ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 17 : ก็แค่นั้น!
บทที่ 17 : ก็แค่นั้น!
ทันทีที่ซูอานหลบออกมาจากโรงเรียนได้ เขาก็รีบเรียกแท๊กซี่กลับไปที่บ้านเช่าของตนเองทันที
บ้านที่ซูอานเช่าไว้นั้นอยู่นอกเขตเมืองตงเฉิง เป็นบ้านที่สร้างตั้งแต่ปี 1980 จึงมีสภาพค่อนข้างทรุดโทรมมาก ราคาค่าเช่าจึงค่อนข้างถูก
ซูอานได้เงินมาจากโจวไห่หวงห้าล้านหยวนซึ่งนับว่าจำนวนไม่น้อยทีเดียว ฐานะการเงินจึงถือว่าไม่ขัดสน แต่ที่เขาเลือกเช่าบ้านหลังนี้เพราะอยู่ห่างไกลผู้คน และค่อนข้างเงียบสงบ
และทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ซูอานก็นั่งขัดสมาธิ และเริ่มฝึกฝนวิชาตามคัมภีร์เก้าสวรรค์ทันที
คัมภีร์เล่มนี้เมื่อครั้งที่เขายังเป็นจักรพรรดิเสียนอู่ที่ยิ่งใหญ่นั้น เขาเคยบุกไปแย่งชิงมาจากสำนักแห่งหนึ่ง เวลานี้ข้อความของคัมภีร์เก้าสวรรค์ก็ยังฝังแน่นอยู่ภายใต้จิตสำนึกอันทรงพลังของเขา และเป็นประโยชน์กับเขามากในยามนี้
คัมภีร์เก้าสวรรค์นี้นับว่าเหมาะกับเขาในเวลานี้ยิ่งนัก แม้จะเป็นคัมภีร์สำหรับการฝึกจิต แต่ก็ได้รวบรวมเอาวิธีการดูดซับพลังชีวิตระหว่างสวรรค์กับผืนพิภพไว้ด้วย
หลังจากนั่งฝึกสมาธิจนกระทั่งรุ่งเช้า ซูอานกลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม.. เขากลับรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาทั้งสองข้างกลับมองเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
เวลานี้หากพินิจพิจารณาใกล้ๆ จะพบว่าซูอานนั้นเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ดังคำพูดว่าบุคลิกและความเชื่อมั่นมีผลต่อจิตใจ และจิตใจก็มีผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกด้วยเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ที่ซูอานสามารถเปิดจุดตันเถียนของตนเองได้แล้ว หลังจากที่ได้รับพลังชีวิตเข้าไปผิวพรรณของเขาจึงสดใสอ่อนโยนราวกับเด็ก
ซูอานคว้ากระเป๋านักเรียน และวิ่งไปโรงเรียนทันที!
ที่ซูอานตั้งใจที่จะไปเรียนในโรงเรียนนั้น เพราะเขาต้องการทำความเข้าใจและทำความคุ้นเคยกับโลกใบนี้ให้มากขึ้นนั่นเอง
ระหว่างทางซูอานก็ได้แวะร้านติ่มซำรับประทานอาหารเช้า การกินจุของซูอานสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้างได้อย่างมาก และเวลานี้เขาก็ชื่นชอบซาลาเปาที่สุด
และเมื่อซูอานไปถึงโรงเรียน เขาก็เดินเข้าห้องเรียนไปตามปกติเช่นเคย..
ซูอานเดินไปตามถนนที่มีดอกซากูระร่วงโรย ตลอดทางมีรถหรูมากมายจอดอยู่เต็มสองฟากถนน ถึงแม้จะมีนักเรียนชายหญิงหน้าตาหล่อสวยมากมาย แต่ทุกคนดูเหมือนจะให้ความสนใจกับซูอานมากกว่าใคร และเวลานี้เขาก็กลายเป็นคนโด่งดังของโรงเรียนแห่งนี้ไปเสียแล้ว
แต่ครั้งนี้ผู้คนที่จ้องมองมาทางซูอานนั้นกลับไม่มีทีท่าตื่นเต้นตกใจเหมือนเมื่อวาน ทุกคนต่างก็จ้องมองซูอานด้วยสายตาเหยียดหยันและเย็นชา
ซูอานเดินไปโดยไม่สนใจสายตาเหล่านั้น จุดประสงค์ของเขาคือเพียงแค่ใช้เวลาภายในโรงเรียนแห่งนี้ คอยสอดส่องหาสถานที่ที่จะสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปได้เท่านั้น
“ซูอานมันดวงดีมากกว่า!”
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่ได้สวมชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนเป็นผู้พูดขึ้นมา แต่เขาไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรซูอานมากนัก
“นั่นสิ! เห็นว่าไห่เทียนกรุ๊ปกำลังถูกตรวจสอบเรื่องการเลี่ยงภาษีอยู่ ตอนนี้สรรพากรกำลังตรวจสอบอย่างเข้มงวดเลยล่ะ!”
“สงสัยงานนี้ไห่เทียนกรุ๊ปคงต้องถึงคราวชิบหายแน่!”
“ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไห่เทียนกรุ๊ปจะล้มได้ แล้วถ้าล้มจริงๆนะ ต้องมีผลกระทบกับคนอีกนับพันเลยล่ะ!”
“ก็ไม่น่าไปหลีกเลี่ยงภาษีนี่นา.. มีหวังถูกปรับอานแน่!”
“โจวไห่หวงคงยุ่งอยู่กับเรื่องนี้จนไม่มีเวลาจัดการกับซูอานน่ะสิ มันก็เลยรอดมาได้!”
“นี่.. ฉันได้ข่าวมาว่าโจวไห่หวงจัดการส่งโจวเทียนห่าวไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวหนีรึเปล่าน่ะสิ?”
…..
เมื่อได้ยินคำพูดต่างๆของผู้คนรอบตัว ซูอานกลับไม่รู้สึกอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มออกมา และได้แต่คิดว่าถึงเวลาที่ไห่เทียนกรุ๊ปต้องถูกตรวจสอบบ้าง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็คงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความสามารถของตนเองต่อหน้าคนอื่นอีก และจะหลบซ่อนตัวอยู่ในโรงเรียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ซูอานเดินเข้าไปถึงห้องเรียนราวสิบนาทีก่อนเริ่ม ภายในห้องจึงมีนักเรียนกันอยู่พร้อมหน้า และค่อนข้างคึกครื้น
ทุกคนภายในห้องต่างก็กำลังพูดถึงเรื่องของบริษัทไห่เทียนกรุ๊ป และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องของซูอานเข้าไปเกี่ยวข้อง
เมื่อทุกคนเห็นซูอานเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็หันไปมองเขาเป็นตาเดียว แล้วใครบางคนก็เริ่มพูดจาดูถูก
“โธ่เอ๊ย! ที่แท้คุณชายซูกล้ามาโรงเรียนก็เพราะว่าไห่เทียนกรุ๊ปกำลังมีปัญหานี่เอง นึกว่าเก่ง!”
ฉีเจียนพูดตะโกนเสียงดังจนสามารถได้ยินกันทั่วทั้งห้องเรียน
แต่ซูอานกลับไม่สนใจ และแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน
“หึ! ฉันก็คิดว่าแกเก่งกาจไม่กลัวตาย ที่แท้ก็แค่ดวงดี!”
เมื่อเห็นซูอานไม่สนใจตัวเอง ฉีเจียนก็เริ่มโมโหมากขึ้น และเป็นฝ่ายเดินตรงเข้าไปหาเรื่องซูอานที่โต๊ะ
นักเรียนคนอื่นๆในห้องก็พากันลุกจากโต๊ะตัวเองเดินไปหาซูอานเช่นกัน พร้อมกับจ้องมองเขาด้วยสายตารังเกียจ
“ซูอาน! ฉันจะบอกอะไรให้ ต่อให้โจวเทียนห่าวไปต่างประเทศแล้ว แกก็อย่าคิดว่าตัวเองจะได้อยู่สุขสบายล่ะ? เพราะในโรงเรียนยังมีฉันอีกคน!”
“จะเสียเวลาพูดกับมันดีๆทำไม? ลากตัวมันออกไปอัดนอกห้องดีกว่า” เพื่อนนักเรียนอีกคนเป็นฝ่ายพูดขึ้น
ฉีเจียนนับเป็นคนที่โด่งดังในโรงเรียนแห่งนี้ไม่น้อย เขาเป็นคนใจกว้างและมีเพื่อนฝูงมาก และการที่เขาเป็นเดือดเป็นแค้นแทนโจวเทียนห่าวนั้น เพราะที่ผ่านมาโจวเทียนห่าวก็ดีกับเขาไม่น้อย
แต่เรื่องที่ทำให้ฉีเจียนไม่พอใจที่สุดก็คือ ก่อนหน้านี้ซูอานเป็นคนขี้ขลาดอ่อนแอแล้วก็ไม่สู้คน แต่ตอนนี้เขากลับเปลี่ยนไปอย่างมาก กลายเป็นคนจองหอง และเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในโรงเรียนจนบดบังรัศมีของเขา ทำให้ฉีเจียนไม่พอใจอย่างมาก
“ซูอาน แกกล้าออกไปชกกับฉันตัวต่อตัวมั๊ยล่ะ?”
ฉีเจียนจ้องมองซูอานด้วยแววตารังเกียจและเย้ยหยัน พร้อมกับร้องตะโกนท้าทาย
เจียงเหวินเหวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่สามารถอดทนต่อไปได้ เธอลุกขึ้นยืนจ้องมองฉีเจียนพร้อมตอบโต้กลับไปด้วยความโมโห
“ฉีเจียน ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้ปากนายกินข้าวไม่ได้หลายวันเลยล่ะ!”
เจียงเหวินเหวินนั้นมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้สึกหวาดกลัวฉีเจียน
“เจียงเหวินเหวิน ซูอานมันไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด! แต่เธอตามติดมันยังกับอะไร ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ?”
เจียงเหวินเหวินโกรธมากที่ถูกฉีเจียนพูดจี้ใจดำเช่นนี้ จึงยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเจียนพร้อมกับร้องตะโกนว่า
“ฉันจะฟ้องครูจางเรื่องที่นายรังแกนักเรียนรุ่นน้องเมื่อวานนี้!”
ฉีเจียนได้ยินคำขู่ของเจียงเหวินเหวินก็เริ่มหวั่นใจ เพราะหากพ่อของเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมา เขาคงต้องถูกดุด่าเป็นแน่ ฉีเจียนได้แต่หันไปมองซูอานพร้อมกับพูดเสียงเย็น
“ซูอาน ไอ้ขี้ขลาด เก่งจริงก็อย่าหลบอยู่ใต้กระโปรงผู้หญิงสิวะ! ถ้าแกเป็นลูกผู้ชายก็ออกไปสู้กับฉันตัวต่อตัว!”
ซูอานเงยหน้าขึ้นจ้องมองฉีเจียนแน่นิ่ง แววตาเยือกเย็นเด็ดขาดของซูอานนั้น ทำให้ฉีเจียนถึงกับสั่นสะท้านอยู่ข้างใน
‘ข้าไม่ต้องการจะใส่ใจกับมดปลวกเช่นเจ้า แต่เจ้ากับตามตอแยข้าไม่เลิก เช่นนั้นแล้วก็อย่าตำหนิว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!’
“เจ้าต้องการสู้กับข้าแบบใด? บอกมาได้เลย..”
ฉีเจียนชะงักไปเล็กน้อย ท่าทีข่มขู่ก้าวร้าวเมื่อครู่พลันลดลงเล็กน้อย จู่ๆฉีเจียนก็รู้สึกว่าซูอานไม่ใช่หมูอย่างที่เขาคิด แต่เวลานี้เขามีพวกอยู่อีกตั้งห้าคน เขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร
“ข้าสามารถจัดการกับเจ้าด้วยมือเพียงข้างเดียว!”
ซูอานพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน แววตาของเขาเปล่งประกายดุดันชัดเจนยิ่งกว่าเดิมในขณะที่พูดต่อว่า
“จะต่อสู้แบบใดก็ย่อมได้ แต่หากผู้ใดแพ้จะต้องถูกฆ่า เจ้ากล้าหรือไม่ล่ะ?”
ฉีเจียนถูกรังสีสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากแววตาของซูอานกดข่ม จนจิตใจและร่างกายสั่นสะท้านไปหมด เขาพยายามควบคุมตัวเองให้สงบลงและไม่ให้สั่น แต่ก็ไม่สามารถทำได้!
ฉีเจียนคิดไม่ถึงว่าซูอานที่เคยขี้ขลาดอ่อนแอ จู่ๆจะกลับกลายเป็นคนที่ยะโสโอหัง และเอาเรื่องเช่นนี้
สู้แบบไหนก็ได้ แต่ต้องฆ่าคนที่แพ้ให้ตาย มันไม่โหดเหี้ยมไปหน่อยเหรอ?
“แก.. แก.. แกคิดว่าฉันกลัวเหรอวะ?”
ฉีเจียนพยายามสงบสติอารมณ์และพยายามข่มความกลัวภายในใจ แต่เสียงของเขากลับทรยศ เพราะมันสั่นและติดๆขัดๆไปหมด..
“ในเมื่อเจ้ากล้าอย่างที่พูดจริง ก็เดินนำไปสิ จะมัวรีรออะไรกัน?”
ครั้งนี้ซูอานตะโกนเสียงดังกว่าเดิม เสียงของเขาดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง ทำให้นักเรียนทั้งหมดที่ได้ยินต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที และตกใจกับท่าทางดุดันเอาเรื่องของซูอาน
ทั้งฉีเจียนและนักเรียนคนอื่นๆต่างหวาดผวาตกใจ น้ำเสียงของซูอานนั้นทรงพลังอย่างน่ากลัว ทำให้พวกเขาถึงกับหวาดกลัวและไม่กล้าแม้แต่จะพูดตอบโต้ซูอานกลับไป
ความจริงแล้ว คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่ชอบใช้ความรุนแรงข่มเหงรังแกผู้อื่น แต่เมื่อเห็นซูอานที่ดูเหมือนจะรุนแรงกว่า กลับเริ่มหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะข่มเหงรังแกเขาอีก!