ตอนที่แล้วย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 8 : คู่ซ้อม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 10 : นักฆ่า

ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 9 : กินอาหารในภัตตาคาร


บทที่ 9 : กินอาหารในภัตตาคาร

“พ่อหนุ่ม เธอยังจะกล้าพูดอีกมั๊ยว่าไม่รู้เรื่องศิลปะการต่อสู้?”

เหล่าฮั๋วจ้องหน้าซูอานด้วยสายตาตำหนิในขณะที่เอ่ยถามออกไปอีกครั้ง

“ความจริงแล้วฉันเองก็เตรียมที่จะรับเธอไว้เป็นลูกศิษย์ แต่หลังจากที่เห็นเธอสงบนิ่งได้ทั้งที่ถูกลูกศิษย์ของฉันพูดจาดูถูกแบบนั้น ฉันก็เลยเปลี่ยนใจให้เธอมาเป็นเพื่อนร่วมงานแทนดีกว่า!”

ในกลุ่มของผู้ที่ฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้นั้น จะนับถือกันด้วยวัยวุฒิ และระดับความเก่งกาจของแต่ละคน

ซูอานพยักหน้าเห็นด้วยทันที เพราะถึงแม้เหล่าฮั๋วจะมีเงินทองมากมาย แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีคนมีฝีมืออยู่ข้างกาย

ด้วยเหตุนี้ซูอานจึงยอมรับกับเหล่าฮั๋วไปว่า “เอาล่ะ.. ข้าบอกเจ้าก็ได้ ข้าน่าจะเป็นผู้ฝึกรยุทธ และผู้ที่สอนวรยุทธให้กับข้าก็คือชายชราคนหนึ่งที่ข้าพบเข้าโดยบังเอิญ”

“ชายชรางั้นรึ?” เหล่าฮั๋วจ้องมองซูอานพร้อมกับถามออกมาด้วยความสงสัย

“ถูกต้อง! เมื่อครั้งที่ข้ายังเด็ก ชายชราผู้นี้เคยใช้หน้าอกของตนกระแทกก้อนหินขนาดใหญ่จนแตกละเอียดต่อหน้าข้า ข้าเห็นกับตาตัวเองว่ามันเป็นก้อนหินขนาดใหญ่มาก ข้าจำได้ว่าครั้งนั้นข้าถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก..”

“ใช้หน้าอกกระแทกหินจนแตกละเอียดเชียวรึ?!”

เหล่าฮั๋วถึงกับตกใจอย่างมาก เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และกำลังภายในมาหลายปี จึงพอที่เข้าใจได้ว่าผู้ที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้ อย่างน้อยก็ต้องมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง และน่าจะอยู่สำเร็จในขั้นปรับกายาเริ่มต้นแล้ว

“มันเป็นหินจริงๆ ข้าเห็นกับตาว่าเขาใช้หน้าอกของตัวเองกระแทกจนแตกละเอียด ไม่ใช่ค้อน!”

ซูอานแกล้งทำเป็นตกใจและประหลาดใจจนเกินกว่าเหตุ เพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อในเรื่องที่ตนกำลังโกหก

“ดูเหมือนเธอจะได้พบกับยอดฝีมือที่แท้จริงเข้าแล้วล่ะ!”

“อ่อ.. ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นชายชราจะแอบขายคัมภีร์สิบแปดฝ่ามือมังกรให้กับข้าด้วย แต่ตอนนั้นข้าไม่มีเงินเลย ก็เลยไม่ได้ซื้อมา ตอนนี้ก็ได้แต่มานึกเสียใจ!”

เหล่าฮั๋วเห็นสีหน้าท่าทางจริงจังของซูอาน ก็ได้แต่หัวเราะขื่นออกมาอย่างนึกเสียดายเช่นกัน

“ในเมื่อเธอยังไม่เข้าใจคำว่าศิลปะการต่อสู้หรือวรยุทธดีนัก ฉันก็จะอธิบายให้เธอฟังเอง ศิลปะการต่อสู้และวรยุทธจะแบ่งออกเป็นสองประเภทกว้างๆ ประเภทแรกคือการฝึกกำลังภายนอก และสองคือการฝึกกำลังภายใน การฝึกำลังภายในนั้นยังรวมไปถึงการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจด้วยนั่นเอง..”

“ยกตัวอย่างพวกละครจอมยุทธ์โบราณในทีวี ชาวยุทธที่มีกำลังภายในจะสามารถใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินไปมาได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในสมัยโบราณนั้นมีจริงๆ เพียงแต่คนในยุคสมัยใหม่มีพลังจิตที่ไม่แกร่งกล้าแบบนั้น ก็เลยไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้ยังไงล่ะ..”

“แบบนั้นล่ะที่เราเรียกว่ามีกำลังภายใน!”

“ผู้มีวรยุทธทั่วไปกลั่นสสารบ่มเพาะกายา ระดับจอมยุทธขึ้นไปกลั่นพลังภายในบ่มเพาะจิตใจ และระดับปรมาจารย์กลั่นจิตใจให้บริสุทธิ์มุ่งสู่ความเป็นเซียน..”

“เพราะฉะนั้น.. การฝึกกำลังภายในจึงไม่ได้หมายถึงแค่พลังลมปราณที่หมุนเวียนภายในร่างกายเท่านั้น!”

ซูอานนิ่งฟังด้วยความประหลาดใจและตกตะลึง แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เหล่าฮั๋วพูดออกมายังแตกต่างจากเส้นทางการบ่มเพาะมุ่งสู่ความเป็นเซียนของเขาอยู่บ้าง เส้นทางบ่มเพาะของเขานั้นเริ่มต้นที่กลั่นชี่ให้สำเร็จ จากนั้นจึงกลั่นชี่ขัดเกลาจิตวิญญาณ ต่อด้วยขัดเกลาจิตวิญญาณมุ่งสู่ความเป็นเซียนและความว่างเปล่า ท้ายที่สุดจากว่างเปล่าเข้าสู่จิตแห่งเต๋า..

ในโลกที่เขาจากมานั้น ทุกคนล้วนมีรากฐานลมปราณที่เกือบจะสมบูรณ์สูงสุด เรียกได้ว่าหากเทียบกับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ในโลกใบนี้ กำลังภายในก็น่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของคนที่นี่แล้ว

หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของเหล่าฮั๋ว ซูอานจึงเริ่มเข้าใจภาพทุกอย่างได้ชัดเจนมากขึ้น และนึกขอบใจเหล่าฮั๋วอยู่ไม่น้อย

เมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากห้องฝึก ทั้งเด็กสาวและฉือกงที่อยู่ด้านนอกต่างก็รีบร้องถามออกไปด้วยความเป็นห่วงทันที

“อาจารย์เป็นยังไงบ้าง?”

“ฉันไม่เป็นไร.. ฉันไม่เป็นไร..”

เหล่าฮั๋วไม่บอกเล่าผลการประลองให้กับลูกศิษย์รู้ แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาอับอาย เพียงแต่เขาไม่สะดวกและรู้สึกลำบากใจที่จะต้องพูดโกหก

เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉือกงก็ได้แต่ครุ่นคิดพร้อมกับจ้องมองซูอานตาไม่กระพริบ..

“เหล่าฮั๋ว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน!”

ซูอานไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก เขาต้องการหาสถานที่เงียบๆ และฮวงจุ้ยดีๆเพื่อเก็บตัวฝึกบ่มเพาะอย่างหนักมากกว่า

เหล่าฮั๋วเองก็ไม่ขัด เขายื่นบัตรสีดำใบหนึ่งใหกับซูอานพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเธอกับฉันมีชะตาต้องกัน ฉันก็ขอมอบบัตรเครดิตนี่ให้เธอไว้ใช้ ต่อไปเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินทองอีก!”

เวลานี้ซูอานกำลังร้อนเงินมาก เขาไม่มีเงินติดตัวมาเลยแม้แต่หยวนเดียว ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามื้อต่อไปจะหาอะไรลงท้องได้ เมื่อได้ยินเหล่าฮั๋วพูดออกมาเช่นนั้น เขาจึงรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

ซูอานรีบยื่นมือออกไปรับบัตรเครดิตมาทันทีโดยไม่ลังเล และไม่มีทีท่าอิดออดปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย ทำให้เหล่าฮั๋วถึงกับเผลอยิ้มออกมา

เมื่อซูอานเดินลับสายตาไปแล้ว สีหน้าของเหล่าฮั๋วก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที

“ท่านอาจารย์ เขาแข็งแกร่งมากเลยเหรอครับ?” ฉือกงรีบเอ่ยถามเหล่าฮั๋วด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที

“ใช่แล้ว! เขาแข็งแกร่งมากทีเดียว ใครก็ยากที่จะฉุดรั้งเขาไว้ได้ แต่ในวันข้างหน้าเขาจะเป็นประโยชน์กับฉันมาก!”

...

ซูอานเดินออกจากโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ของเหล่าฮั๋วมาแล้ว เขาก็เดินไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย

ในเมื่อมีบัตรเครดิตใบนี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร และเสื้อผ้าอีกต่อไป เหลือเพียงเรื่องหาที่อยู่ใหม่เท่านั้น

“เฮ้อ.. ช่างน่าเศร้าและน่าอับอายนัก จักรพรรดิเสียนอู่ที่ยิ่งใหญ่เช่นข้า กลับต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนไร้ที่อยู่เช่นนี้!”

แม้เสียงบ่นพึมพำของซูอานจะไม่ดังนัก แต่คนเดินถนนรอบตัวต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน ทุกคนต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด และทุกคนต่างก็คิดว่าเขาเป็นคนบ้า..

“ช่างเถิด! อย่าพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า ข้าเริ่มรู้สึกหิวอีกแล้ว ไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องก่อนจะดีกว่า!”

ซูอานหันมองไปรอบตัว และเมื่อเห็นภัตตาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้า เขาจึงก้มลงมองบัตรสีดำในมือแล้วรีบเดินข้ามถนนตรงไปที่ภัตตาคารทันที

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปภายในภัตตาคาร ซูอานจึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ร้านอาหารธรรมดาอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นภัตตาคารสำหรับชนชั้นสูงร่ำรวย

และนี่ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าเหล่าฮั๋วต้องไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งเมื่อคิดถึงวิชาศิลปะการต่อสู้ของเขาเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้คิดว่าแม้แต่อันธพาลคงไม่อยากพบเจอเขาเป็นแน่

พนักงานต้อนรับสาวเดินเข้ามาทักทายซูอานพร้อมกับรินน้ำให้กับเขา

“ไม่เลวทีเดียว รูปร่างของเจ้าสมส่วนยิ่งนัก!”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของซูอาน พนักงานเสริฟสาวสวยก็ถึงกับใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาด้วยความเขินอาย และรีบหยิบเมนูมายื่นให้กับเขาทันที

แต่เล้วพนักงานหนุ่มก็เดินเข้ามายืนข้างๆซูอานพร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก “เมื่อครู่แกพูดว่าอะไร?”

“ข้าพูดว่านางรูปร่างดี สมส่วนไร้ที่ติ ข้าพูดอะไรผิดงั้นรึ?” ซูอานตอบเสียงเย็น

“ไอ้บ้านนอก! จะกินอาหารที่นี่ แกมีปัญญาเหรอ?!”

พนักงานหนุ่มปรายตามองซูอานพร้อมกับแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยาม

แต่จะตำหนิพนักงานหนุ่มก็ไม่ถูกนัก เพราะดูจากลักษณะท่าทางและการแต่งตัวของซูอานแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวน่าจะมีเงินไม่ถึงสองร้อยหยวนด้วยซ้ำ และที่ภัตตาคารแห่งนี้อาหารแต่ละจานก็ราคาหนึ่งพันหยวนขึ้นไปทั้งนั้น

พนักงานสาวที่ยังคงขุ่นเคืองใจกับคำพูดของซูอานเมื่อครู่ หลังจากที่ได้สังเกตซูอานไปทั่่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เธอจึงได้แต่นึกรังเกียจซูอาน และรีบพูดกับเขาว่า

“อาหารที่ถูกที่สุดในร้านก็เกือบพันหยวนแล้ว คุณมีเงินจ่ายเหรอคะ?”

ซูอานจ้องมองพนักงานเสริฟทั้งสองด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะคำพูดดูถูกของคนทั้งคู่ แต่เป็นเพราะทั้งสองทำให้เขาต้องเสียเวลา และเขาก็เริ่มหิวมากแล้ว

“ไปเอากุ้งมังกร อุ้งตีนหมี ซุปหางกวาง เป็ดย่าง ไก่ย่าง ห่านย่าง ทุกอย่างในร้าน เอามาให้หมด..”

ซูอานสั่งอาหารทั้งหมดโดยไม่สนใจมองดูราคาด้วยซ้ำไป

เมื่อเห็นซูอานสั่งอาหารมากมายกว่าสามสิบจานเช่นนี้ พนักงานเสริฟทั้งสองก็ยิ่งโมโห และพูดกับซูอานด้วยท่าทีก้าวร้าว

“นี่.. แต่งตัวบ้านนอกไร้รสนิยมแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีเงินจ่ายรึเปล่า กล้าสั่งอาหารมากมายแบบนี้ คิดจะมาก่อกวนหรือยังไงห๊ะ?!”

พนักงานหนุ่มยกมือขึ้นชี้หน้าซูอาน พร้อมกับตะโกนใส่หน้าด้วยความโมโห

“ไปเอาอาหารที่ข้าสั่งมาเสริฟเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!” ซูอานที่เริ่มโมโหอย่างมาก ร้องตะโกนสั่งเสียงดังอีกครั้ง

เสียงทะเลาะของคนทั้งสามดังขึ้นดึงดูดความสนใจของแขกในร้าน เวลานี้ทุกคนต่างก็จ้องมองซูอานด้วยสีหน้าเหยียดหยัน

แขกในภัตตาคารแห่งนี้แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นเศรษฐี และชนชั้นสูงของเมืองนี้ทั้งนั้น ทุกคนแต่งตัวหรูหราด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมเหมาะกับภัตตาคารชั้นสูงแห่งนี้ ตรงข้ามกับซูอานโดยสิ้นเชิง

จึงไม่แปลกนักที่ทุกคนจะมองซูอานด้วยสายตาเหยียดหยันเช่นนั้น

“ข้าเป็นแขกของภัตตาคารแห่งนี้ ส่วนพวกเจ้าเป็นแค่พนักงานเสริฟ เหตุใดจึงไม่ทำตามความต้องการของลูกค้าเล่า?”

ซูอานจ้องมองพนักงานเสิรฟทั้งสองด้วยแววตาสงบนิ่ง แต่เริ่มตำหนิการทำงานของพนักงานทั้งสองทันที ในเมื่อทั้งคู่ไม่ให้เกียรติเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติคนทั้งคู่เช่นกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด