ตอนที่ 18 ข้าขอซื้อ
ตอนที่ 18 ข้าขอซื้อ
ค่ำคืนที่เงียบสงบ เมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างเบาบาง บดบังแสงของดวงจันทร์ยามเที่ยงคืน บนกำแพงเหล็ก ทหารหลายสิบคนกำลังวิ่งกันอย่างวุ่นวาย บางคนวิ่งไปที่ปืนใหญ่เพลิงโลกันต์ บ้างก็ถือธนูคันใหญ่ยักษ์กว่า 2 เมตร บนท้องฟ้ามีฝูงค้างคาว เกือบ 30 ตัว บินวนอยู่
ภายในห้องพัก ดอนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างสบาย ก็สะดุ้งตื่นมาด้วยความตกใจกับเสียงของปืนใหญ่ที่ถูกยิ่งอย่างต่อเนื่อง
เขาลุกขึ้นมานั่งมองไปที่หน้าต่าง ด้านนอกมีแสงของปืนใหญ่สว่างวาบเข้ามาเป็นบางครั้ง
ร่องรอยการโจมตีของสัตว์ร้ายบนกำแพง ไม่ได้ทำให้เขาตกใจมากนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเมืองไอเรลัวอา อยู่ในวงแหวนที่4 หน้าด่านในการสำรวจแดนร้างที่ห่างออกไป
เขาไม่รู้ว่าโลกใบนี้ใหญ่เพียงใด แต่มันน่าจะใหญ่กว่าโลกที่เขาจากมาอย่างมาก
หลังจากนั้นสักพักเสียงของปืนใหญ่และความวุ่นวายข้างนอกก็เงียบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความง่วงนอนเขาจึงหลับต่อทันที
ช่วงเช้าเสียงเคาะห้องของก็ได้ปลุกให้ดอนตื่น แสงที่ส่องใส่หน้าของเขา รู้สึกแสบตาจนต้องยกมือขึ้นมาปิด อากาศที่ร้อนอบอ้าวภายในห้อง ทำให้ตัวของเขานั้นมีแต่เหงื่อ
ดอนใช้มือทั้งสองข้างพาตัวเองนั่งลงบนรถเข็น ไปเปิดประตูเห็นอายูที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“เจ้ามาแต่เช้าเลย” ดอนมองไปที่อายู
“ตอนนี้มัน 9 โมงแล้วคะ ไม่เช้าเลย” อายูเห็นดอนกำลังจะใช้มือสองข้างเข็นรถ เธอจึงเข็นรถพาดอนไปที่โต๊ะ
เขาก็มองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพง เข็มของมันชี้ไปที่เลข 9 แล้วจริง ๆ
หลังจากอายูพาดอนมาที่โต๊ะ จากนั้นก็หยิบกล่องเหล็กใส่แหวนส่งไปให้ดอน
“นายท่าน ลุงแพคม่าฝากของมาให้ท่านคะ”
ดอนหยิบกล่องเหล็กและเปิดออก ด้านในมีแหวนสีดำอยู่หนึ่งวง เขาใส่แหวนและลองใช้งาน มันคือแหวนยืนยันตัวตน เขาได้ให้แพคม่าใช้ชื่อว่า “ดอน” ในการลงทะเบียนแหวนวงนี้ โดยไม่ได้ใส่นามสกุลลงไป
ตัวแหวนยังคงมีฟังชันเหมือนเดิมเป็นแค่ของเริ่มต้น ดอนให้แหวนเชื่อมต่อกลับเครือข่ายข้อมูลของเมืองไอเรลัวอา
เปิดหน้าแรกหลายเว็บไซต์พาดหัวข่าวของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกันอย่างใหญ่โต
“คงต้องไปเปิดบัญชีกับธนาคารกลางก่อนเพื่ออ่าน”
ดอนไม่ได้กดเข้าไปอ่าน แต่เขาก็พอจะดูจากข่าวก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนมีฝูงค้างคาวราตรียักษ์ มันคือสัตว์ร้ายระดับ 1 มันเป็นสัตว์กินเนื้อ ได้โจมตีเมืองเมื่อคืนแต่พวกมันก็ถูกกำจัดอย่างรวดเร็วโดยปืนใหญ่เพลิงโลกันต์
หลังจากเขาหาข้อมูลตารางเดินทางของเรือเหาะสักพัก ก็เปลี่ยนเป็นชุดที่ซื้อมาเมื่อวานและให้อายูพาไปที่ธนาคาร
ในระหว่างทางที่ผ่านร้านอาหารข้างทาง กลิ่นหอมก็ลอยเข้ามาแตะจมูกเขา มันเป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
ดอนหันไปมองกลิ่นหอมนี้ลอยมาจากร้านซุปข้าวและขนมปัง
“เจ้ากินอะไรมาหรือยัง?”
“ข้าทานมาแล้วคะ” อายูตอบด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“แต่ข้ายังไม่ได้กิน พาข้าไปกินมื้อเช้าก่อนก็แล้วกัน”
หลังจากรอสักพัก ซุปข้าวมาหนึ่งถ้วยและขนมปังแข็ง 1 ก้อนก็วางอยู่ตรงหน้าดอน
ซุปข้าวมันดูคลายกับโจ๊กในโลกเก่าแต่มันมีน้ำเยอะกว่า ควันลอยมาจากในชามมันหอมเป็นอย่างมาก เขาใช้ช้อนตักมันขึ้นมา 1 คำ ภายในซุปไม่มีอะไรอื่นนอกจากข้าวทำให้มันดูจืดชืดไป
แต่พอลองกิน มันกลับให้รสชาติที่หอมหวาน เบาสบายและแปลกใหม่เป็นอย่างมาก
“อืม อร่อยกว่าที่คิด”ดอนกินเข้าไปอีกหลายคำ
“อึก ๆ” เสียงกลืนน้ำลายที่ดังขึ้นตรงข้ามทำให้ดอนถึงกลับเงยหน้าขึ้นไปมอง มันคือเสียงกลืนน้ำลายของอายู
อายูที่พึ่งรู้สึกตัวก็ถึงกลับหน้าแดงกล้มหน้าลงทันที ด้วยความเขินอาย
เขาไม่ได้สนใจและกลับมากินต่อ
หลังจากที่กินเสร็จ เขาก็ไปที่ธนาคารต่อทันที ตอนนี้มันเกือบจะ 10 โมงแล้วที่ธนาคารกลางมีคนเยอะเป็นอย่างมาก ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในการทำธุระกว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายพอดี
ในระหว่างทางกลับนั้น ดอนได้แวะกินอาหารกลางวัน ซื้อของอีกสองสามอย่าง และเตรียมที่จะตรงกลับห้องพักทันทีเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกเดินทางโดยเรือเหาะไปที่เมืองยาลันซ่าในตอนเย็น
“ติ๊ง!” ทันใดนั้นเสียงเตือนก็ดังขึ้น ดอนเห็นอายูหยิบบัตรยืนยันตัวตน มันมีข้อความที่ส่งมาถึงอายู
หลังจากที่อ่านสีหน้าของอายูก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวเล็กน้อย
“นายท่าน ข้าขอกลับก่อนได้หรือไหมคะ” เสียงของอายูดูสั่นเล็กน้อย
“หืม! เจ้ามีเรื่องอะไร?” ดอนถามด้วยความสนใจ ดูจากสีหน้าของอายูน่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น
“เออ...คือว่า....มีเกิดเรื่องขึ้นที่บ้านของข้า” ตาของอายูเริ่มแดงเล็กน้อยราวกับน้ำตาจะไหลออกมา
“พาข้าไปดู” ดอนสั่งออกไป ตอนนี้เขากำลังรู้สึกเบื่อ ๆ พอดี น่าจะหาอะไรดูฆ่าเวลาช่วงบ่ายได้
อายูดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตอบตกลงไป “คะ”
อายูพาเขามาที่บริเวณด้านหลังของเมืองที่นี่ดูเหมือนกับชุมชนแออัดไม่มีผิด มีขยะอยู่ทุกที่ ทั้งเศษเหล็กกองขยะ น้ำเน่า มันคือมุมมืดของเมืองดี ๆ นี่เอง บ้านหลายหลังสร้างจากดินและหินแบบหยาบ ๆ บางหลังเป็นแค่แผ่นเศษเหล็กประกบเข้าหากันเท่านั้น
ดอนเห็นขอทานหลายคน ทั้งหมดเป็นแค่คนธรรมดา ใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ บางคนมีรูปร่างผอมแห้ง บ้างแขนขาด หลายคนแย่งอาหารการกินอยู่
เขาคิดไม่ถึงว่าในเมืองแบบนี้ยังมีที่แบบนี้อยู่ ดูท่าคนธรรมดานั้นจะใช้ชีวิตที่ยากลำบากมากในโลกใบนี้ เขาได้แต่เตือนตัวเองว่า ‘ข้าจะต้องเป็นจอมอาคม มีพลังและอำนาจเพื่อที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองอยากให้ได้’
แต่ดอนจะรู้หรือไม่ว่ายิ่งมีพลังมากก็ยิ่งมีข้อผูกมัดและพันธะมากเท่านั้น
ดอนและอายูก็มาถึงที่บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มันกว้างประมาน 10 ตารางเมตร อายูรีบวิ่งไปในบ้านทันที โดยที่ลืมว่าทิ้งดอนไว้หน้าบ้าน เขาใช้มือทั้งสองเข็นล้อรถเข็นเข้ามาในบ้าน
ภายในบ้านบริเวณห้องนอนมีเด็กประมาน 7-8 คนกำลังมุงดูอยู่
“เอล พี่เป็นอะไรมา!”อายูตะโกนเรียกอย่างสุดเสียง
บนพื้นมีชายอายุราว 20 กว่าปี นอนเจ็บอยู่ ใบหน้าของเขาฟกชำไปหมด ที่แขนของเขามีเลือดไหลออกมาจากลอยฟันลึกจนเกือบเห็นกระดูก
“อายูเหรอ ข้าไม่เป็นอะไรแค่พักสักวันสองวันก็หายแล้ว” เสียงของเอลที่ดูแหบแห้งดังออกมา
ด้านข้างหญิงชรากำลังที่เหี่ยวแห้งและสั่นเทา ค่อยๆ ใช้น้ำล้างที่แผล ด้วยสีหน้าดูเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษ หันมามองที่อายูทันทีด้วยดวงตาที่เย็นชา
“เพี๊ยะ”
“เพราะเจ้าอายู เจ้าหาเงินได้น้อย หลานข้าเลยต้องไปขโมยของแล้วโดนฟันมาแบบนี้ ข้าน่าจะขายเจ้าไปซะ พวกเราจะได้มีเงินใช้กันไม่ต้องอดอยากแบบนี้ พวกเจ้าก็ด้วยเอาแต่กิน ๆ ไม่มีประโยชน์” หญิงชราหันมาตบหน้าอายูทันที
พร้อมกับหันไปตวาดเด็กอีก 8 คนด้านหลัง เด็กหลายคนถึงกลับกลัวตัวสั่นทันที
“ท่านยายมันไม่ใช่ความผิดของอายู ข้าไม่น่าเชื่อไอ้เจ้าครอสนั้นเลย มันหรอกข้า” เอลได้แต่มองไปที่อายูอย่างขอโทษ
หลังจากพันแผลไปแล้วเลือดก็ยังซึมออกมาอยู่
ดอนพอจะฟังจากการสนทนาของอายูและยายของเอล เขาพอจะเดาได้ว่า ที่นี่คือที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่พ่อแม่หรือครอบครัวตายจากการถูกสัตว์อสูรฆ่าตาย
หลังจากที่ลองค้นหาข้อมูลในเครือขายดูก็รู้ว่าในเขตสลัมแห่งนี้ ส่วนใหญ่เป็นแค่คนธรรมดาที่ถูกส่งมาสร้างเมืองในช่วงแรก ๆ
หลายคนตายจาก สัตว์ป่า สัตว์ร้ายและอสูร ทำให้มีเด็กกำพร้าจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจปล่อยให้อยู่แบบตามมีตามเกิด
“เอล ออกมาซะ เจ้าหนีไม่รอดแล้ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างนอกและเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาประมาน 4 คน
“ปัง!!!” เสียงถีบประตูดังขึ้นอย่างแรง พร้อมกับทหารที่เดินเข้ามา ทหาร 3 คน
ดอนสัมผัสได้ทันที ว่าทั้ง3 คนเป็นนักรบขั้นที่ 1 และด้านหลังมีชายหนุ่มที่แต่งตัวราวกับนักเลงเดินตามมา
หญิงชราที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งไปที่ประตูพร้อมกับทักทายด้วยความนอบน้อมทันที
“พวกท่านมีธุรอะไรหรือเจ้าคะ?” หญิงชราถามด้วยเสียงสั่น ๆ
“มีอะไรงั้นหรือ ข้ามาจับขโมย มันใช่คนที่อยู่ที่นี่หรือไม่?” ทหารยามหยิบใบประกาศกับออกมาทันที
ในรูปคือ เอลไม่ผิดแน่นอน ทหารที่ดูจะเป็นหัวหน้ามองสำรวจรอบ ๆ แล้วตาของหัวหน้าทหารหันไปเห็นดอนเข้า แต่ก็คิดว่าเขาคงเป็นเด็กกำพร้าที่นี่จึงไม่ได้สนใจ
หญิงชราที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกลับมือสั่นอย่างแรงทันทีพร้อมกับตอบ “ไม่..ไม่มี!”
“โกหกข้าเห็นมันหนีมาที่นี้กับตาตัวเอง” ครอสที่ตามมาที่ด้านหลังถึงกลับชี้นิ้วว่าทันที พร้อมกับหันไปกระซิบให้กับทหารคนนั้น
ดอนที่ดูเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ด้านข้างอย่างสนใจ เขาเห็นทหารคนนั้นมองไปที่อายูอยู่หลายครั้งด้วยสายตาหื่นกระหายเล็กน้อย ถึงมันจะถูกซ่อนไว้อย่างดี แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากสายตาของดอนได้
“ไปค้นให้ทั่ว” ทหารคนนั้นสั่งให้ลูกน้องอีก 2 คนเข้าค้นในบ้าน
“ไม่นายท่านได้โปรดละเว้นสักครั้งเถอะ” หญิงชราพยายามที่จะเข้ามาขวางทหารสองคนไม่ให้เข้าไปในห้อง
“เพี๊ยะ!”
“หลบไป ยายแก่นี่!” ทหารสองคนเดินเข้าไปในห้องพร้อมกลับ ลากตัวเอลออกมาทันที
“นี่ไงข้าบอกแล้วว่ามันอยู่ที่นี่ ท่านจับมันเลยมันแอบขโมยของที่จากเรือขนส่งที่ท่าเรือ ข้าเห็นเข้าจึงฟันมันไป”
“ไอ้ชั่วครอส เจ้าหักหลังข้า” เอลที่ถูกลากออกมาร้องตระโกนโวยวายทันที
ทหารลากเอลออกจากห้องนอน ท่านยายที่เห็นแบบนั้น ก็รีบวิ่งไปกอดขอของทหารคนนั้นทันที พร้อมกับขอร้อง
“นายท่านได้โปรดละเว้นหลานชายข้าเถอะ ได้โปรดละเว้นสักครั้ง ให้ข้าทำอะไรก็ยอม” หญิงชราร้องตระโกนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ทำอะไรก็ยอมอย่างนั้นหรือ ถ้างั้นข้าขอเด็กนั้นกับสาวน้อยพวกนั้นอีก 3 คน แล้วข้าจะลองคิดดูว่าจะปล่อยมันไปหรือไม่” ทหารมองไปที่เด็กสามคนและอายูทันที
“ได้ ๆ” หญิงชราคนนั้นตอบทันที
“ท่านยาย อย่า...” เอลตะโกน
“หุบปาก เจ้ามีค่ามากกว่ามัน อีกไม่นานเจ้าต้องได้เป็นนักรบแน่นอน” หญิงชราตวาดใส่เอล พร้อมกับไปดึงตัวเด็กสาวที่ หัวหน้าทหารยามชี้ และหนึ่งในนั้นก็มีอายูอยู่ด้วย
อายูที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับตกใจ หน้าซีดขาวทันที
เธอเคยเห็นคนที่ถูกขายออกไปจากบ้านหลังนี้ตอนเด็ก ๆ ให้กับพวกนักรบ หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมาเธอก็ได้ข่าวว่าเด็กคนนั้น ถูกทารุณกรรมอย่างหนัก ตบตีทุกวันจนกระทั้งตายและถูกเอามาทิ้งที่ด้านหลังของสลัม
ดอนที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับแปลกใจเล็กน้อยดูท่าโลกใบนี้ก็คงจะมีการค้ามนุษย์อยู่ ไม่ว่าโลกใบไหน ๆ ก็เหมือนกัน
หัวหน้าทหารกำลังชั่งน้ำหนักถ้าเขาจับเอลก็ได้แค่เครดิตจากครอสไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเขาเอาเด็กทั้ง 4 คนไป พอเล่นสนุกจนเบื่อแล้วก็ ขายให้กับพวกเศรษฐีตันหากลับพวกนั้น น่าจะมีเครดิตพอให้พวกเขาเที่ยวสนุกไปอีกนาน
“ปล่อยตัวมัน” ทหารที่เป็นหัวหน้าสั่ง
ทหารสองคนนั้นปล่อยตัวเอลทันที ครอสที่เห็นแบบนั้นก็โวยวายทันที “เราไม่ได้ตกลงกันแบบนี้ ท่านจะปล่อยมันไปไม่ได้!”
“หืม...!” ทหารคนนั้นหันมามองครอสอย่างเย็นชา สายตาที่เย็นชานั้นราวกับสายฟ้าที่ผ่าเข้าใส่ ครอสถึงกลับถอยหลังออกไปสองกาวด้วยความกลัว
ดอนก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน
เด็ก 3 ทั้งสามคนร้องให้เอลช่วยทันที แต่เอลนั้นได้แต่กล้มหน้ามองพื้นพยายามที่จะไม่สนใจพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กำแน่น เขาอยากที่จะช่วยแต่ก็ไม่อยากที่จะถูกจับตอนนี้
เอลได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ‘เดี่ยวข้าได้เป็นนักรบก่อนแล้วจะไปช่วยพวกแน่เจ้า’
ทหารทั้งสามพาเด็กสาว 4 คนออกไปทันที โดยไม่ฟังเสียงร้องใด ๆ
ดอนที่เห็นว่าอายูกำลังถูกพาตัวออกไปก็ตามไปทันที
“เดี่ยวก่อน” เขาตะโกนไล่หลังทหารทั้งสามทันที
“หืม เจ้ามีปัญหาอะไร?” หัวหน้าทหารคนนั้น ถามออกมาทันทีพร้อมกับจ้องมองดอน
“ข้าขอซื้อเด็กคนนั้น” ดอนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนกับสั่ง
-------------------------------------------------------------------
จากผู้เขียน : อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นติชมกันนะครับ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ วิวที่เข้ามาอ่านนะครับ