บทที่ 49 อับอาย
บทที่ 49 อับอาย
ซูหม่าที่มีสีหน้าอันมืดมนได้ถูกจี้เฟิงมองข้ามและหันไปพูดกับเถ้าแก่ด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่แลกเงินรางวัลให้ผมด้วย!”
เถ้าแก่ร่างอ้วนยิ้มอย่างขมขื่น เขาทำได้เพียงพยักหน้าเป็นการตอบรับ แต่ก็เกิดปัญหาตอนแลกเงินรางวัลเล็กน้อย
“น้องชาย เธอรู้ใช่ไหมว่าเงินจำนวน 60,000 หยวน นี้ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆเลย ฉันไม่เก็บเงินจำนวนมากขนาดนั้นไว้ในร้านเล็กๆนี่หรอกนะ แล้วที่นี่มันก็ไกลจากธนาคารมาก..” เถ้าแก่อ้วนมองไปที่จี้เฟิงแล้วถามว่า “แล้วน้องชายพอจะให้เลขที่บัญชีธนาคารของน้องชายกับฉันได้ไหม แล้วฉันจะโอนให้เงินให้โดยตรงผ่านธนาคารออนไลน์”
จี้เฟิงผงะเล็กน้อย “เลขที่บัญชีธนาคาร?”
เถ้าแก่พยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง เพราะฉันอยู่คนเดียวในร้านเลยไม่สามารถพาเธอไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินให้เธอได้ ฉันจึงจำเป็นต้องโอนเงินผ่านบัญชีออนไลน์เท่านั้น!”
“แต่ผมไม่มีบัญชีธนาคาร!” จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าเขาจะมีบัตรประชาชนแล้ว แต่เขาก็เป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลาย เงินที่เขาเคยมีมากสุดก็มีเพียงไม่กี่สิบหยวนเท่านั้น ยกเว้นแค่ตอนจะจ่ายค่าเทอมเท่านั้น ที่พอจะได้จับเงินจำนวนมาก ด้วยสาเหตุนี้เอง เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีบัญชีธนาคาร
ทันใดนั้นจี้เฟิงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก เขาหันหน้าไปมองเซียวหยูซวนและถามว่า “อาจารย์เซียว คุณมีบัญชีธนาคารใช่มั้ย?!”
“จี้เฟิง เธออย่าบอกนะว่า… จะให้เถ้าแก่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของฉันงั้นเหรอ?” เซียวหยูซวนถามด้วยความสงสัย
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง มันเป็นวิธีเดียวเท่านั้น!”
“อ่า.. โอเค!”
เซียวหยูซวนตอบตกลงอย่างรวดเร็วและบอกหมายเลขบัญชีธนาคารให้กับเถ้าแก่ร่างอ้วน “เถ้าแก่ บัญชีธนาคารของฉันคือ ธนาคารการเกษตรแห่งประเทศจีน ส่วนหมายเลขบัญชีคือ....”
เถ้าแก่อ้วนเคาะแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมองและพูดว่า “โอนเงินเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่นาทีคุณสามารถตรวจสอบยอดเงินได้เลย!”
เถ้าแก่พูดจบได้สักพัก ก็มีเสียงข้อความดังมาจากกระเป๋าที่ เซียวหยูซวนพกติดตัว
“ตือ..ดึ๊งง~!”
เซียวหยูซวนเปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มือถือสีชมพูออกมา เธอตรวจสอบข้อความ และพูดกับจี้เฟิงว่า “เงินเข้าแล้ว...แต่ทำไมถึงมีแค่หกหมื่น?”
สีหน้าทั้งสามคนเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะจางเล่ย เขามองหน้าเถ้าแก่อ้วนด้วยแววตาสงสัย
“เถ้าแก่ มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเงินไม่ครบ?” จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แม้ท่าทีของเขาจะดูสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความเย็นชา เขามองไปที่เถ้าแก่อ้วนและซูหม่า พลางคิดในใจว่า ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะใช้มุกสกปรกหักเงินรางวัลของเขาอย่างหน้าด้านๆ ได้อีกเหรอ? เป็นเรื่องที่เกินจะรับได้จริงๆ!
เมื่อเถ้าแก่อ้วน เห็นสีหน้าของสามสี่คนในที่นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบอธิบายโดยเร็ว “ใจเย็นๆฉันขออธิบายเหตุผลของการหักเงินในครั้งนี้ให้ฟังก่อน...นั่นเป็นเพราะเงินรางวัลที่ได้จากการถูกลอตเตอรี่มีจำนวนมากมันจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม และอีกหนึ่งเหตุผลคือ การโอนเงินผ่านธนาคารจะต้องถูกหักค่าธรรมเนียมด้วย นั่นคือสาเหตุทั้งหมดที่เงินถูกหักไป ฉันคงไม่กล้าพอที่จะโกงเงินแล้วหักเงินเข้ากระเป๋าตัวเองหรอก!”
“จริงเหรอ?” จี้เฟิงขมวดคิ้วและถาม
“แน่นอนสิ มันคือเรื่องจริง!” เถ้าแก่ร่างอ้วนรีบหยิบหนังสือคู่มือการใช้งานเกี่ยวกับอัตราส่วนของจำนวนเงินที่ถูกลอตเตอรี่ต่อภาษีจ่าย “และยังมีภาษีที่ถูกหักจากธนาคารของคุณผู้หญิงคนนี้ที่เป็นธนาคารการเกษตรแห่งประเทศจีน การโอนเงินระหว่างธนาคารจะต้องมีค่าธรรมเนียมการจัดการเพิ่มเติม ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วจะ เหลือยอดที่โอนให้ 60,000 หยวนพอดี!”
จี้เฟิงแอบคำนวณตามอยู่ในใจ จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อืม.. ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ!”
….(ป.ล. : จากผู้แต่งขออธิบายเพิ่มเติม: การถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลอาจมีการหักภาษีเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ข้อมูลเกี่ยวกับการหักภาษีในนิยายเรื่องนี้คือสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ผู้อ่านที่มีความรู้ไม่ควรใส่ใจกับมันมากนัก ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน..)....
เมื่อทุกคนทยอยเดินออกจากร้านขายลอตเตอรี่ ก็พบว่าเหล่านักเรียนที่ว่ายน้ำส่วนใหญ่นั้นเลิกเล่นน้ำกันหมดแล้ว เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายสอง สภาพอากาศจึงถือว่าเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน และอุณหภูมิในน้ำนั้นสูงกว่าบนพื้นดินไปแล้วในตอนนี้ นักเรียนหลายคนจึงไม่สามารถทนได้ หลังจากที่ว่ายน้ำไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
เมื่อเห็นนักเรียนหลายสิบคนนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ตามข้างทาง และกำลังพากันบ่นด้วยโทนเสียงอันต่ำ จี้เฟิงและจางเล่ยมองหน้ากัน และพวกเขาก็เห็นรอยยิ้มในดวงตาของกันและกัน
อันที่จริงตั้งแต่เริ่มแรก พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าข้อเสนอของซูหม่าเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องสิ้นคิดพอสมควร ที่จะออกมาเที่ยวนอกสถานที่ในช่วงเวลาที่สภาพอากาศยังคงร้อนมากขนาดนี้
ถ้าคุณต้องการจะออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าน อย่างน้อยคุณต้องออกไปเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ไม่ใช่เลือกมาเที่ยวหลังฤดูร้อนที่เพิ่งจะเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้
แต่ลูกคุณหนูผู้ร่ำรวยอย่างซูหม่า ที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาตลอดและไม่เคยรู้จักความทุกข์ทรมานอย่างมนุษย์ทั่วไป จะรู้ถึงเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?
เมื่อซูหม่าได้ยินคำบ่นของเหล่านักเรียนในชั้น ใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนกลับแล้วพูดว่า “เมื่อเสร็จแล้วเราก็แยกย้ายกันกลับเถอะ!”
ทันทีที่เสียงของเขาลดลง ถงเล่ยก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ เธอขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจ “ซูหม่านายพูดแบบนี้ได้ยังไง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน ถ้านายให้พวกเรากลับกันตอนนี้ แล้วกว่าจะถึงบ้าน มันอาจจะทำให้มีคนเป็นลมแดดได้!”
ซูหม่าหน้าแดงด้วยความอับอาย เขาพูดอย่างเชื่องช้าว่า “ถงเล่ย เธอพูดอะไร?”
“แน่นอนว่าฉันจะเล่นที่นี่สักพักและรอจนกว่าอากาศจะเย็นลงก่อน แล้วค่อยกลับ!” ถงเล่ยกล่าวอย่างไม่พอใจ ซูหม่าไม่มีการจัดเตรียมความพร้อมหรือหาข้อมูลให้ดีพอ เธอต้องการจะคุยเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ด้วยนิสัยของเธอ เป็นคนไม่ชอบที่จะโต้เถียงกับใคร นั่นจึงทำให้ที่ผ่านมาเธอลังเลและหลีกเลี่ยงที่จะมีการปะทะคารมกัน
เมื่อถูกถงเล่ยตำหนิในที่สาธารณะต่อหน้าทุกคนแบบนี้ ซูหม่าก็แทบอยากจะมุดดินหนีในทันที เขารีบพูดว่า “เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเธอก็อยู่เล่นที่นี่กันไปก็แล้วกัน ฉันจะกลับก่อน!”
ทันทีที่เขาพูดจบและกำลังจะเดินออกไป
“เฮ้ย..!!”
นักเรียนชายคนหนึ่งในกลุ่มนักเรียนหัวเราะอย่างดูถูกและพูดอย่างเหยียดหยาม “เป็นคนวางแผนชักชวนให้พวกเรามาที่นี่ แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำ นอกจากนั่งตากลมร้อนบ้าๆนี่ แล้วตอนนี้ยังจะหนีกลับไปก่อนคนเดียวอีก แบบนี้ยังเรียกตัวเองเป็นรองหัวหน้าชั้นได้อีกเหรอ?”
เป็นเวลาครึ่งวันที่ถูกทิ้งให้ทำกิจกรรมกันเอง ไม่ว่าจะเป็นการปิกนิกท่ามกลางอากาศร้อน หรือการให้ไปว่ายน้ำโง่ๆ ทำให้นักเรียนหลายคนมีความรู้สึกไม่พอใจซูหม่ามาตั้งแต่เริ่มปิกนิกแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นว่าซูหม่ากำลังจะชิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว จึงทำให้พวกเขาพากันบ่นขึ้นมาในทันที
“ใคร? เมื่อกี๊ใครเป็นคนพูดออกมา!” เมื่อซูหม่าได้ยินดังนั้น เขาจึงตะคอกออกมาด้วยความโกรธ และดวงตาที่แข็งกร้าวของเขาก็มองกวาดไปที่กลุ่มนักเรียนคนอื่นๆ นักเรียนหลายคนหลบสายตาด้วยความกลัว พวกเขาไม่อยากโดนซูหม่าแก้แค้นในภายหลัง
“นักเรียนซูหม่า จริงๆฉันก็ไม่อยากจะยุ่งอะไรมาก แต่ในฐานะครูฉันขอแนะนำให้เธอจัดการเรื่องนี้ตามความเห็นส่วนใหญ่ของเพื่อนนักเรียนในชั้นจะดีกว่า!” เซียวหยูซวนพูดเบาๆ
“ใช่ นายต้องรับผิดชอบกิจกรรมให้ลุล่วงก่อนสิ จะหนีกลับไปก่อนได้ยังไง?” ถงเล่ยพูดอย่างไม่พอใจ
“พวกเธอ...” เมื่อเห็นคนเหล่านี้ตำหนิตัวเอง ซูหม่ารู้สึกทั้งโกรธและอับอาย เขาจึงตะคอกด้วยเสียงอันดัง “ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ถ้าคนอย่างฉันจะไป ฉันก็จะไป เรื่องที่เหลือก็จัดการกันเองแล้วกัน!”
หลังจากนั้นเขาก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว มีนักเรียนไม่กี่คนที่เข้าข้างซูหม่าอย่างประจบประแจงอยู่เป็นประจำ พวกเขาต่างก็ถูกนักเรียนคนอื่นๆในชั้น มองอย่างดูถูก ทำให้พวกเขาต้องรีบลุกและเดินตามซูหม่าหัวหน้าของพวกเขาออกไป!
...จบบทที่ 49~❤️