉัน
“ไอ้เหมียว..แกมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”สิ้นเสียงคำทักจากฉันไอ้เหมียวบ้านั่นก็กระโจนหายไปในป่า จนฉันต้องเผลอออกแรงวิ่งตามอย่างมึนงงไปด้วยซะ
แต่ก็หยุดเท้าชะงักไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะตามไปทำไมแต่แล้วจู่ๆไอ้เหมียวที่วิ่งนำไปก่อนก็หันคอมาชำเลืองมองดูฉันที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเพราะไม่ยอมวิ่งตามไป
“เหมียว??”
“ฉันต้องวิ่งตามแกจริงๆน่ะเหรอไอ้แมวบ้า”
เจ้าเหมียวยืนจ้องเขม็งแล้ววก็นั่งเลียขนไปพลางๆระหว่างที่รอฉันวิ่งตามมันไป
‘บางทีมันอาจจะพาไปหาลูกมันที่อยู่ในป่าก็ได้ หรือว่าอาจมีแมวบาดเจ็บฉันเคยเห็นนะ’
ฉันชั่งใจพร้อมกับลังเลไปด้วยขืนวิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าไม่โดนฆ่าตายรึไง แถมในนั้นก็เป็นป่าดิบนะไม่ใช่ห้าง
“เฮ้อ..แต่ก็เอาเถอะถือซะว่าช่วยสัตว์”
“เหมียว..แผล่บๆๆ”
ฉันเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้ววิ่งไล่ตามมันไป มันรู้สึกตัวก็วิ่งนำฉิ่วไปไกลลิ่ว แต่ก็คงไม่มีอะไรเสียหายหรอกมั้งเพราะป่าไม่ลึกขนาดนั้นแถมมีหนทางอยู่ไม่น่าหลงหรอก
“รอฉันด้วยไอ้เหมียว..แซ่กๆๆ..ตึกๆๆ”
“เหมียววววววววว..”
ฉันออกแรงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้ตามไอ้เหมียวน้อยนั่นไปให้ทัน