ตอนที่ 13 โชคชะตานำพา
ตอนที่ 13 โชคชะตานำพา
ยาตื่นรู้ไหลลงไปในคอของเขาอย่างรวดเร็ว มันราวกับเขาได้กลืนกินลาวาลงไป ถ้าตอนนี้ดอนเห็นตัวเอง จะต้องตกใจอย่างมากเพราะตั้งแต่คอลงไปเส้นเลือดเริ่มที่จะปูดชัดขึ้นมา จากนั้นขยายไปทั่วใบหน้าและลำตัว
“อ๊ากก!” ดอนพยายามที่จะคงสติเอาไว้ ร่างกายของเขาเริ่มร้อนขึ้นและเหงื่อก็ไหลออกมาเพราะความเจ็บปวด ทันใดนั้นตามร่างกายเริ่มมีเลือดซึมไหลออกมา แต่เมื่อเจอกับความร้อนสูงของร่างกายดอนมันก็ระเหยเป็นระอองทันที
ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าร่างกำลังแตกแยกออกจากกัน ดอนกัดฟันทนต่อไป
ในกระบวนการที่เกิดขึ้นเขาสัมผัสได้กับพลังลึกลับบางอย่าง มันราวกับว่าความคิดของเขาสามารถสัมผัสรับรู้พื้นที่รอบตัวได้ดีขึ้น เขาเห็รายละเอียดของหินแต่ระก้อน ดินแต่ละกำมือ สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตในต้นหญ้า ภายในระยะ 1 เมตรได้อย่างง่ายดาย
“นี่คือพลังงานธรรมชาติ” ดอนเฝ้ามองดูมันด้วยความหลงใหล ถึงเขาจะมีผลึกพลังงานอยู่ในมือ แต่มันก็ไม่ต่างจากก้อนหินสำหรับเขา ตอนนี้เมื่อได้สัมผัสถึงพลังงานเหล่านี้ด้วยตัวเองมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเทียบกันได้เลย ราวกับมันคือสิ่งคือสิ่งที่ร่างกาย วิญญาณของเขาเฝ้ารอ และโหยหาเพื่อที่จะมาเติมเต็มมาโดยตลอด
หลังจาก 5 นาทีผ่านไป เลือดก็หยุดซึม ความเจ็บปวดก็หายไป ดอนตื่นขึ้นมาจากความหลงไหลในการเฝ้ามองพลังงานธรรมชาติอย่างช้า ๆ สิ่งรอบตัวของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เหลือทิ้งไว้แต่เพียงคราบละอองเลือดตามเสื้อผ้าและผืนดิน
“เสร็จแล้วเหรอ” ดอนสำรวจไปตามร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักนอกจากรอยแผลจาง ๆ จากรอยแตกตามร่างกายที่สมานกันแล้ว จากเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้
แต่ภายในร่างกายของเขาตอนนี้ ดอนสัมผัสได้ถึงร่างจาง ๆ ของวิญญาณเขาที่มีอยู่ครึ่งท่อน กำลังนั่งซ้อนทับกับกายเนื้ออยู่ ดอนหลับตาลง และเพ่งความคิดไปที่วิญญาณของเขา มันเป็นเหมือนกับร่างกายเนื้อไม่มีผิดนอกจากร่างครึ่งท่อนที่หายไป
ทันใดนั้น ทั้งความคิดของดอนและวิญญาณก็ผสานรวมกันดอนในร่างวิญญาณค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“ความรู้สึกนี้ข้าเคยสัมผัสมาแล้ว” ดอนนึกถึงคืนแรกที่เขาพักในห้องเช่าที่เมืองชาลัน(เมือง3-108) แต่ตอนนี้ดอนลอยอยู่ในอาณาเขตวิญญาณที่ดูเหมือนลูกบอลกลมใสถ้าเทียบกับร่างกายเขาคงเป็นบริเวณระหว่างคิ้วทั้งสองข้างกลางหน้าผาก ภายในเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดไม่ใหญ่มากนัก
ทันใดนั้นดอนก็สังเกตุเห็นลูกบาศก์วิญญาณและ แสงก่อกำเนิดที่ลอยอยู่ภายในอย่างสงบนิ่ง
“มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร?” ดอนดูมันอย่างสงสัย
ดอนลืมตาขึ้นมาหลังจากออกมาจากอาณาเขตวิญญาณ ก็หยิบผลึกพลังงานออกมาสองก้อนและหยิบม้วนคัมภีร์พลังงานออกมา ดอนนี้เขารู้สึกว่าพลังจิตของเขาน่าจะพอให้ในการใช้งานมันแล้ว หลังเปิดใช้งานข้อความก็แสดงออกมา
“เผ่า : มนุษย์”
“อายุ : 19”
“ระดับ : ผู้สัมผัส”
“พลังจิต : 3 (5) จุด”
“อาณาเขตวิญญาณ ขั้น 3 : 5 จุด” (ขั้น 3 รองรับอาณาเขตวิญญาณ ได้ 100 จุด)
“พลังกาย : 4 (8) จุด”
“ความอึด : 3 (7) จุด”
“ความเร็ว : 0.5 เมตร/วินาที”
“พลังงาน : 0 (10) จุด”
“สัมพันธ์ธาตุ : โลหะ 50 % ,ดิน 17 %”
พลังงานจิตของเขาตอนนี้เพิ่มขีดจำกัดเป็น 5 แล้ว มันเพิ่มขึ้นตอนที่ดอนใช้ยาตื่นรู้ และใช้ไป2 จุด กับม้วนคัมภีร์พลังงาน ส่วนพลังงานมันยังคงเป็น 0 เหมือนเดิมเพราะดอนยังไม่ได้เริ่มฝึกฝน นอกจากนั้นมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนแรกดอนคิดว่าค่าพลังกายของเขาจะเพิ่มขึ้นแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
หลังจากเก็บม้วนคัมภีร์ลงไปดอนก็นอนพักผ่อนทันที่ด้วยความเหนื่อยล้า
.........................
มันเป็นช่วงเวลาเที่ยงแล้ว กว่าที่ดอนจะตื่นขึ้นมาหลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ดอนก็ไปค้นหนังสือในกระเป๋าเพื่อหาวิธีการฝึกฝนแต่มันกลับไม่มีอยู่ ดอนถึงกลับขมวดคิ้วทันที
“ตามในหนังสือการเป็นผู้ใช้พลังฝึกหัดบอก ต้องมีเทคนิคในการฝึกฝนพลังจิตและพลังงาน” ดอนคิด
ดอนลองค้นหาในหนังสือดูเขาเจอแต่เทคนิคการฝึกฝนพลังงานระดับต่ำ แต่ไม่เจอเทคนิคการฝึกผนพลังจิต
หนังสือส่วนใหญ่เป็นบันทึกการทดลองของเคเซฟอน เกี่ยวกับพวกการคืนชีพศพ การใช้เลือดของสัตว์ผสานกับร่างกายมนุษย์เพื่อสร้างมนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่ดอนยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ และมีบางเล่มที่เขาไม่แม้แต่จะทนอ่านได้สักตัวอักษรเพราะพลังจิตที่อยู่ในหนังสือเหล่านั้น เหตุผลที่ต้องใส่พลังจิตลงไปในหนังสือก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาอ่านหรือให้เฉพาะคนที่เข้าใจได้ในเนื้อหาสามารถอ่านได้
จอมอาคมทุกคนจะหวงความรู้ที่ตนเองมีมาก ๆ เพราะถือว่าความรู้ที่มีอยู่ในมือตนคือพลัง อำนาจและความแข็งแกร่ง อย่างเช่นความรู้สูตรการสร้างเมล็ดพันธุ์ชีวิต เทคนิคการฝึกพลังจิตขั้นสูง ๆ ขึ้นไป ความรู้พวกนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในการแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยกันเท่านั้น
เทคนิคการฝึกฝนพลังงานที่ดอนมีนั้นเป็นสิ่งที่พื้นฐานที่สุด นั้นคือ สามารถดึงพลังงานจากภายนอกมาใช้ได้แค่ 1 ใน 10 จากของทั้งหมด แค่ใช้พลังจิตชักนำมันโดยตรง
ดอนพักเพื่อฟื้นฟูพลังจิตโดยการนอนหลับ หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พลังจิตตอนนี้เต็ม 5 จุดแล้ว นั้นหมายความว่า พลังจิต 1 จุดใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการฟื้นฟูตามธรรมชาติ
ดอนค่อย ๆ ใช้พลังจิต 1 จุด ห่อหุ้มไปที่ผลึกพลังงานที่อยู่ในมือแล้วนำทางพลังงานที่อยู่ภายในผลึกเข้าไปในอาณาเขตวิญญาณอย่างช้า ๆ มันใช้เวลานานอย่าง
หลังจากผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง ผลึกพลังงานก็สลายกลายเป็นผงไป
เขาทำแบบนี้ 5 รอบก็พลังจิตก็หมดลง นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น แต่เขาก็ยังยิ้มออกมา พลังงานเขาเพิ่มขึ้นมา 1 จุดแล้วถึงแม้จะเขาใช้ผลึกพลังงานถึง 10 ก้อน
ดอนนอนหลับทันทีพร้อมกับมองไปที่แสงจันทร์ที่สองผ่านช่องลงมาด้วยความหวัง
..........................
คืนที่เงียบสงบ แสงสลัวที่ส่องลงมาจากเพดาถ้ำ เสียงของน้ำที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับละอองน้ำที่กระทบกับใบไม้จากต้นไม้ มีเสียงของค้างคาวที่ผ่านมาทางช่องบนเพดาที่แคบ ๆ เป็นบางครั้งร้องดังออกมา
ดอนที่ตอนนี้นอนหลับไปอย่างสลายใจ โดยไม่รู้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของความสงบสุขที่ผ่านมา
หยดน้ำค่อย ๆ หยดลงมาตามช่องบนเพดาน เป็นดังสันญาณเริ่มต้น
น้ำที่ค่อย ๆ เพิ่มปริมานเรื่อย ๆ พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น ไหลล้นติ่งมาเรื่อย ๆ
ผ่านไป 2 ชั่วโมง..........
ดอนที่นอนก็พลิกตัวไปมาอย่างสลายนั้นก็รู้สึกเย็น ๆ ที่มือเขาลืมตาลุกขึ้นมานั้ง พร้อมกับขยี้ตามองด้วยความงุนงง
“น้ำ...?” ดอนพูดอย่างสงสัย ทันใดนนั้นเขาก็มองรอบด้านด้วยความตกใจ มันมีแต่น้ำเต็มไปหมด
“ที่นี่กำลังจะโดนน้ำท่วม!” ตอนนี้น้ำเริ่มท่วมมาถึงที่ดอนอยู่แล้ว ดอนรีบตั้งสติ หยิบของรอบข้างทั้งกองหนังสือ ผลึกพลังงานและอาหารสองสามอย่างลงไปในกระเป๋าแล้วสพายทันที
ดอนค่อย ๆ กระเถิบร่างกายขึ้นไปอยู่ที่สูงขึ้น ตรงกำแพงด้านหลัง น้ำที่ไล่หลังมาอย่างรวดเร็ว แรงสันสะเทือนที่เริ่มจะสัมผัสได้ส่งผลให้สถานะการของดอนเลวร้ายลงไปอีกเมื่อกำแพงรอบด้านเริ่มพลังลงมา ๆ
“บ้าเอ้ย..!!!”
ดอนรีบใช้มือสองข้างตะกุยดินคานไปที่เนินสูงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทัน คลื่นน้ำที่เกิดจากดินถล่มใส่นั้น ถาโถมซัดเข้าใส่ดอนอย่างรวดเร็ว
จากแรงปะทะดอนลอยไปกับน้ำอย่างควบคุมทิศทางไม่ได้ เขาพยายามใช้มือทั้งสองคว้าจับไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง เพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็น ดอนที่กำลังลอยผุบ ๆ โพล่ ๆ อยู่นั้นก็เห็นต้นไม้ที่ถูกถอนทั้งรากจากการถล่มของดิน ที่ลอยมาตามน้ำสีโคลนพุ่งมาทางเขาอย่างรวดเร็ว ดอนคว้าจับไปที่มันทันทีอย่างไม่คิดชีวิต
ทั้งดอนและต้นไม้ลอยไปตามน้ำวนไปเลือย ๆ เพราะหาทางออกไม่ได้ลอยสูงขึ้นไปบนเพดาน
“ตรงกลางกลายเป็นหลุมน้ำวนไปแล้ว!!!” ดอนมองอย่างหมดหวัง
ทันใดนั้นเพดานถ้ำก็ถล่มลงมาเรื่อย ๆ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ดอนรีบพลิกตัวหลบไปใต้ต้นไม้เล็กน้อย จมูกโพล่พอแค่หายใจได้เท่านั้น เพดานถ้ำมีทั้งหินและดินที่ลนลงมาเป็นก้อนและเผ่นใหญ่เกือบ 10 ถึง 20 เมตรกันเลยทีเดียว ทั้งหินและดินที่หลนลงมานั้นถ้าลงมาถูกดอน เขาไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไง
ดอนได้แต่สวดภาวนาต่อโชคชะตาของตนเองเท่านั้น แล้วก็ดูเหมือนโชคของเขาจะยังไม่เลวร้ายเกินไป เพราะแรงจากคลื่นที่เพดานหล่นใส่ผักต้นไม้ที่ดอนเกาะอยู่ลอยออกจากวังวนของน้ำ และ ไหลไปที่ทางผนังที่ถล่มแล้วต่ำกว่าระดับของน้ำ ไหลออกสู้โลกภายนอกด้านบน
ท้องฟ้าที่มืดสนิทในเวลากลางคืน และเมฆฝนมืดครึม สายฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง คุมพื้นที่กว่า 100 กิโลเมตร สายฝ้าที่ผ่าลงมาขนาดใหญ่ ลงใส่ผืนน้ำที่ไหลไปท่วม ผืนดินที่แห้งแร้ง นั้นราวกับวันสิ้นโลกเป็นอย่างมาก
แต่มันไม่ได้มีแค่สายฟ้าแต่มีมันเสาเพลิงขนาดยักษ์ด้วย มีคนสองคนลอยอยู่ด้านบน ตรงกลางของสายฟ้าและเสาเพลิง ด้านล่างมีสัตว์อสูรขนาดใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร
สัตว์อสูรขนาดยักษ์นี้มีรูปร่างคลายกับกบเพียงแต่มันไม่มีขาหลัง ขาหน้าทั้งสองเป็นกรงเล็บที่แหลมคน 3 ใบยาวเกือบ 100 เมตร ผิวหนังที่คลายกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หางที่ยาวเหมือนกับใบพาย ดวงตาที่ใสราวกับหยดน้ำ แต่มันไม่มีเหงือกกลับมีจมูกแทน ปากที่ใหญ่เกือบ500 เมตร เปิดอ้าออก เกิดเป็นวงจรอาคมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
มันกำลังรวบรวมสายน้ำและสายฝน ยิงคลื่นน้ำออกมาจากปากขนาดยักของมันปะทะกับสายฟ้าและเสาเพลิงที่หล่นลงมา
ตรงบริเวณที่เกิดการต่อสู้ดอนรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมากเพราะมันคือหลุมขนาดใหญ่ทางเข้าคุกเหมืองนรกนั้นเอง แต่ตอนนี้มันถูกน้ำท่วมจนเกือบมิดเหลือแต่กำแพงที่พ้นน้ำเล็กน้อย มีเรือเหาะ10 ลำและปืนใหญ่โลกันต์ที่ถูกยิงออกมาจากบนเรือ อย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมกับม่านพลังงานกลางป้องกันเรือเหาะไว้
ดอนไม่ได้มีเวลาไปมองดูฉากที่น่าอัศจรรย์ตรงหน้า ตอนนี้เขาคิดแต่ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เขาที่ลอยอยู่ไกลจากจุดศูนย์กลางต่อสู้เกือบ 30 กิโลราวกลับเรือน้อยที่เจอพายุท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ดอนไหลไปตามน้ำอย่างต่อเนื่องไกลออกไปอย่างต่อเนื่อง
ดอนลอยมากลับน้ำที่ยังไม่หยุดไหล 2 วันแล้ว เขาหันไปทางไหนก็เจอแต่น้ำ ดอนคิดว่าที่นี่อาจจะเป็นทะเลไปแล้วก็ได้
“ต้องเป็นการต่อสู่ระดับไหนถึงจะสร้างผลกระทบขนาดนี้ได้”
เขาต้องเสี่ยงชีวิต ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกลับเขาก็ตาม ดอนไม่รู้ว่าเขาจะต้องโทษที่ตัวเองโชคร้ายหรือเขาอ่อนแอเกินไปดี แค่นอนอยู่เฉย ๆ ก็เกือบจะตายจากผลกระการต่อสู้ของสัตว์พวกนั้น
ดอนได้แต่กอดต้นไม้ไหลไปตามแม่น้ำ โชคยังดีที่ต้นไม้นี้มันมีขนาดใหญ่พอสมควรทำให้ดอนขึ้นมานั่งได้ไม่ต้องแช่ในน้ำให้หนาวตาย แต่ถึงแบบนั้นมันก็ทำให้เขาป่วยเป็นไข้จนได้ และสลบไปบนต้นไม้ที่ลอยไปกลับน้ำ
..........................................
“แคก ๆ!”(คิดว่าเป็นเสียงไอปนเสลดแล้วกัน)
ดอนที่ตอนนี้เป็นไข้และสลบไปเนื่องจากพิษไข้ ลืมตาขึ้นมา ดอนมองบนท้างฟ้า ดวงอาทิตย์สีทองที่กำลังตก สีส้มของยามเย็น ก้อนเมฆที่เป็นสีเทาเล็กน้อยด้วยความมืด ลมที่พัดมาเป็นบางครั้งช่างดูสวยงามราวกับความฝัน
ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้เหรือปล่าวแต่เขาเห็นเมฆที่กำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว “ไม่สิข้ากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว”
“เจ้าฟื้นแล้ว ! ดวงแข็งจริงเลย เจ้าโชคดีมากที่เจอข้าอีกแล้ว ดูท่าเราคงจะมีโชคชะตาต่อกัน เอาแบบนี้ไหมเจ้ามาเป็นหลานบุญธรรมข้าเอาไหม” เสียงคนแก่ดังมาจากข้างบนหัวเขา
ดอนเหลือกตามองไปดูแล้วถึงกลับต้องตกใจ รีบลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับชี้ไปที่ ตะโกนราวกับเห็นผี “ตาแก่ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร !!!”
มันคือตาเฒ่ามาเซออส ชุดสีขาวพร้อมกับหนวดเคราที่ดูสะอาดสะอ้าน ที่กำลังขับรถเหล็กอยู่ด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ดูท่าเจ้าหนุ่มนี่ จะเพ้อเพราะพิษไข้ซะแล้ว สงสัยต้องเพิ่มยาให้มากกว่านี้” มาเซออสหันมามองดอนด้วยความครุ่นคิด
-------------------------------------------------------------------
จากผู้เขียน : อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นติชมกันนะครับ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ วิวที่เข้ามาอ่านนะครับ