ตอนที่ 1 ตำนานภูตตระกูลซ้ง
ตอนที่ 1 ตำนานภูตตระกูลซ้ง
ณ เมืองชิงถิงยามรุ่งอรุณ แสงสุริยากำลังแผดเผาสาดส่องผ่านต้นไม้ กระทบลงพสุธาที่เต็มไปด้วยโขดหินและวัชพืชแห้งแล้ง ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้ท้องนภารู้สึกอ่อนเพลียและฉุนเฉียวอย่างไร้เหตุผล
ชิงถิงเป็นเมืองเก่าแก่ขนาดเล็ก ซึ่งมีตำนานกล่าวขานมาอย่างช้านานว่า ในอดีตเมืองนี้ไม่ได้ถูกเรียกว่าชิงถิง แต่เนื่องจากมีเทพธิดาเซียนย่างกายผ่านเข้าเมือง และทิ้งดาบศักดิ์สิทธิ์ชิงถิงไว้ ทำให้เมืองนี้ได้รับการเปลี่ยนชื่อ
เวลาล่วงเลยมาถึงยามบ่าย แสงแดดร้อนระอุเริ่มหดหายกลายเป็นเมฆทมิฬปกคลุมทั่วท้องนภา แสงสายฟ้าฟาดมาพร้อมกับเสียงร้องคำรามดังสนั่น
ฝนตกลงกระหน่ำ ส่งผลให้ตลาดกลางเมืองที่คับคั่งไปด้วยผู้คนหยุดชะงัก พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายต่างวิ่งกรูเข้าไปหลบในโรงน้ำชา ผู้คนบางส่วนรวมตัวกันซุบซิบนินทาเรื่องบิดามารดาของจางและยังบอกกล่าวอีกว่าพวกเหล่าตระกูลหลีอายุสั้นนัก
“หลี่เหว่ย นี่เจ้าได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่าเหล่าตระกูลซ้งกำลังโดนภูตผีเล่นงาน?!” แม่ยายตระกูลฉีกระซิบกระซาบกับหญิงชราที่น่าจะอายุประมาณห้าสิบปี
“จริงรึ?” หลี่เหว่ยกวาดสายตามองรอบด้านแล้วกระซิบตอบ
“ข้ามิใช่คนพูดปด เมื่อวันก่อนเหล่าตระกูลซ้งทำการอัญเชิญนางเซียนปราบมารมาขับไล่ภูตผี... แต่ข้าได้ยินมาว่า ภูตตนนี้ดุร้ายมากเสียจนนางเซียนยังมิอาจทำสิ่งใดได้”
“ตระกูลซ้งทำสิ่งชั่วช้าอย่างไร้จิตสำนึก ข้าคาดว่าผีตนนั้นต้องใช่หลิวเอ้อเหนียงเป็นแน่ นางถูกปลิดชีพอย่างน่าเวทนานัก ข้าไม่เคลือบแคลงใจเลยสักนิดถ้านางจะคิดจองเวร คราวนี้ล่ะเห็นทีเหล่าตระกูลซ้งมิน่ารอด” เสียงหลี่เสี่ยวจุ้ยดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
“ชู่! สงบปากสงบคำของเจ้าด้วย เจ้าก็รู้ว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ควรพูดตามอำเภอใจ หากมีคนของตระกูลซ้งได้ยินเข้า มีหวังเจ้ากับข้าโดนตัดหัวแน่” ฉีเจียป๋อหันไปสังเกตรอบข้างจนแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินจึงหันกลับมากล่าว “ข้าว่าคราวนี้เหล่าตระกูลซ้งไม่มีหนทางรอด แต่ถ้าหากตระกูลซ้งไม่คิดเอาเปรียบตระกูลหลิวเจี่ย เรื่องเช่นนี้ก็อาจไม่เกิดขึ้น”
“บาปกรรมแท้ ๆ” ทั้งสองถอนหายใจในขณะที่ฝนเริ่มซา
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงท้องฟ้าที่มืดมนก็เริ่มกลับมาสดใส ดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านพ้นเมฆช้า ๆ ถนนที่ถูกสร้างมาจากโขดหินเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนเผยให้เห็นถนนทั้งสายเป็นสีเทา พ่อค้าแม่ค้าต่างเร่งออกไปตั้งร้านดังเดิม จากนั้นไม่นานตลาดใจกลางเมืองก็กลับมามีชีวิตชีวาพร้อมกับเสียงโหวกเหวกอีกครั้ง
ในทางกลับกันเหล่าตระกูลซ้งต่างอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์ต่างนั่งรวมกันในห้องโถงด้วยหน้าตาบูดบึ้ง ซ้ำแล้วถ้าหากหันไปจ้องมองอาจารย์ซ้งที่นั่งอยู่กลางห้อง ก็จะเห็นเพียงดวงตาดำหนาปูดบวมสองข้าง
“ท่านอาจารย์ท่านต้องคิดหาทางทำสิ่งใดสักอย่างแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีผู้ใดได้หลับนอนเป็นแน่” นางสนมหมายเลขสองที่นั่งอยู่ฝั่งขวากำลังคร่ำครวญด้วยใบหน้าซีดเซียว
“คิดหาทาง? นี่เจ้าจะให้ข้าคิดหาทางใดอีก?! ข้าอัญเชิญนางเซียนอาวุโสมาถึงสี่ท่าน ก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใดได้!” อาจารย์ซ้งวางถ้วยน้ำชาลงด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เนื่องจากท่านอาศัยอยู่ในตำหนักกลางสวนแห่งนี้เป็นเวลานานกว่าสิบปี แล้วเหตุใดถึงเพิ่งมีภูตผีมารบกวน เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มมาจากเหล่าทาสรับใช้ และศิษย์ในตำหนักบอกกล่าวต่อกันว่า มักเห็นใครบางคนปรากฏตัวขึ้นตรงสวนหลังตำหนักกลางดึกแทบทุกคืน อาจารย์ซ้งผู้อาวุโสสูงสุดไม่เคยเชื่อข่าวที่ร่ำลือกัน ทั้งยังตระหนักว่าคงเป็นเพียงเรื่องที่ถูกกุขึ้น แต่เวลาต่อมาไม่นานท่านอาจารย์ซ้งเผลอตื่นมากลางดึก และเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ข้างบ่อน้ำจริง ๆ…
ราตรีคืนนั้นช่างมืดมิด ท่านอาจารย์ซ้งจึงเห็นเพียงภาพเงาคนไม่มีผมสวมชุดขาวซีดกำลังทำปากพึมพำพร้อมกับจ้องเขม็ง ในตอนนั้นอาจารย์ซ้งรู้สึกหวาดกลัวจนแทบไม่สามารถเคลื่อนร่างไปที่ใดได้
หากย้อนไปสมัยที่อาจารย์ซ้งยังวัยเยาว์ ชาวบ้านต่างรู้กันดีว่าท่านเป็นอาจารย์ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมและไร้ความปราณียิ่งนัก ตำหนักตระกูลซ้งในปัจจุบัน แต่เดิมเคยเป็นของเหล่าตระกูลหลิวมาก่อน ซึ่งทายาทตระกูลหลิวหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย อาจารย์ซ้งจึงทำการส่งคนไปลอบตามดูหลิวเอ้อเหนียง ผู้เป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูลหลิว จนกระทั่งมาถึงวันที่หลิวเอ้อเหนียงแอบออกไปพบชายผู้เป็นที่รัก อาจารย์ซ้งจึงสั่งทาสเข้าบุกเรือนนั้น และบังคับขู่เข็ญให้ทั้งสองร่วมรักกันบนแท่นนอนจนเสร็จกิจ และเหล่าทาสก็รุมขื่นใจนางอย่างไร้เมตตา
ในที่สุดหลิวเอ้อเหนียงก็ถูกผู้อาวุโสจับได้ว่านางเสียพรหมจารีทั้งที่ยังไม่ได้เข้าพิธีสมรส และยังมีชาวบ้านเห็นเหตุการณ์จึงทำให้ข่าวสารแพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสตระกูลหลิวปลิดชีพตัวเองด้วยความรู้สึกโกรธเคืองและอับอาย
หลังจากผู้อาวุโสเพียงคนเดียวของตระกูลหลิวสิ้นชีพ หลิวเอ้อเหนียงจึงออกตามหาคนรัก แต่สุดท้ายกลับพบว่าตนถูกหลอก เพราะชายผู้เป็นที่รักมีครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว นางหลิวเอ้อเหนียงจึงโกนหัวและเข้าวัดบวชชีด้วยความรู้สึกหมดหวัง
หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ซ้งจึงทำการซื้อขายตำหนักได้ในราคาถูก และทำเรื่องเปลี่ยนชื่อตำหนักจากหลิวเป็นซ้ง ส่วนชายที่หลิวเอ้อเหนียงตกหลุมรักก็กลับกลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ตำหนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวบ้านต่างตระหนักว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นแผนการของอาจารย์ซ้ง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เนื่องจากนางตัดสินใจฆ่าตัวตายในตำหนักแม่ชีอย่างทุกข์ทรมาน
ในขณะที่อาจารย์ซ้งเห็นศีรษะไร้ผม เขาจึงตระหนักรู้ทันทีว่านั้นคือหลิวเอ้อเหนียง นางปรารถนาจะกลับมาแก้แค้นด้วยความอาฆาต
นับตั้งแต่นั้นภายในตำหนักก็เกิดแต่เรื่องราวไม่สงบสุข เช่น เนื้อสดที่เตรียมไว้สูญหายจากห้องครัวอย่างไร้เหตุผล ฟืนในโรงไม้มอดไหม้จนหมดสิ้น และเหตุการณ์น่าหวาดผวาที่สุดก็คือ ในขณะที่ท่านมเหสีแห่งตระกูลซ้งกำลังบำเพ็ญเพียรสวดมนต์ในวัด เครื่องบรรณาการที่วางไว้บนแท่นกลับสูญหายภายในพริบตา
เหล่าภูตผีก่อกวนจนเหล่าตระกูลซ้งตกต่ำลง ไม่มีผู้ใดในตำหนักกล้าเข้านิทราในยามราตรีอีกต่อไป อาจารย์ซ้งจึงประกาศตามหาเทพเซียนที่มีพลังอำนาจแรงกล้า แต่ทุกเมื่อที่เหล่านางเซียนปราบมารกล่าวว่าภูตถูกกำจัดไปจนสิ้นแล้ว วันรุ่งขึ้นก็จะมีศิษย์ในตำหนักเห็นภูตผีตนนั้นปรากฏอยู่ข้างบ่อน้ำหนแล้วหนเล่าดังเดิม
บัดนี้ไม่มีผู้ใดในตระกูลซ้งกล้าย่างก้าวใกล้สวนหลังตำหนัก นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะไม่ทราบข่าวลือนี้มาก่อน
“ท่านอาจารย์กล่าวสิ่งใดออกมา! ทุกคนยังไม่อยากตายที่นี่ เจ้าภูตผีตนนั้นจะออกตามสังหารพวกข้าเมื่อใด ไม่มีใครรู้ นี่ท่านจะให้ข้าเฝ้ารอความตายอย่างนั้นรึ?!” เจียต้า หนึ่งในนายน้อยตระกูลซ้งกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
คนในตำหนักต่างอ้าปากค้างหลังจากนายน้อยกล่าวเร่งให้อาจารย์ซ้งตัดสินใจ ทันใดนั้นอาจารย์ซ้งก็ตบต้นขาพร้อมกล่าว “ให้ตายสิ... นี่ข้าลืมเสี่ยวเฉียวไปได้อย่างไรกัน?!”
“ซ้งฉือ! เจ้าจงเร่งควบม้าไปยังอู๋หลันกวนสุดยอดเขาคังหลันและออกตามหาท่านป้าของเจ้า” ทันใดนั้นอาจารย์ซ้งก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนยังมีน้องสาว
เดิมทีตระกูลซ้งไม่มีมหาอำนาจในเมืองชิงถิงแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อห้าสิบปีก่อน เทพเทวาลัยได้ปรากฏกายขึ้นในเมืองชิงถิงเพื่อนำตัวซ้งเฉียวเอ๋อธิดาตนเดียวของตระกูลซ้งไปเป็นศิษย์บนเทวาลัย
นับแต่นั้นมาตระกูลซ้งก็กลายเป็นวงศ์ตระกูลมหาอำนาจในเมืองชิงถิง และชาวบ้านก็ต่างตระหนักว่าคนในตระกูลซ้งช่างสูงส่งเนื่องจากได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ และการยกย่องจากเทพเจ้าเพื่อขึ้นสู่สรวงสวรรค์โดยไม่ต้องรับการตัดสินกรรมดีและกรรมชั่ว
ซ้งเฉียวเอ๋อจากธรณีไปนานกว่าสี่สิบปี นางเคยเดินทางมาเยี่ยมตระกูลซ้งเพียงหนึ่งหน ซึ่งในขณะนั้นอาจารย์ซ้งอายุย่างเข้าห้าสิบกว่าปีแล้ว แต่ซ้งเฉียวเอ๋อกลับยังดูวัยเยาว์ราวกับอายุเพียงยี่สิบปี ด้วยเหตุนี้ทำให้อาจารย์ผู้อาวุโสศรัทธาความเป็นอมตะของเทพบนสรวงสวรรค์ยิ่งนัก ทั้งเชื่ออีกว่าการเป็นสาวกของเทพเทวาลัยคือการได้รับพรความเป็นอมตะด้วย
ก่อนจากไปซ้งเฉียวเอ๋อทิ้งท้ายไว้ว่านางกำลังฝึกบ่มเพาะพลังที่อู๋หลันกวนบนยอดเขาคังหลัน บัดนี้ตระกูลซ้งกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้าย อาจารย์ซ้งจึงนึกถึงน้องสาวของตน
ซ้งฉือบุตรชายคนโตไม่กล้าประวิงเวลา หลังจากรับคำสั่งของท่านพ่อ เขาจึงเร่งควบม้าไปยังยอดเขาคังหลันทันที
วันรุ่งขึ้นซ้งฉือเดินทางกลับมาถึงตำหนักเพียงผู้เดียว เมื่ออาจารย์ซ้งเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
“ซ้งฉือ ป้าของเจ้าล่ะ นางอยู่ที่ใด?” อาจารย์ซ้งผลักเฟิงเฉินทาสรับใช้ออกไป และดึงบุตรชายมาใกล้พร้อมกับกระซิบ
“ท่านพ่อ... ข้าไปไม่ถึงเขาคังหลัน เพราะระหว่างทางข้าพบเข้ากับนักพรต ข้าจึงเชิญท่านมายังตำหนักแทน” ซ้งฉืออธิบายด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ย... หน่อ! ไหน? ข้าไม่เห็นผู้ใดเดินเข้ามานอกจากเจ้า!” เมื่ออาจารย์เฒ่าตระหนักว่าบุตรชายกำลังหลอกให้ตนมีความสุข เขาจึงตบหน้าบุตรชายเต็มแรงหนึ่งที ซ้งฉือจ้องมองบิดาด้วยความเศร้าสลดพร้อมกล่าว “นักพรตกล่าวว่าท่านจะเดินทางมาคืนนี้ขอรับ”
หลังจากซ้งฉือกล่าวจบประโยค อาจารย์ซ้งหยุดชะงักไปชั่วครู่จนท้ายที่สุดเขาก็เชื่อว่าบุตรชายได้กล่าวเชิญนักพรตมาเยือนที่ตำหนักจริง ย้อนไปครั้งที่ซ้งฉือกำลังเดินทางผ่านป่าไพรไปยังเขาคังหลันในยามราตรี ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นนักบวชลัทธิเต๋าสวมชุดสีเขียวขจีเคลื่อนตัวลงประทับจากท้องฟ้าลงสู่พสุธา
หลังจากเห็นนักบวชลัทธิเต๋า ซ้งฉือไม่คิดคำนึงว่าตนจะรู้จักท่านผู้นั้นหรือไม่ เขารีบวิ่งพุ่งเข้าไปหานักบวชด้วยน้ำตา หลังจากที่นักบวชฟังคำบอกกล่าวอันเศร้าสลด ท่านก็ตัดสินใจไปกับซ้งฉือ ทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะไปยังเขาคังหลันและมุ่งกลับตำหนักทันที
ยามราตรีหนึ่ง ณ สวนหลังตำหนักตระกูลซ้ง สายลมเบาบางพัดโชยผ่านต้นหลิวริมธารา และสายน้ำยังคงกระเพื่อมไปตามแรงลม ภายใต้เงาแสงจันทร์สลัว สามารถมองเห็นร่างผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างบ่อน้ำฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสวนหลังตำหนักตระกูลซ้ง
แต่ถ้าหากลองใช้สายตามองอย่างถี่ถ้วน ก็จะพบว่าร่างเริ่มขยับราวกับกำลังอาบน้ำ!
ร่างนั้นเป็นของหญิงสาวปริศนา นางกำลังขับร้องเพลงพร้อมกับชำระล้างร่างกาย หากไม่สะเพร่าและตั้งใจฟังเสียงที่ทำให้บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์ จนกระทั่งอาจารย์ซ้งเกือบสิ้นชีพนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงทำนองเพลง ‘ในโลกนี้... ไม่มีอะไรดีกว่าการ... อาบน้ำ คนที่คอยบอกว่าฉันมีขี้ไคล~ ชาติหน้าขอให้ฉันเกิดเป็นปลาบู่ทองจะได้สวยเหมือนเอื้อยกับอ้าย แต่ถ้าเกิดเป็นสัญชาติคนฝรั่งก็ขอเป็นนางเงือกล่ะกัน ลั่นล้า ~’
“อั้ยย้า! มันจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้ามีเจลอาบน้ำ... ฉันไม่อยากใช้สบู่ก้อนเลยจริง ๆ!” เธอยืมกระบวยน้ำเต้าจากครัวมาตักน้ำเย็นจากบ่อ แล้วเทน้ำลงบนร่างกายเธอ พลางถอนหายใจ “การอาบน้ำที่ปราศจากสารปนเปื้อนนั้นสดชื่นมาก อ๊า~”
หลังจากอาบน้ำจนภิรมย์ใจ ฉีหวนก็ห่อ ‘ผ้าขนหนู’ สีขาวไว้รอบร่างกาย โชคดีที่เธอคว้าผ้าปูเตียงสีขาวผืนใหญ่ติดมือตอนข้ามเวลามาด้วย
ฉีหวนอายุยี่สิบสามปี เธอเป็นฟรีแลนซ์ที่ทำงานอยู่ในบ้านตลอดเวลา นอกเสียจากว่ามีธุระ หรือจำเป็นต้องเดินทาง เธอถึงจะยอมออกจากบ้าน ความฝันที่ยิ่งใหญ่และสูงสุดในชีวิตฉีหวนก็คือ การได้นอนอยู่บนเตียงโดยมีเงินใช้ และอาหารกินตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังข้ามเวลา เธอก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงแบบไม่ทันตั้งตัว
โชคดีที่เธอยังเหลือ ‘ผ้าปูเตียง’ ติดตัวมา ฉีหวนยังคิดไม่ตกว่าทำไมเสื้อผ้าถึงหายไปหลังจากการเดินทางข้ามเวลาครั้งแล้วครั้งเล่า อันที่จริงเรื่องนั้นเธอไม่ได้คิดมากเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเธอพบว่าผมและขนคิ้วอันเป็นมงกุฎของหน้าก็หายไปด้วย? เธอจึงรู้สึกว่ามันเกินไปแล้ว! (ความคิดของผู้หญิงทั่วไป : ถ้าผมมันร่วงเยอะแต่ร่วงทีละเส้นเหมือนในห้องนอนเราก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่นี่หายไปหมดทีเดียวจนเกือบโล้น ฉันรับบ่ได้)
ในขณะนั้นเธอมองโดยรอบก็รู้สึกโล่งใจเพราะเธอปรากฏตัวขึ้นในโรงฟืนของตระกูลซ้งยามราตรี เพราะถ้าหากมีใครมาเห็นเธอสภาพนี้มีหวังเธอต้องรู้สึกทุกข์ใจมากกว่าเก่าแน่ แต่ถ้าหากมีหนุ่มรูปงามผ่านมาเห็นก็ถือว่าเป็นอาหารตา แต่ถ้าเป็นเฒ่าแก่ซ้งเธอคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว!
เธอใช้มือสัมผัสศีรษะตนเองอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางเอกในนิยายส่วนใหญ่มักจะข้ามเวลาไปอยู่ในร่างของหญิงสาวรูปงามที่มีแต่ชายคอยแย่งชิงจะครอบครอง แต่ทำไมเธอถึงโชคร้ายแบบนี้!?