ตอนที่ 20 เศษซาก
ตอนที่ 20 เศษซาก
เหนือเรือเหาะ พายุเมฆตั้งเค้าสาย สายฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องกินบริเวณหลายพันกิโลเมตร ชายหนุ่มสวมฮู้ดหนังสีดำนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีข้ารับใช้ยืนอยู่ด้านหลัง ในห้องรับประทานอาหารของเรือเหาะ
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” ดอนสั่งขณะที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ พร้อมกับยกชาขึ้นมาดื่ม
ตอนนี้เรือได้ออกเดินทางมาได้ 5 วันแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักนอกจากสัตว์ร้ายประเภทนกที่หลงฝูงมาในวันที่ 2 ของการเดินทาง แต่มันยังไม่ทันเข้าไกล้เรือก็ถูกปืนใหญ่โลกันต์ยิงทันที
ในวันที่ 3 เรือได้ไปจอดเทียบท่าที่เมืองระดับ 4 อยู่ราว ๆ 1 ชั่วโมงเพื่อส่งคน สินค้า และเติมเสบียงก่อนที่จะออกเดินทางต่อ หลังจากออเดินทางมาไม่นาน ก็เกิดฝนตกหนักติดต่อกันมา 3 วันแล้วทำให้บนดาดฟ้าเรืออันตรายมากเป็นพิเศษจากฝนและสายฟ้า
ทำให้ไม่มีผู้โดยสารขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือเหาะและทุกคนมารวมตัวอยู่ในห้องอาหารชั้นแรกของเรือแทน
นั้นทำให้ดอนได้เห็นผู้คนที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น มีทั้งผู้ใช้พลังฝึกหัด นักรบ และเศรษฐีมากมาย หลายคนมีคนรับใช้ติดตามมาด้วย แต่กลับไม่มีจอมอาคม
ดอนจะมานั่งฟังการสนทนาของคนเหล่านี้ พร้อมกับอ่านข้อมูลของโลกใบนี้จากในเครือข่ายไปด้วย
การที่ได้ฟังเรื่องราวของคนบนเรือทำให้ดอนได้ข้อมูลจำนวนมาก อย่างเช่นในเรื่องขององค์กร ได้มีการแบ่งลำดับไว้อย่างชัดเจนจนหน้าแปลกใจ เท่าที่ฟังมาคราว ๆ องค์กรแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือองค์กรที่ลงทะเบียนต่อทางสหพันธ์ และองค์กรมืดคือกลุ่มคนหรือจอมอาคมที่เป็นพวกอาชญากร รวมตัวก่อตั้งขึ้นมา
ถึงแบบนั้น องค์กรแต่ละองค์กรก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปและแม้แต่องค์กรที่ถูกกฎหมายก็ยังมือเปื้อนเลือดมามาก เพราะโลกนี้กฎใช้ได้กับพวกที่มีระดับและพลังที่เท่ากันเท่านั้น ถ้าไม่มีคนที่ทรงพลังคอยควบคุมองค์กรอยู่ละก็ คงจะโดนองค์กรอื่นแย่งชิงทรัพยากรไปจนหมด
ทางสหพันธ์เองก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายความขัดแย้งในองค์กรต่าง ๆ ยกเว้นว่าองค์กรเหล่านั้นจะไม่ยอมจ่ายภาษีหรือแหกกฎร้ายแรงจนก่อให้เกิดภัยกับทางสหพันธ์
ระดับชั้นขององค์กรก็แบ่งตามระดับพลังของสมาชิก เช่น ถ้ามีจอมอาคม ระดับผู้สร้างเป็นสมาชิกก็จะเรียกว่า องค์กรระดับ 1 ตามระดับของจอมอาคมไป
ขณะที่เขากำลังนั่งคิดเพลิน ๆ อยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามา คนที่เดินนำหน้ามีสีผมน้ำตาล ตาสีฟ้า แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันสวยงาม ดูราวกับลูกเศรษฐี
“ข้าขอนั่งด้วยได้หรือไม่ พอดีโต๊ะอื่น ๆ เต็มหมดแล้ว” ชายที่ดูเหมือนคุณชายเจ้าสำราญพูดพร้อมกับดึงเก้าอี้ออกมานั่งทันที
“ข้า อิกรีออน ผู้ใช้พลังฝึกหัดระดับผู้สัมผัส จากตระกูลจอมอาคมเบนารอน เจ้าละชื่ออะไร?” อิกรีออนมองไปที่ดอน
“ชื่อข้าเหรอ ข้าชื่อดอน ผู้ใช้พลังฝึกหัดระดับผู้สัมผัสเช่นกัน” ดอนเงยหน้ามองอิกรีออน
“แค่ดอนเหรอ เจ้ามาจากตระกูลอะไร?” อิกรีมองอย่างสงสัย
“ใช่แค่ดอน ข้าไม่มีตระกูล”
“หึ” อิกรีออนมางไปที่ดอนอย่างหยามเยียดอย่างเห็นได้ชัด
ดอนที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้สนใจ เขาพอจะรู้มาบ้างว่าผู้ใช้พลังฝึกหัดที่มีตระกูลหนุนหลังก็จะถูฏปฏิบัติในสถานะที่ต่ำลงมา โลกนี้เงินตราก็ถือว่าเป็นอำนาจรูปแบบหนึ่งไม่ต่างจากโลกใบเดิม
“ข้าขอตัวก่อน” อิกรีออนเดินออกไปที่โต๊ะอื่นต่อทันที
ดอนเห็นอิกรีออนไปทักทายชายหนุ่มและสาวน้อยอายุประมาน 13 ปีที่ต๊ะด้านข้าง
ตอนแรกดอนไม่ได้สนใจแต่พอได้ยินว่าทั้งคู่คือคนที่จะเดินทางไปที่สถาบันจอมอาคมเอราธาเมียเช่นกัน
เขาจึงทำทีเป็นอ่านหนังสือแต่ตั้งใจฟังอย่างเต็ม
โต๊ะที่ดอนนั่งและอิกรีออนห่างกันไม่มากนัก ทำให้ได้ยินได้ชัดเจน ดูเหมือนทั้งสองก็จะมาจากตระกูลจอมอาคม โดยเฉพาะสาวน้อยอายุ 13 ปีผู้นั้นเป็นคนที่มีพรสวรรค์ระดับสูงคนหนึ่งเลยทีเดียว
ดอนได้ยินทั้งสามคุยกัน เกี่ยวกับเรื่องการทดสอบนั้นมีแค่อย่างเดี่ยวคือระดับพรสวรรค์ดูเหมือนทางสถาบันจอมอาคมจะให้ความสำคัญกับระดับพรสวรรค์เป็นพิเศษ
หลังจากฟังอยู่สักพักก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม เขาจึงกลับห้องทันที “อายูกลับกันเถอะ”
------------------------------
ปี4856 5 กุมภาพันธ์
เรือเหาะก็ได้มาจอดที่เมืองเคลทิลัวร์ เมืองระดับ 2 โดยจะจอดนานถึง 1 วัน ดอนจึงได้ชวนอายูลงมาเดินเล่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากการที่อุดอู้อยู่แต่ในเรือ เพราะที่ผ่านมาทั่ง สามเมืองก่อนหน้าเรือได้จอดอยู่แค่ไม่ถึงชั่วโมงพวกเขาจึงไม่ได้ลงมา
ดูเหมือนพอมาถึงเมืองระดับ 2 แล้วทางเรือมีสินค้าที่ต้องขนส่ง เพราะตอนที่ดอนออกมา เขาเห็นว่าบริเวณท้องเรือได้เปิดออกและคนงานกำลังขนสินค้าลงมา
สิ่งแลกที่เขาเห็นเมื่อออกจากท่าเรือ นั้นคือตึกสูง 120 ชั้น มีอยู่เต็มไปหมดตอนแรกเขาคิดว่าได้กลับมายังโลกใบเดิมที่นี่ไม่ได้ต่างจากโลกใบเดิมของเขาเลยทั้งความเจริญในด้านวัตถุหรือวัฒนธรรม ยกเว้นก็แค่ไม่มีรถยนต์วิ่งอยู่เต็มถนน ไม่สิมันมีอยู่รถเหล็กที่วิ่งสลับกับรถม้า
เขาลองไปกินอาหารที่ร้านอาหาร ซึ่งถือว่าไม่หรูหลามากนักจัดอยู่ในระดับกลางของเมืองนี้เท่านั้น แต่ราคาอาหารกลับแพงกว่าเกือบ 2 เท่า
ดอนได้แต่บ่นงึมงำขณะออกจากร้าน อายูที่อยู่ด้านหลังดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หันมองทางซ้ายทีขวาที ไม่หยุดหย่อน
ระหว่างนั้นดอนก็เห็นร้านหนังสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมันดูเก่าเล็กน้อยแต่ก็มีเสน่ห์ในแบบฉบับของมัน
“พาข้าไปที่ร้านนั้นที” ดอนชี้ไปที่ร้านหนังสือแต่ก็ไม่มีการตอบรับจากอายู เขาจึงหันไปดูเห็นอายูเกาะกระจกอยู่ที่ร้านขายเครื่องประดับตาเป็นประกาย
“อายู พาข้าไปที่ร้านนั้นที!” ดอนเรียกมาอายูอีกครั้ง
“คะ...คะนายท่าน” อายูที่ได้ยินก็รีบวิ่งกลับมาทันที
ภายในร้านเต็มไปด้วยหนังสือทั้งเก่าและใหม่ จัดวางอยาในตู้กระจกดูสวยงานแต่เรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง แสงไฟที่ดูสว่างแต่ไม่แสบตายิ่งเพิ่มบรรยากาศให้น่าอ่านเข้าไปอีก
เข้าไปดูที่รายชื่อหนังสือที่ถูกฉายอยู่ตรงหน้ากระจก มันมีการแยกหมวดหมู่ไว้ทุกประเภท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์มากกว่า บางเล่มเป็นประวัติศาสตร์ของเมือง สถานที่สำคัญ ตำนาน และบุคคลที่สำคัญต่าง ๆ พร้อมกับรายละเอียดของหนังสือ
ดอนลองดูราคาของมันไม่ใช่ถูก ๆ เลย มันมีราคาตั้งแต่ 1เหรียญทองไปจนถึง 100 เหรียญทองเลยทีเดียว
“ยินดีต้อนรับ ท่านต้องการเล่มเห็นเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ” พนักงานชายแต่งตัวดูดี เดินเข้ามาทักทายดอน
“ทำไมราคาถึงแพงนัก” ดอนหันไปถาม
“ท่านล้อเล่นแล้ว หนังสือคือของสะสมที่จอมอาคมนิยมกันเห็นอย่างมาก อีกอย่างไม่ต้องพูดถึงตัวเนื้อหาข้างในแค่วัตถุดิบในการทำมันก็มีราคาที่แพงอย่างมากแล้วขอรับ และขั้นตอนการทำก็ไม่ใช่ง่าย ๆ บางเล่มก็ของสะสมของจอมอาคมเลยก็มีขอรับ”พนักงานอธิบาย
ดอนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันทีดูเหมือนหนังสือจะถูฏมองว่าเป็นของสะสมมากกว่าแต่ก็ไม่แปลกเพราะ เมื่อเครือข่ายข้อมูลเข้ามาแทนที่ตามเมืองต่าง ๆ ทำให้หนังสือเป็นของหายากไป
“ไหนก็เข้ามาแล้วก็ซื้อสักหน่อยก็แล้วกัน” ดอนเลือกหนังสือ 4 เล่ม เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของสหพันธ์ 2 เล่ม หนังสือเกี่ยวกับกลไกทั่วไป 1 เล่ม และ หนังสือเกี่ยวกับการสำรวจของคณะสำรวจเมราครอฟ
รวมแล้วต้องจ่ายถึง 300 เหรียญทองเลยที่เดียวแต่ดอนมีเหรียญทองไม่เพียงพอจึงได้แต่ต้องใช้ผลึกพลังงานในการจ่าย มันคือเงินก้อนใหญ่มาก แต่ดอนก็ยังมีผลึกพลังงานที่ได้มาจากมาเซออสอยู่ แต่เขาก็ต้องสำรองไว้เพราะไม่รู้ว่าที่สถาบันจอมอาคมจะต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง
เขามีเหตุผลอยู่ที่เลือกทั้ง 4 เล่มนี้อยู่ หนังสือประวัติศาสตร์ของสหพันธ์ 2 เล่ม เพราะการที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขาต้องการข้อมูลที่มากกว่าในเครือข่าย บางทีอาจจะมีข้อมูลใหม่ ๆ ก็ได้
ส่วนหนังสือกลไกนั้นเขาอยากรู้ความเป็นมาของรูปร่างรถเหล็กที่ว่าทำไมถึงมีคลายคลึงในการออกแบบเหมือนกลับโลกเก่าของเขานัก และของอีกหลาย ๆ สิ่งเช่นหลอดไฟ ของพวกนี้ถึงจะถูกสร้างโดยจอมอาคม แต่หลักการสร้างก็ไม่ได้ถูกเก็บเป็นความลับอะไร
เพราะยังสามารถหาซื้อได้ โดยทางสหพันธ์ก็เป็นผู้อนุญาตเองเพื่อที่จะได้เกิดการแข่งขั้นและพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก
ส่วนเล่มสุดท้าย ดอนอ่านในรายละเอียดแล้วเจอเข้ากลับสิ่งหนึ่งนั้นก็คือคณะสำรวจเมราครอฟ ได้ไปเจอเข้ากับซากของวัตถุที่แปลกประหลาด แต่ดอนมองครั้งเดียวก็รู้ได้เลยว่ามันคืออะไร มันคือซากของเครื่องบิน มันมีเครื่องบิน ไม่สิเศษซากของเครื่องบินอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร
หลังจากครบกำหนดเรือเหาะก็ออกเดินทางอีกครั้ง ตอนนี้ดอนไม่ได้มีสมาธิอยู่กับตัวเลย เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ว่ามีเศษซากเครื่องบิน และอีกหลายวันดอนได้แต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง อ่านหนังสือของคณะสำรวจเมราครอฟ
มันเริ่มปี 4355 เมื่อ 501 ปี ก่อน คณะสำรวจได้ออกนอกวงแหวนที่ 4 ได้อีก ด้วยเพราะเหตุความบังเอิญที่ว่า เรือเหาะได้ถูกโจมตีโดยอสูรระดับสูงไม่ทราบชนิด จนต้องหนีเข้าไปในหลุมลึกใต้ดิน แต่ความซวยของคณะสำรวจเมราครอฟยังไม่หมดแค่นั้น เพราะดูเหมือนว่าหลุมที่ไปหลบจะเป็นมิติที่แปลกประหลาด ที่นั้นอันตรายเป็นอย่างมาก
คนในคณะสำรวจที่รอดมาได้จากการโจมตีของอสูรกว่า 200 ชีวิต และกว่าหนึ่งในห้าเป็นจอมอาคม และผู้ใช้พลังฝึกหัดที่เหลือคืออัศวินไปจนถึงขั้นมหาอัศวิน กลับตกตายอย่างน่าประหลาด บ้างเดินอยู่ดี ๆ ก็ถูกฟันขาดครึ่ง บ้างก็ขาขาด หัวขาด บางคนเป็นบ้าฆ่าตัวตาย บางคนร่างก็สลายหายไปเฉย ๆ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ดอนก็รู้สึกขนลุกทันที ความตายคือสิ่งที่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือไม่รู้ว่าตายได้อย่างไร
ทั้งหมดใช้เวลาหาทางออกอยู่ถึง 40 ปี ตอนนี้คนที่เหลือรอดส่วนใหญ่คือจอมอาคม ส่วนอัศวินและมหาอัศวิน แทบจะตายไปหมดสิ้นแล้ว
เข้าไม่รู้ว่าเวลา 40 ปีมันนานแค่ไนในความรู้สึกที่ต้องถูกขังอยู่ในนั้น เพราะชีวิตที่ผ่านมาทั้งสองชาติเขายังอยู่ไม่ถึง 40 ปีด้วยซ้ำ
พวกเขาเจอทางที่เป็นโพรงกว้างมาก มันเป็นเหมือนสุสานซากเก่าแก่ ส่วนใหญ่ย่อยสลายไปเกือบหมดแล้วเหลือแต่โครงเหล็ก ก็คือเศษซากเครื่องบิน
ดอนปิดหนังสือลงแล้วหลับตารวบรวมสติอยู่พักหนึ่งและสายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป
ตอนนี้เขาคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะหนังสือไม่ได้มีการบันทึกอะไรต่อนอกจากข้อสันนิฐานจากคนเขียนที่ตีความว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้วทำหน้าที่อะไร ดอนไม่ได้อ่านส่วนนี้ต่อเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามันคือเศษซากของเครื่องบิน
อีกอย่างในหนังสือบอกไว้ว่า คนที่รอดออกมาได้นั้น มีอยู่ 3 คนหลังจากที่ติดอยู่ในนั้นถึง 80 กว่าปี นี้ก็ผ่านมา 400 กว่าปีแล้วพวกนั้นคงจะตายกันหมดแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้
ดอนได้แต่เก็บหนังสือลง และให้อายูพาเขาออกไปสูดอากาศด้านนอก
ตอนนี้มันเป็นเวลากลางคือ เรือเหาะไม่ได้บินอยู่ที่สูงเกินไปจนคนหายในไม่ได้ เขามองไปที่ท้องฟ้า การที่อยู่บนเรือเหาะมันทำให้มองเห็นดวงดาวได้ชัดเจน เขาไม่ได้รู้ในเรื่องดวงดาวแต่ก็สามารถบอกได้ว่าท้องฟ้านี้ไม่ใช่โลกเก่าของเขาแน่นอน
“ข้าคือใคร ความทรงจำจากโลกใบนั้นเป็นของจริงหรือไม่” ดอนรีบสายหัวทันที “มันต้องคือความจริงเพราะเศษซากของเครื่องบิน แต่ข้าคงจะกลับไปโลกใบเดิมไม่ได้แล้วแน่นอน มันอาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”
-------------------------------------------------------------------
จากผู้เขียน : อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นติชมกันนะครับ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ วิวที่เข้ามาอ่านนะครับ