ตอนที่ 3 ปล้น
ตอนที่ 3 ปล้น
ปี 4855 3 ธันวาคม
ดอนตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดกระทบดวงตาที่เข้ามาทางหน้าต่าง
เขายกแหวนขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว หลังจากนอนมาเกือบจะ 18 ชั่วโมงเขาก็รู้สึกว่านอนเต็มอิ่มร่างกายมีแรงขึ้นมามหาศาล
เขารู้สึกว่าสูงขึ้นมานิดหน่อย
หลังลุกขึ้นจากที่นอน เขาก็ต้องแปลกใจเพราะว่าที่นอนมันกับเต็มด้วย คราบสีดำ และ กลิ่นคราวเลือด คราบเหล่านี้น่าจะมาจากร่างกายของเขา ความฝันที่เขาเห็นนั้นอาจจะไม่ใช่ความฝัน
‘ต้องแบบนี้สิข้ามโลกมาทั้งที ต้องมีพลังอะไรบ้างละนะ’
ดอนถอดชุดเก่าออก เดินเข้าไปที่ห้องน้ำและเริ่มอาบน้ำทันทีแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาเห็นตัวเอง
ตอนนี้ร่างกายของเขาไม่ได้ผอมแห้งเหมือนไม้เสียบผี แบบเมื่อวานอีกแล้ว แต่ก็ยังถือว่าผอมอยู่มาก
เขามีสูง 180 เซนติเมตร มีกล้ามเนื้อขึ้นมาเล็กน้อยและกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรงขึ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลัง ไม่มีอาการของความเหนื่อยแม้แต่น้อย
หลังจากที่อาบน้ำและเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาก็ลงมาบอกที่เคาน์เตอร์ว่าให้ไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้และทิ้งชุดเก่าทันที
เขาก็กินอาหารเช้าที่ด้านล่าง
มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวและซุปผัก แต่เขารู้สึกว่ากินแค่นี้ยังไม่พอเขาจึงสั่งอาหารจานเนื้อมาอีก
เนื้อย่างจานนี้เป็นเนื้อหนูยักษ์ เป็นเนื้อที่หาได้ทั่วไปด้านนอกกำแพง พวกมันเป็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่ ที่ขยายพันธุ์ได้เร็วแต่มันไม่ได้มีพลังมากนัก แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถฆ่ามันได้ ทำให้มันมีราคาที่ถูกและเป็นอาหารจานเนื้อหลัก ๆ ของที่นี่ ที่ทุกคนต้องกินเลยก็ว่าได้
ในระหว่างที่กินข้าวอยู่นั้น เขาก็เชื่อมต่อเครือข่ายข้อมูลของเมืองและอ่านข่าวช่วงที่ผ่าน ๆ มาเพื่อทำความรู้จักกับโลกใบนี้มากขึ้น
แต่ข่าวเหล่านี้เขาจะต้องเสียค่าสมาชิกในการอ่าน 1 เครติดต่อวัน ดอนจ่ายค่าเครดิตทันทีและเริ่มอ่านข่าวที่น่าสนใจ
โดยข่าวที่ผ่านมาช่วง 5 ปีนี้คงหนีไม่พ้น ข่าวการโจมตีของผีดิบ ที่เมืองสุสานผีห่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่จริงเมืองนี้ไม่ได้ชื่อเมืองผีห่าแต่หลังจากถูกผีดิบโจมตี ทำให้มีคนตายไป ถึง 4 แสน 3ทำให้ได้ชื่อนี้มา
ตัวเลขผู้บาดเจ็บในเหตุการนี้น้อยมากกับจำนวนคนตาย เพราะส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่รับเคราะห์ จะมีโอกาสตายสูงมากถ้าโดนโจมตีจากผีดิบ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้จบลงผู้คนก็ย้ายออกจากเมืองสุสานผีห่า และปล่อยให้ทิ้งร้าง ภายหลังมีการสอบสวนพบว่า เป็นฝีมือของจอมอาคมที่ชั่วร้าย เป็นผู้ใช้คาถาต้องห้าม ระดับ 2 ปลุกชีพศพ
สร้างการสังหารหมู่และดึงวิญญาณคนตายและสร้างบ่อโลหิต เพื่อก้าวข้ามระดับพลัง แต่ผลสุดท้ายก็ถูกจอมอาคมระดับผู้กลืนกิน 3 คนของสหพันธ์ไล่ล่าสังหารแต่จากนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรอีก
ดอนอ่านข่าวต่อไป...
เป็นข่าวของนักรบและข้ารับใช้ การตายของทหารที่ส่งไปเฝ้าเหมือง การตามฆ่าฝูงสัตว์ร้าย แต่เขาก็ต้องหยุดที่ข่าวหนึ่ง นั้น ก็คือ ข่าวการปรากฎตัวของ ผีดิบที่สุสานของเมือง ของเมืองชาลัน เมื่อวานนี้ หลายคนกลัวว่านี่อาจจะเป็น เหตุการณ์ซ้ำรอยกับเมืองสุสานผีห่า
ข่าวนี้เป็นข่าวที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด
เพราะภาพที่อยู่ในข่าวนั้นก็คือตัวนั้นเอง ดอนเดาว่าคนที่วิ่งหนีไปตอนแรกน่าจะเป็นต้นตอของการสืบสวน เขารีบเอาฮู้ดขึ้นมาคุมที่หัวเขาทันที เมื่อมองไปรอบข้างเมื่อสังเกตว่าไม่มีใครสนใจเขา
ดอนก็อ่านต่อ
ข่าวว่า ‘เฮลรี แห่งตระกูลคาสได้ไปเยี่ยมหลุมศพสหายเก่าที่สุสานแล้ว ได้เจอกับผีดิบตัวนี้กำลังปีนขึ้นมาจากหลุมศพและจับที่ขา โดยที่ขาของเขายังมีรอยแผลรูปฝ่ามือติดมาด้วยและคำสาป
แต่โชคดีที่ลูกชาย ซาลัว คาส ผู้ใช้พลังฝึกหัดระดับผู้ควบคุม มาช่วยไว้ได้ทัน ภายหลัง ท่านซาลัว ประกาศว่าจะส่งข้ารับใช้มาตามล่า ผีดิบตนนี้มาให้ได้ เพื่อที่จะหยุดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น และทางเมืองก็ประกาศสำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแส จะได้รับเงิน 5,000 เครดิตเป็นรางวัลตอบแทน’
อ่านมาถึงตรงนี้สีหน้าดอนก็บิดเบี้ยวทันที
โดนคนทั้งเมืองตามล่าแล้วยังมาโดนผู้ใช้พลังตามล่าอีก เขาคงจะไม่รอดแน่ ๆ ต่อให้บอกไปว่าเขาไม่ใช้ผีดิบ
แต่คนที่ตายไป 5 ปีแล้วฟื้นขึ้นมา ถ้าถูกจับได้คงจะถูกปฏิบัติในฐานะวัตถุดิบทดลองแน่นอน
สมองของดอนคิดด้วยความรวดเร็วแล้วก็ได้ข้อสรุป
เขาจะต้องออกจากเมืองนี้ และไปอย่างเงียบที่สุด เขาจะไปทางเรือเหาะก็คงไม่ได้ ต้องไปทางพื้นดินเท่านั้น คงต้องซื้อรถม้าสักคัน เขาอยากจะซื้อรถเหล็กที่วิ่งได้เร็วกว่าแต่ว่าเขาไม่มีเครดิตพอและยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวรถที่ใช้ผลึกพลังงานด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือเขาต้องมีพลังที่จะปกป้องตัวเองได้ เขาอาจจะจ้างผู้คุมกันที่ใครจะยอมเดินทางไปเมืองอื่นด้วยรถม้า
โดยไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างนี่ไม่ต้องพูดถึงระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการเดินทางเลย ว่ามันอาจจะกินเวลา เป็นเดือนกันเลยทีเดียว ถ้าเดินทางด้วยรถม้าธรรมดา
เขาต้องกลายเป็นนักรบ อย่างน้อยก็ขั้น 2 ถึงจะพอเดินทางคนเดียวได้
ดอนไม่ได้คิดถึงขนาดที่ว่าจะเป็นจอมอาคมเลย
การจะเป็นจอมอาคมได้ว่ากันว่าจะต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์และจากนั้นก็ทำพิธีตื่นรู้ โดยส่วนใหญ่จะทำในตระกูลจอมอาคม หรือสถาบันจอมอาคม(โรงเรียน)
ตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะตรวจดูได้เลยว่าเขามีพรสวรรค์เป็นผู้ใช้พลังหรือไม่? ต่อให้มีพรสวรรค์ เขาก็จะไปหาหรือวิธีประกอปพิธีตื่นรู้ได้จากที่ไหน?
ดังนั้นทางเลือกเดียวของเขา ตอนนี้คือการเป็นนักรบเพราะคนธรรมดาก็สามารถมีพลังได้
นักรบนั้นจะมีเมล็ดพันธุ์ชีวิตที่ใช้ในการเก็บพลังงาน ที่สร้างโดยผู้ใช้พลังระดับผู้ใช้ขึ้นไป ซึ่งเมล็ดพันธุ์ก็มีระดับของมัน นั้นก็คือขีดจำกัดการเติบโต
โดยนักรบสามารถเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ได้โดยขอให้จอมอาคมช่วยแต่ค่าใช้จ่ายนั้นสูงมาก เมล็ดพันธุ์ชีวิตสามารถซื้อได้จากองค์กรที่มีจอมอาคม และทักษะเป็นวิธีการความคุมและดึงพลังงานมาใช้ เขาจะต้องมี เมล็ดพันธุ์ชีวิต และทักษะดาบสักชุด
เมล็ดพันธุ์นั้นส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยองค์กรและจอมอาคม ทำให้การซื้อขายข้างนอกนั้นเป็นไปได้ยาก ส่วนใหญ่จะขายให้กับสมาชิกเท่านั้น
ส่วนทักษะดาบเขาพยายามค้นหา ความทรงจำดูแล้วกลับไม่มีทักษะดาบของตระกูลอาเรคัสเลย
‘ทั้ง ๆที่เป็นตระกูลข้ารับใช้ ก็ควรที่จะมีสอนลูกหลานในตระกูลบ้าง บางที่ความทรงจำในส่วนนี้อาจจะหายไปก็ได้’
ดอนลองใช้แหวนค้นหาการรับสมัครแต่ก็หาไม่เจอ
แต่เขากับเจอวิธีการตามหาองค์กรมืดมันเป็นโพสเก่าแล้วมันสัก20 ปีได้ นั้นก็คือให้ไปหาตามร้านเหล้าและจ่ายด้วยเหรียญทอง พร้อมกับพูดว่า [ขอเจอคนติดต่อ] แต่ก็ต้องไปลุ้นเอาว่าเป็นคนจากองค์กรไหนที่จะมารับเราไป
ตอนนี้ดอนไม่มีทางเลือกมากนักเขาจะติดต่อองค์กรปกติก็ไม่ได้และอาจจะทำให้ตัวตนของเขาเปิดเผย ถ้าเขาติดต่อองค์กรมืดถึงจะมีความเสียงแต่ก็น้อยกว่าอย่างแน่นอน เพราะเราสามารถปกปิดตัวตนได้และก็ไม่มีใครมาสนใจด้วยสิ่งที่องค์กรเหล่านี้สนใจคือผลประโยชน์ หรือถ้าจะไปซื้อในตลาดมืดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีของหรือเปล่า
‘องค์กรมืดคือทางออกที่ดีที่สุด’
เขาลุกขึ้นและออกไปข้างนอกทันที หลังจากที่ตัดสินใจได้ ถึงแม้จะมีรูปเขาอยู่ในข่าวแต่รูปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และตอนนี้รูปร่างเขาก็ไม่ได้ผอมแห้งเหมือนกับเมื่อวานอาจจะมีไม่กี่คนที่จำเขาได้
..........................
ฝั่งตรงข้ามกับตึกที่ดอนเช่าห้องอยู่ มีซอยแคบ ๆ อยู่ด้านในซอยมีขยะถูกวางไว้จนล้นถังออกมา มีแมลงสาบอยู่เต็มไปหมด ซอยแห่งนี้ปกติจะไม่มีคนเดินผ่าน จึงทำให้คนในพื้นที่ใช้เป็นที่ทิ้งขยะขณะที่รอทางเมืองมาเก็บ
ชาย 4 คนยืน ตัวคล้ายนักเลง ยืนแอบและมองไปทางตึกของที่ดอนพักอยู่
“ไหนวะคนที่พวกเอง สะกดรอยตามเมื่อวาน ที่บอกว่ามีเงินเยอะมาก แถมดูท่าจะปล้นได้ง่าย?”
“ใจเย็น ก่อนลูกพี่….”
ทันใดนั้น ลูกน้องที่บอกให้ใจเย็น ๆ ก็ถูกเตะกระเด็นไปกับกำแพงเสียงดัง แต่เขากับไม่มีท่าทางโกรธเลยรีบลุกขึ้นมา และทำสีหน้าประจบต่อ
“แค่กๆ...ลูกพี่เดี๋ยวๆ...แค่กๆ...มันก็ออกมาข้ารับประกันได้”
“อีกเดียวบ้าอะไร ข้ารอมันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ถ้ามันยังไม่ออกมาข้าจะเชือดพวกเองรายตัว”
จาฟา เป็นเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงทางเขตใต้ของเมือง เขาเคยเป็นนักรบฝึกหัดอยู่ในองค์กรขนาดเล็กแต่ด้วยเขาไม่มีพรสวรรค์ในการรองรับเมล็ดพันธุ์ และอาจจะเป็นได้แค่ครึ่งขั้นนักรบ ขั้นที่ 1 เท่านั้น
ทำให้องค์กรไม่อยากใช้เมล็ดพันธุ์กับเขา และมอบสิทธิ์ให้กับเพื่อนของเขาแทน
เมื่อจาฟารู้แบบนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจทรยศองค์กร วางยาฆ่าเพื่อนที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ชีวิต ขโมยเมล็ดพันธุ์หนีมา เพื่อหลบหนีการตามล่าตัวจากองค์กร
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายองค์กรที่เขาเคยอยู่ถูกทำลายและฆ่าตายทั้งหมดทำให้เขารอดตายและหนีมาอยู่เมืองนี้
หลังจากที่เขาใช้เมล็ดพันธุ์ก็เป็นดั่งที่องค์กรว่าไว้ เขาขึ้นมาได้แค่ครึ่งขั้นนักรบขั้นที่ 1 เท่านั้น ก็ไม่สามรถรองรับพลังงานได้อีก
แต่ในหมู่คนธรรมดามันก็ทำให้ เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงได้ไม่ยาก
เขารอบครอบมากและจะปล้นเฉพาะคนธรรมดาที่เดินทางมาจากเมืองอื่นเท่านั้น ของส่วนใหญ่ที่เขาหามาได้จะเอาไปใช้ในการฝึกฝนเพราะในใจแล้วเขายังไม่อยากยอมแพ้ เขายอมทำทุกวิทางเพื่อให้พลังได้ก้าวหน้า
ช่วงนี้เขาปล้นได้น้อยมากจนในที่สุดลูกน้องของเขาก็ไปเจอกับเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งเดินไปเข้าห้องส่วนตัวที่ธนาคารกลางออกมาพร้อมกับเงินจำนวนมาก
ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มเป็นคนธรรมดาจนให้ลูกน้องสะกดรอยดูอย่างไกล้ชิด จนที่สุดเขาก็มั่นใจว่า เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาอยู่ตัวคนเดียว
“ลูกพี่ มันออกมาแล้ว!”
“เร็วตามมันไป !!”
จาฟาและลูกน้องรีบเดินตามดอนไปทันที เขาตามเด็กหนุ่มไปที่ ธนาคารแล้วก็ออกมาพร้อมกับกล่องเหล็ก
และรู้ได้ทันทีตามสัญชาตญาณโจรของเขาทันที่ว่านั้นต้องเป็นของมีค่าอย่างแน่นอน เขารีบคิดหาวิธีพาเด็กหนุ่มเด็กไปที่ลับตาคนทันที แต่ไม่รู้ว่าโชคเข้าข้างเขาหรือไม่ เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มดันเดินเข้าไปในซอยที่ลับตาคนเองซะงั้น จาฟาและลูกน้องเห็นแบบนั้นก็ตาเป็นประกายยิ้มออกมาทันที
..............................
หลังจากที่ดอนไปเอากล่องเหล็กออกมาจากเซฟที่ธนาคาร ด้วยความรีบ
เขาจึงถือมันออกมาทั้งอย่างนั้นเลย และเดินตามทางที่จะไปที่ร้านเหล้าที่เขาค้นหาเจอในแผนที่เมือง โดยร้านนี้ตรงตามเงื่อนไขที่เขาอาจจะเจอกับผู้ติดต่อมากที่สุด
ดอนกำลังเดินออกจากซอย แต่กลับถูกขวางไว้โดยชายสองคน เขาเริ่มมีรางสังหรณ์ว่าจะโดนปล้นเข้าให้แล้ว เขาหันหลังกลับทำท่าจะเดินกลับออกไปทางที่มาทันที แต่ทางด้านหลังมีคนยืนอีก 3 คน
ตอนนี้ดอนรู้แล้วว่าเขาโดนปล้นแน่นอนและที่สำคัญเขาหน้าจะตกเป็นเป้าหมายมาสักพักแล้วด้วย
“กล้าดีนี่ ที่จ้องข้าแบบนั้น” ดอนไม่ได้ตอบหรือพูดอะไรเขาเอาจ้องไปที่หัวหน้ากลุ่มทันที ที่เขารู้สึกถึงออร่าที่น่ากลัวมาก ออกมาจากชายคนนี้นั้นทำให้รู้ว่าเขาน่าจะเป็นนักรบแน่นอน
“ข้าจาฟา ข้าอยากจะบอกว่า ให้ทิ้งของไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“แต่หน้าเสียดายที่เจ้ารู้ชื่อข้าและเห็นหน้าพวกข้าแล้ว คงไม่มีทางเลือกได้แต่ฆ่าทิ้ง”
หลังจากที่ได้ฟังแบบนั้น ในใจดอนก็ด่าสาปแช่งทันที ‘คุณเอ็งจะมาบอกชื่อทำไม แล้วก็ไม่หาอะไรปิดหน้ามาวะ’
ดอนรู้ว่าตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะรอดไปได้แบบครบ 32 แน่ หรืออาจจะต้องตายตรงนี้เลยก็ได้ในครั้งนี้ 4-1 ก็ว่าตายแน่แล้ว แต่นี่หนึ่งในนั้นยังมีพลังระดับนักรบอีกแล้วคนธรรมดาแบบเขาจะทำอะไรได้ เขารู้สึกอยากจะร้องให้ทันที
‘ข้าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากหลุมได้แค่สองวันเอง แล้วนี่ต้องกลับไปลงหลุมอีกแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเอาพวกมันลงไปด้วยสักคนสองคน’
ดอนวิ่งพุ่งไปที่ลูกน้องที่ยืนกันอยู่สองคน และ ง้างหมัดเตรียมสู้ตาย ด้วยระยะห่างแค่ 5 ก้าว จากสองคนนั้นเขามั่นใจว่า เขาต่อยโดนอย่างแน่นอน
แต่พอเข้าระยะที่สอง 3 ก้าวเขาก็ต้องตกใจเพราะอยู่ ๆจาฟาก็มาโผล่ที่ด้านหน้าของเขา ดอนยังไม่ทันได้ตอบสนองเขาก็รู้สึกเหมือนกับโดนชนด้วยรถยนต์ เข้ามาที่ท้องและภาพก็ดับลงทันที
“อั่กๆ”
รู้ตัวอีกตัวที เขาก็ไปนอนกลุมท้องกระอักเลือดอยู่ที่พื้น แรงหมัดที่ต่อยเข้ามานั้น สามารถฆ่าคนได้เลย และตอนนี้เขาก็กำลังจะกระอักเลือดตายในไม่ช้า
เขาพึ่งจะมาที่โลกใบนี้ได้แค่ 2 วัน แต่กลับต้องมาตายในสภาพแบบนี้ ดอนมองไปที่จาฟา ระยะห่างของนักรบและคนธรรมดามันช่างมากมายเหรอเกิน ทันใดนั้น เขาก็นเห็นจาฟานั้นหันไปพูดกับลูกน้องแล้วหันไปสนใจกล่องที่ที่ตกอยู่ด้านข้าง
“ฮี่ๆ เดี่ยวข้าจะช่วยใช้เจ้าหายเจ็บปวดเอง” นักเลงคนนั้นยิ้มและก็ดึงมีดออกมา เดินเข้ามาหาเขาและแทงไปที่ท้องดอนทันที ดอนรู้สึกชาเล็กน้อยจากนั้นความเจ็บก็เข้ามาแทนที่
“อ๊ากกๆ” น้ำตาของดอนไหลออกมาจากดวงตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดจากมีดที่แทงเข้ามาหรือความกลัวตายกันแน่ ทำให้เขามีแรงมีสติ กำไปที่มีดที่กำลังดึงออกมาจากตัวเอา
“ไอ้บ้านี่ ปล่อยสิวะ” นักเลงคนนั้นพยายามดึงมึดออกมา
ดอนใช้มือซ้ายกำไปที่มีดไว้และเอามือขวาต่อยไปที่ใบหน้านักเลงคนนั้นอย่างแรง แล้วใช้มีดที่แย่งมาได้แทงไปที่คอหอยของนักเลง
“อั๊ก ๆ ช่วย..” นักเลงคนนั้นใช้มือกำที่คอด้วยความตกใจ พยายามที่จะพูดแต่ด้วยคือที่ถูกปาดด้วยมีดทำให้มีแต่กระอักเลือดออกมา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจหลังจากที่เขาโดนแทง
เลือดที่ท้องของดอนไหลออกมารวมผสมไปกับเลือดของนักเลงคนนั้น อาบไปทั่วตัวดอนเขารู้สึกได้ถึงความเย็น รสชาติของเลือดที่ออกเค็ม ๆ มีกลิ่นคาวเลือดและโลหะ
ขณะที่กำลังจะแทงไปที่คออีกรอบ มือของจาฟาก็กำที่แขนของดอนอย่างแรง มันทำให้แขนดอนหัก กระดูกแหลกเนื้อเละทันที
“อ๊ากกๆ” ดอนกรีดร้องออกมาสุดเสียงทันทีด้วยความเจ็บปวด
ดอนมองไปที่จาฟา สีหน้าของจากจาฟานั้นดำมืดเต็มไปด้วยความโกรธ
จาฟามองไปที่ลูกน้องของเขา ที่เอามือกุมคอไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะมองลูกน้องเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้แล้วทิ้งได้ แต่การที่ลูกน้องมาตายต่อหน้าเขามันทำให้เขาโกรธมาก
จาฟาใช้มือบีบคอและยกตัวของดอนขึ้นมา
“ปล่อย...ฆ่าเจ้า...ตาย...ตาย........”ดอนพยายามใช้มือข้างขวาทุบไปที่แขนของจาฟาด้วยความสิ้นหวังพร้อมน้ำตาและเสียงที่ค่อย ๆ หายใจไม่ออก
“ตอนแรกข้าก็ไม่ได้แค้นเจ้า การปล้นมันก็เป็นแค่กฎของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ข้าว่าจะเหลือศพไว้ให้เจ้า แต่ตอนนี้ข้าจะฉีกเจ้าออกมาเป็นชิ้น ๆ และไปโยนให้หนูมันกิน !!!” จาฟาพูดด้วยสีหน้าดำโกรธ
ขณะที่จาฟากำลังจะหักคอดอนนั้น ก็มีเส้นใยแสงสีขาวไหลผ่านจากตัวของดอน ผ่านเข้าไปทางมือเข้าสู่ตัวจาฟา
ด้วยความตกใจเขาโยนดอนจนกระเด็นออกไปกระแทกกำแพงทันที
-------------------------------------------------------------------
จากผู้เขียน : อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นติชมกันนะครับ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ วิวที่เข้ามาอ่านนะครับ