บทที่ 50 ความห่วงใย
บทที่ 50 ความห่วงใย
เมื่อเห็นซูหม่าและเพื่อนนักเรียนผู้ซื่อสัตย์ของซูหม่าจากไป นักเรียนคนอื่นๆก็แสดงความไม่พอใจขึ้นมาทันที สาเหตุเป็นเพราะว่าหากซูหม่ายังอยู่ ไม่มีใครกล้าพอที่จะบ่นต่อหน้าเขาตรงๆ พอซูหม่าจากไปแล้ว พวกเขาจึงได้พากันระบายความในใจออกมาอย่างเต็มที่
เนื่องจากว่า ซูหม่าเป็นคนต้นคิดและเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดที่จะพาเพื่อนนักเรียนในชั้นมาจัดกิจกรรมข้างนอก แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นและเดินหนีออกไปพร้อมกับสุนัขรับใช้ของเขา แล้วจะให้นักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นรู้สึกอย่างไร?
“แม่งเอ๊ย ไอ้ซูหม่านี่อวดดีจริงๆ!” จางเล่ยมองไปที่ด้านหลังของซูหม่าและสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ
“พูดไม่เพราะอีกแล้วนะ!” ถงเล่ยจ้องเขม็งไปที่จางเล่ยด้วยแววตาดุร้าย ความไม่พอใจที่เธอมีต่อซูหม่าได้ถูกระบายไปยังพี่ชายของเธอ
แน่นอนว่าจางเล่ยผู้เป็นพี่ชายไม่กล้าที่จะมีปัญหากับถงเล่ยน้องสาวที่รักของเขา เขาทำได้แค่เพียงส่งยิ้มเฝื่อนๆ กลับไปให้เธอ
“เฮ้อ.. นักเรียนซู คนนี้นี่จริงๆเลย...” เซียวหยูซวนส่ายหัวเล็กน้อย เธอไม่อยากพูดถึงคนอื่นลับหลัง แต่ความไม่พอใจของเธอที่มีต่อซูหม่าได้ถูกแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่ว่าจะอยากไปหรืออยู่ต่อก็ถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของพวกเขา เราไม่สามารถไปบังคับใครได้..” จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มอย่างเหนื่อยใจ
จี้เฟิงมองไปยังทางที่ซูหม่าเพิ่งเดินออกไป แต่เดิมทีเขาคิดว่า อย่างน้อยๆ ซูหม่าต้องเป็นคนที่มีความอดทนมากพอในระดับหนึ่ง เพราะการที่มีครอบครัวที่ร่ำรวย จะต้องได้รับการปลูกฝังสิ่งดีๆ หรือความรู้ที่จำเป็นตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะครอบครัวอย่างซูหม่า ที่ไม่ใช่จะมีแค่ความร่ำรวยเท่านั้น แต่ยังมีหน้ามีตาในสังคม ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป แต่ตอนนี้จี้เฟิงรู้แล้วว่า ซูหม่าไม่ได้รับพันธุกรรมที่ดีมาจากโคตรเหง้าเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่อาศัยอำนาจและความร่ำรวยของครอบครัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!
เมื่อเทียบกันกับซูหม่าแล้ว จี้เฟิงก็ตระหนักได้ว่า ตัวเขาก็เป็นคนที่ดีพอเลยทีเดียว และถ้าเขามีครอบครัวที่มีอำนาจหรือร่ำรวยที่สูสีกับซูหม่า คนอย่างซูหม่าก็คงจะไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว!
นักเรียนที่เหลือตัดสินใจที่จะใช้เวลาในการพักผ่อนอยู่ที่ภูเขาหมางซือต่อเพื่อรอให้อากาศเย็นลง มีนักเรียนบางคนตัดสินใจเสียเงินเพื่อซื้อไพ่มาจับกลุ่มนั่งเล่นไพ่ป๊อกกัน พวกเขาพากันตั้งวงเล่นไพ่ และบางคนก็ยืนเชียร์อย่างสนุกสนาน จนเวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลานั้น เซียวหยูซวนได้แอบถามจี้เฟิงว่า เขาจะไปกับเธอเพื่อถอนเงินเลยหรือไม่ แต่จี้เฟิงปฏิเสธ เขาไม่ต้องการให้แสงแดดที่ร้อนแรงทำร้ายผิวที่บอบบางของเธอ เมื่อจี้เฟิงเห็นผิวที่ขาวเนียนน่าสัมผัสของเซียวหยูซวน ภาพของความสว่างจ้าภายใต้กระโปรงที่เขาบังเอิญเห็นในคืนนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวจี้เฟิงทันที เขาใจเต้นอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อเห็นจี้เฟิงปฏิเสธ เซียวหยูซวนดูเหมือนจะรู้ได้ว่า จี้เฟิงกำลังเลือกสิ่งที่ดีเพื่อตัวเธอเอง หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างแรงจนเธอรู้สึกได้ เธอไม่คิดเลยว่า คนที่เธอเรียกว่าน้องชาย เขาจะเป็นคนที่ละเอียดอ่อนและมีความเป็นห่วงเป็นใยใส่ใจคนอื่นได้ถึงขนาดนี้
ในตอนนี้ก็เป็นเวลา 4 โมงเย็นแล้ว แสงแดดเริ่มเบาบางลงไม่ร้อนเท่ากับเมื่อตอนก่อนหน้านี้ นักเรียนหลายคนได้ทยอยพากันกลับบ้านจนเกือบหมด
แต่จี้เฟิงในตอนนี้นั้น เขายังไม่ค่อยอยากจะรีบกลับสักเท่าไหร่ เพราะเขายังคงคิดไม่ออกว่า จะบอกแม่ของเขาเรื่องเงินเหล่านี้ได้ยังไง เขาจะหาเหตุผลอะไรมาบอกโดยที่แม่จะไม่ตกใจ และที่สำคัญแม่จะเชื่อหรือไม่ว่าเขาจะถูกลอตเตอรี่และได้เงินรางวัลมาถึง 60,000 หยวน ซึ่งเป็นจำนวนที่มหาศาลสำหรับครอบครัวเขา!
และถ้าจี้เฟิงยังไม่บอกแม่ของเขาในตอนนี้อีก เขาก็จะยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม่ของเขาได้ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาจุนเจือความเป็นอยู่ของครอบครัว และในเมื่อตอนนี้เขามีโอกาสที่จะทำให้แม่ของเขาสบายขึ้นและไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป เขาจึงอึดอัดใจที่ยังไม่ได้บอกเรื่องเงินที่เขาได้มากับแม่ของเขา
เมื่อพูดถึงความยากลำบากในหลายปีที่ผ่านมาของเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิงนั้น เธอไม่เพียงแต่จะลำบากเหนื่อยยากแค่ทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภายในจิตใจด้วย
ด้วยความที่ตัวตนของจี้เฟิงอยู่ในฐานะของลูกนอกสมรสทำให้แม่ของเขาต้องเผชิญกับการตั้งครรภ์ครั้งแรกโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน และสิ่งนี้มันเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับสายตาของคนทั่วไป แม่ของเขาถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีแม้แต่ในสายตาของทุกคนในครอบครัวตัวเอง รวมถึงคนอื่นๆที่อยู่ละแวกบ้านเกิดก็พากันมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อใดก็ตามที่จี้เฟิงนึกถึงเรื่องเหล่านี้ หัวใจของเขาจะรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกบีบอัดด้วยแรงมหาศาล แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในอดีตได้ เขาทำได้เพียงแต่สาบานกับตัวเองในใจอย่างแน่วแน่ว่า เขาจะมุมานะตั้งใจเรียนและทำงานอย่างหนักเขาจะต้องกู้คืนศักดิ์ศรีให้กับแม่ของเขาอย่างแน่นอนในอนาคต!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง‘พ่อ’คนที่เขาไม่เคยพบหรือแม้แต่จะได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ชื่ออะไรและเป็นใคร ถ้าชายผู้โหดร้ายไม่ทอดทิ้งเขาและแม่ แม่ของเขาก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ที่เขาโตพอที่จะเข้าใจเรื่องต่างๆ เขามักจะได้ยินเสียงแม่ของเขาร้องไห้อยู่บนเตียงในตอนกลางคืนด้วยความเจ็บปวดอยู่บ่อยครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้จี้เฟิงเกลียดคนที่ทอดทิ้งแม่ของเขามาก!
ทุกครั้งที่จี้เฟิงถามเรื่องของพ่อกับเซียวซูเหม่ยแม่ของเขา เธอจะดุจี้เฟิงและหลังจากนั้นเธอก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ซึ่งทำให้จี้เฟิงรู้สึกสงสัยและไม่กล้าที่จะถามเรื่องเกี่ยวกับพ่อของเขาอีก
จี้เฟิงกล่าวถึงบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเขาในใจ “ผมไม่ได้รู้สึกว่าคุณติดหนี้อะไรผม แต่นั่นไม่ใช่กับแม่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคุณทำให้แม่ของผมต้องทุกข์ใจ คุณติดหนี้แม่ของผมมากมายนัก!” จี้เฟิงกัดฟันด้วยความโกรธ
แต่ในอารมณ์โกรธของจี้เฟิงนั้นช่างซับซ้อน เขามีความรู้สึกที่หลากหลายอยู่ในใจ แน่นอนว่าเขารู้สึกเกลียดผู้ชายคนนั้นแต่เขาก็ยังอยากที่จะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เขาอยากจะรู้ว่าใครคือคนที่เขาเรียกว่าพ่อ แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้ทิ้งภรรยาที่ท้องลูกของตัวเองอยู่
พ่อของฉันเป็นใครกันแน่ จี้เฟิงรู้เพียงแค่ว่าเขานั้นใช้นามสกุลเดียวกันกับพ่อของเขาเพราะญาติหรือคนรู้จักรอบตัวเขาไม่มีใครใช้นามสกุลเดียวกับเขาเลย แต่ประเทศจีนนั้นกว้างใหญ่มากมีคนใช้นามสกุล ‘จี้’ เยอะเกินไป …
“เฮ้ย..!! เจ้าบ้าคิดอะไรอยู่ กลับบ้านได้แล้ว!” เสียงของจางเล่ยขัดจังหวะสมาธิของจี้เฟิง “เริ่มจะมืดแล้วนะ เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ก็กลับกันไปหมดแล้ว เราจะกลับกันได้ยัง?”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า “อืม เราก็กลับกันเถอะ!”
“จี้เฟิง งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยแล้วกันนะ กลับบ้านดีๆล่ะ!” ถงเล่ยกล่าวกับจี้เฟิงเบาๆแล้วหันไปทางเซียวหยูซวน “อาจารย์เซียว คุณก็ระวังตัวด้วย กลับบ้านปลอดภัยค่ะ!”
“เธอก็เช่นกันนักเรียนถง เจอกันวันจันทร์นะ!” เซียวหยูซวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงกำลังจะกล่าวคำลา แต่เมื่อเห็นจางเล่ยเอาแต่ขยิบตาไม่หยุด เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงไม่เข้าใจที่เขากำลังจะสื่อ จางเล่ยจึงดึงจี้เฟิงเข้ามาด้วยอารมณ์โมโหในความซื่อบื้อของเพื่อนรัก และกระซิบด้วยโทนเสียงที่ต่ำ “เจ้าทึ่มเอ๊ย นายโง่รึเปล่า นี่เป็นโอกาสที่ดี นายควรไปส่งน้องสาวของฉัน แล้วใช้โอกาสนี้ ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ส่วนฉันจะไปส่งอาจารย์เซียวเอง!”
หารู้ไม่ ถึงแม้จางเล่ยจะกระซิบ แต่เสียงของเขาก็ยังถูกได้ยินโดยถงเล่ยและเซียวหยูซวนอยู่ดี…
ใบหน้าที่สวยงามของถงเล่ยแดงระเรื่อด้วยความอับอายและพูดด้วยน้ำเสียงดุ “จางเล่ย นายพูดอะไรของนาย... เดี๋ยว!! อย่าเพิ่งไป ไม่อย่างนั้น...”
ในขณะที่ถงเล่ยพูดยังไม่ทันจบ จางเล่ยดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาแสดงท่าทางเหมือนกลัวสิ่งที่เขาเพิ่งนึกถึง เขารีบทิ้งท้ายประโยค “เจ้าบ้า ไว้เจอกันทีหลัง!” ทันทีที่เสียงนั้นลดลง จางเล่ยก็วิ่งไปไกลแล้ว ทิ้งให้จี้เฟิงยืนเอ๋อด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
ถงเล่ยในตอนนี้เธอไม่กล้ามองไปที่จี้เฟิง เธอหันไปกล่าวลากับเซียวหยูซวนแล้วรีบวิ่งตามจางเล่ยออกไปอย่างรวดเร็ว
เซียวหยูซวนมองไปที่จี้เฟิงด้วยรอยยิ้ม เธอนึกในใจว่า “เด็กสาวที่น่ารัก ถงเล่ย เธอคงจะชอบน้องชายจี้เฟิงคนนี้ หากทั้งสองได้คบกันจริงๆ พวกเขาคงเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาน่าดู!”
เซียวหยูซวนนึกถึงเรื่องของตัวเองและอดไม่ได้ที่จะยิ้มหวานออกมา คู่รักวัยรุ่นคู่นี้ ถอดแบบมาเหมือนกับฉันและคนคนนั้นไม่มีผิด!
“อาจารย์เซียวเราไปกันเถอะ!” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
เซียวหยูซวนแสร้งถามด้วยน้ำเสียงดุๆ “น้องชาย เมื่อกี๊นายเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
จี้เฟิงยิ้มอย่างเขินอาย “พี่สาวหยูซวน!”
“หึหึ ดีมาก เกือบไปแล้ว!” เซียวหยูซวนมองไปที่จี้เฟิงที่กำลังทำหน้าตาแปลกประหลาด แล้วพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “โอเคๆ เลิกแกล้งนายแล้วก็ได้ เราไปกันเถอะ!”
จี้เฟิงเกาหัวของเขาอย่างเชื่องช้า และมองไปที่เซียวหยูซวน เขาได้แต่เดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
“น้องชายตอนนี้ธนาคารปิดแล้ว ฉันคงถอนเงินให้นายไม่ได้ ทำไงดีล่ะ แล้วนายเชื่อใจฉันเหรอถึงฝากเงินไว้กับฉัน?” เซียวหยูซวนหันกลับไปมองที่จี้เฟิงแล้วถามขึ้น
“เชื่อใจสิ!” จี้เฟิงพูดโพล่งออกไปอย่างไม่ลังเล
“นี่มันเงินตั้ง 60,000 หยวน ทำไมนายถึงเชื่อใจฉันขนาดนั้นล่ะ? แล้วนายไม่กลัวฉันเอาเงินนายไปใช้เหรอ?”เซียวหยูซวนถามด้วยความสงสัย
และเหมือนเธอนึกสนุกอยากลองใจ จึงถามจี้เฟิงต่อว่า “เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ได้จากการชนะรางวัลลอตเตอรี่ แถมเถ้าแก่อ้วนก็โอนเงินเข้าบัญชีของฉันโดยตรง ถึงแม้จะเป็นเงินของนายโดยชอบธรรม แต่ถ้าฉันไม่เอามันให้นาย นายก็จะไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วแบบนี้นายจะทำยังไงล่ะ นายจะยังกล้าเชื่อใจฝากเงินไว้กับฉันอีกงั้นเหรอ?”
แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่เซียวหยูซวนพูด เป็นเรื่องที่ไม่จริงและต้องการที่จะแกล้งเขา เขารู้ดีว่าเซียวหยูซวนเป็นคนยังไง แต่จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “พี่สาว ผมจะบอกความจริงให้นะว่า เงินจำนวน 60,000 หยวน นี้เรียกได้ว่าเป็นเงินที่มหาศาลสำหรับครอบครัวผม ผมไม่ได้กลัวเรื่องล้อเล่นที่พี่สาวพูดเลย เพราะครอบครัวของเราในแต่ละวันนั้นหาเงินได้ไม่ถึง1,000 หยวนด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเงิน 60,000 หยวน แล้วมันจะเป็นเรื่องดีอย่างมากถ้าเงินนั้นอยู่กับพี่สาวหยูซวนมันอุ่นใจกว่าที่ผมต้องฝากไว้กับธนาคารเสียอีก!”
“อ่า..” เซียวหยูซวนรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด สิ่งที่จี้เฟิงเพิ่งพูดออกมาทำให้เธอรู้สึกทึ่ง และอดไม่ได้ที่จะถาม “ทำไมล่ะ?”
จี้เฟิงพูดอย่างจริงจังอีกครั้ง “นั่นเป็นเพราะพี่สาวห่วงใยผม! ผมถูกคนอื่นดูถูกและถูกมองข้ามเหมือนคนไร้ค่ามาตั้งแต่เด็ก แม้แต่กับแม่ของผม เธอก็โดนคนที่เธอไว้ใจและสนิทที่สุดหักหลัง แถมคนในครอบครัวของเราก็ไม่มีใครสนใจไยดีว่าพวกเราจะอยู่หรือตายข้างถนน แต่พี่นั้นต่างออกไป ถึงแม้พี่จะเป็นคนอื่น หรือความห่วงใยของพี่สาวจะมาจากในฐานะครูที่มีต่อลูกศิษย์ แต่อย่างน้อยความห่วงใยของพี่ที่ผมสัมผัสได้มันก็มาจากความห่วงใยที่ออกมาจากใจจริงๆ ความรู้สึกที่ได้รับความห่วงใยนี้ นอกจากแม่ของผมแล้วก็มีเพียงพี่สาวหยูซวนเท่านั้น ที่มอบให้กับผม ดังนั้นผมจึงเชื่อใจพี่จากใจจริง และถึงแม้พี่สาวต้องการจะใช้เงินนั่นทั้งหมดจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ผมรับได้ เพราะพี่สาวทำให้ผมได้รับรู้ว่า มันรู้สึกอย่างไรที่ได้รับความใส่ใจและห่วงใยจากคนอื่น ซึ่งไม่ว่าเงินจำนวนมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถซื้อสิ่งเหล่านี้ได้!”
เซียวหยูซวนมองไปที่ดวงตาที่จริงจังและสัตย์ซื่อของจี้เฟิง เธอรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเธอได้ถูกใครบางคนคว้าเอาไว้อย่างรุนแรง เธอรู้สึกเจ็บปวดที่ได้ฟังเรื่องราวที่ทุกข์ทรมานของจี้เฟิงในอดีต แต่ในขณะเดียวกันหัวใจของเธอก็เต้นระรัวเหมือนกับคนตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว…
...จบบทที่ 50~❤️