ตอนที่ 1 สุสาน
ตอนที่ 1 สุสาน
ปี 4850 20 ธันวาคม
ท้องฟ้ามืดครึ้ม แสงอาทิตย์ที่เริ่มน้อยลงใน ช่วง 4 โมงเย็น ยิ่งทำให้ก้อนเมฆฝนสีดำขนาดใหญ่ ที่เคลื่อนเข้ามานั้นดูเหมือนจะมาแทนท้องฟ้า เคียงคู่กลับกำแพงเมืองสีน้ำตาลดำ ที่สูงกว่า 200 เมตร ทอดยาวออกไปสุดสายตา มีประตูโลหะบานใหญ่น่าเกงขาม แค่มองก็ทำให้รู้สึก ว่าไม่มีทางที่จะถูกทำลาย ที่บานประตูมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “เมืองชาลัน”
ด้านในกำแพง เขตตัวเมือง เต็มไปด้วยตึก ส่วนใหญ่จะเป็นตึก 3 ชั้น สร้างขึ้นมาจากหิน สองข้างของถนนเต็มไปด้วยแสงไฟสีส้มจากหลอดไฟ สองข้างตามทางเดิน ที่ถนนมีรถม้าวิ่งผ่านไปมา บางครั้งจะเห็นพาหะนะคล้ายกับรถยนต์แต่ที่แปลกคือมันกลับไม่มีเสียงของเครื่องยนต์
ในเขตพักอาศัยสำหรับชนชั้นสูง
บ้านเดี่ยวสองชั้น ที่ด้านหลังบ้านมีสวนขนาดเล็กและต้นไม้ใหญ่อยู่ 1 ต้น
ด้านหน้ามีประตูบ้านมีรถม้าจอดอยู่ ชายวัยกลางคนใส่ชุดดำ สูง 170 เดินคู่มากลับผู้หญิง และเด็ก 2 คน ที่ถือดอกไม้มาคนละช่อ ด้านข้างเด็กชายท่าทางขี้อายที่กำลังจับมือผู้หญิงคนนั้น ถามขึ้นด้วยเสียงที่เบาเล็กน้อย
“แม่...แม่เราจะไปเยี่ยมพี่ดอนใช่ไหม ครับ?”
“ใช่แล้ว!”
“เราจะไปหาพี่ดอน ใช่ไหมคะพ่อ?”
ลินอายังไม่ทันจะตอบ ซาเดีย เด็กหญิงตัวน้อยมัดผมแกะสองข้าง อายุประมาน 10 ขวบ อ่อนกว่า เด็กชายประมาน 4 ปี ที่จับมือซาลอสอยู่ ก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง และเงยหน้ามองซาลอสด้วยสีหน้ามั่นใจ
“อืม” ซาลอสตอบพร้อมกลับหยิบร่มที่เตรียมมาขึ้นมากลาง กันสายฝนที่กำลังตกลงมาพาทุกคนขึ้นไปบนรถม้า
“เรารีบไปกันดีกว่าเดี่ยวจะกลับมาไม่ทันยานเหาะออก”
ทั้ง 4 คนเดินผ่านมุ่งหน้าสุสาน
เปี้ยง!.....
สายฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกลับเสียงฟ้าร้องเป็นบางครั้ง ฝนที่ตกลงมากระจายกลายไปเป็นหมอกทำให้มองเห็นได้ไม่ไกลมากนัก รถม้ามาหยุดอยู่หน้าประตูสุสานของเมือง
สุสานแห่งนี้ อยู่บริเวณทิศใต้ของเมือง คนที่จะถูกฝั่งที่นี่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูงหรือพวกเศรษฐี ที่จะต้องเสียเงินหลายเหรียญเครดิตเป็นค่าดำเนินการในการสร้างสุสานและฝัง
ทั้งสี่คนลงจากรถพร้อมกับร่มสีดำคันใหญ่และเดินมาที่หยุดที่สุสานแห่งหนึ่ง ป้ายหินหลุมฝังศพสีเทา มีรูปเด็กชายอายุประมาน 15 ติดอยู่ และที่ป้ายเขียนไว้ว่า
[ดอน อาเรคัส]
[4834-07-กรกฎาคม ถึง 4850 1 ธันวาคม]
[ลูกชายและพี่ชายอันเป็นที่รัก]
ซาเดียและเดลก้าวไปข้างหน้าเพื่อที่จะวางดอกไม้ที่เก็บมาจากสวนหลังบ้านที่เคยช่วยกันปลูกกลับพี่ชายด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อวางดอกไม้แล้วซาเดียก็ถอยกลับเข้ามาในร่มด้วยความหนาวสั่นจากสายฝนที่ตกลงมา แต่เดลกลับยืนนิ่ง น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าพร้อมกลับสายฝนจนแยกไม่ออกว่าเป็นน้ำตาหรือสายฝนกันแน่
‘ข้าจะปกป้องและดูทุกคนแทนท่านพี่เอง’ เดลสาบานต่อหน้าหลุมศพของพี่ชายท่ามกลางสายฝน
เปี้ยง!...
ทันใดนั้นฟ้าก็ร้องเสียงดัง เป็นเหมือนการตอบรับคำสาบานของเด็กน้อยอายุ 13 ที่กำลังก้าวข้ามบางสิ่ง
ลินอาที่เห็นแบบนั้นก็น้ำตาไหลออกมาและกำลังจะไปจะเข้าไปดึงเดลเข้ามาในร่ม แต่ก็มีมือมาจับมือของเธอไว้ ลินอาหันมามองซาลอสพร้อมน้ำตามองดูซาลอสที่ส่ายหน้าเบา ๆ ซาลอสรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของเดลในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ทั้ง 4 คนยืนนิ่งไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก สายฝนเริ่มหยุดลง พร้อมกับแทนที่ด้วยสายหมอกหนาสีขาวเป็นละออง ทั้ง 4 คนเดินออกจากสุสานไปด้วยความเงียบขรึม
……………………
ปี 4855 1 ธันวาคม เวลา 21:00 น.
ณ สุสานเมือง3-108
ชายแก่ร่างท้วม พร้อมกลับถือขวดเหล้าในมือ เดินส่ายไปมา เดินเข้าไปในสุสาน
เขาเดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ผ่านหลายป้ายหลุมจนมาหยุด อยู่ที่ป้ายหลุมศพ หลุมศพนี้เป็นของสหายสนิทของเขาที่เคยเป็นทหารด้วยกัน
“ข้าบอกแล้วว่า....อึก...ให้เจ้าลาออกมาทำธุรกิจกับข้า.....อึก...เจ้าก็ไม่ยอม”
“อึก...เอาแต่ว่าถ้าออกแล้วใครจะคอยปกป้องพลเมือง”
“ทั้งที่เจ้ามันก็เป็นแค่คนธรรม จะเอาอะไรไปสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้น”
ชายแก่ร่างท้วม บ่นไปก็ยกเหล้าที่อยู่ในมือมากระดกไปหนึ่งที แล้วเทลงไปที่ ป้ายหลุมศพหนึ่งที สลับไปมาเหมือนกลับว่ามาดื่มกลับสหาย
“ดูข้ามีทั้งอำนาจ มีทั้งเมีย มีทั้งลูกชาย”
“ส่วนเจ้าก็ได้แค่ตาย”
ชายแก่ร่างท้วมนั่งลงพิงกลับป้ายหลุมฝังศพและหลับไปทั้งอย่างนั้น ยามราตรีผ่านดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางท้องฟ้า ชายแก่ร่างท้วมสะลึมสะลือ ลืมตาตื่นขึ้นมา เขารู้สึกว่ามีใครมาจับโดนขาเขา
เมื่อมองออกไปก็มีมือที่โผล่มากหลุมฝังศพข้าง ๆ เป็นมือที่ผอมแห้งและซีดขาวซีดขาวจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แม้แต่ดินที่เลอะอยู่ก็ไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้ ด้วยความที่พึ่งตื่น ชายแก่ร่างท้วม จึงยื่นมือออกไปจับกลับมือนั้นแบบงง เพื่อที่จะเอาออก จากขาของเขา แต่พอสัมผัสโดนมันแต่ความรู้สึกเย็นยะเยือก บวกกลับบรรยากาศกลางดึก ที่มีสายลมเย็นพัดผ่าน
“ช่วย....ด้วย”
“อ๊าก ๆ !!”
ทันใดนั้นก็มีศีรษะโผล่ขึ้นมาจากผืนดิน หน้าที่ซูบผอม ดวงตาที่ปูดโปนขึ้นมา พร้อมกลับเสียงแหบน่าขนลุก เหมือนใบไม้แห้งดังออกมา
ใบหน้าชายแก่ร่างท้วมกลายเป็นซีดขาวทันที พร้อมกับกรีดร้องด้วยความตกใจ และรีบลุกวิ่งหนีไปสุดชีวิตด้วยความกลัว
เขาวิ่งไปก็นึกเสียใจไปว่าทำไมตัวเองอ้วนแบบนี้ทำให้วิ่งช้ามาก
.....................
ถนนหลัก เวลาเที่ยงคืนกว่า
ถึงจะดึกแบบนี้แล้ว แต่ก็ยังมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ ทั้งสองข้างทางทั้งร้านค้าและมีแผงขายของยังเปิดอยู่ ผู้คนที่เดินซื้อของ บางคนมีสีหน้าบึ้งตึง บางคนมีสีหน้ามีความสุข พร้อมกับเสียงต่อราคาสินค้าที่ดังออกมาเป็นระยะ
ที่ถนนแห่งนี้ กลางคืนจะเป็นการขายวัตถุดิบที่พลังงานสูงจนถึงวัตถุดิบกึ่งอาคม ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นนักรบหรือข้ารับใช้
บริเวณนี้จะมีทหารของเมือง มาเดินตรวจสอบเป็นระยะ ทหารส่วนใหญ่เป็นนักรบฝึกหัดที่ถูกฝึกโดยกองทัพของเมือง ถึงจะเป็นแค่นักรบฝึกหัดแต่ก็ไม่มีใครที่จะยอมก่อปัญหา เพราะเมืองนี้ถูกควบคุมองค์กรขนนกทองคำ
ถึงจะบอกแบบนั้น แต่เมื่อ 20 ปีก่อน ยังมีกลุ่มโจร ผู้นำถึงผู้ใช้พลังระดับผู้ควบคุมที่ไปถึงจอมอาคม และข้ารับใช้ อีก 30 คน เข้ามาปล้น ฆ่าคนธรรมดาไปถึง 2000 คน และ นักรบอีกจำนวนหนึ่ง แต่ระหว่างหลบหนี
แต่ทั้งกลุ่มกับถูกหยุดโดย จอมอาคมระดับผู้สร้าง ขององค์กรขนนกทองคำ ผู้นำกลุ่มถูกจับ ส่วนข้ารับใช้ถูกดึงเมล็ดพันธุ์ชีวิตออกและแขวนคอ ทำให้ไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายและคนธรรมดาก็ไม่กล้าเข้ามาบริเวณนี้มากนักหลังจากเหตุการที่เกิดขึ้น
ที่ถนนมี เงาคนวิ่งมาแต่ไกลพร้อมกลับแหกปากตะโกน หลายคนที่กำลังต่อราคาอยู่ ถึงกลับหันไปมองกันด้วยความงุนงงและสงสัย
“เฮ้ย! คนบ้าที่ไหน? มาวิ่งร้องแหกปากในตอนกลางคืน”
ทหารที่เดินตรวจอยู่ ตระโกนออกมาด้วยความหงุดหงิด
“ช่วยด้วย...!”
“ช่วย....ด้วย ! ช่วยด้วย...ผี...ผีดิบ”
ชายแก่ร่างท้วม วิ่งมาด้วยสีหน้าแดงกล่ำ เสียงหายใจที่เหนื่อยหอบยังไม่ทันหยุด ก็วิ่งเข้ามากอดขาทหารคนนั้นไว้พร้อมกับตัวสั่นไม่หยุด
“ช่วยข้าด้วย”
“เฮ้ย! บ้าอะไรวะเนี่ย ออกไป”
ทหารที่โดนกอดขาอยู่เห็นว่าเป็นชายแก่ร่างท้วมคนธรรมดา ก็ตะโกนด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับใช้ดาบที่อยู่ในมือ ฟันชายแก่ร่างท้วม
ชายแก่ร่างท้วม เห็นแบบนั้นก็หนีถอยหนีออกมาด้วยความกลัว แต่ก่อนที่ดาบจะฟันลงมาก็ถูกหยุดโดยหัวหน้าทหารที่เดินมาดูความวุ่นวาย
“หยุดก่อน!”
“นั้นใช่ท่านเฮลรีใช่ไหม?”
“ใช่ ๆ ข้าเอง!”
ชายแก่ร่างท้วม รีบพยักหน้าตอบ หัวหน้าทหารที่ได้ยินก็รีบเปลี่ยนสีหน้าประจบ เอาอกเอาใจทันที
เฮลรีเห็นแบบนั้นก็ตั้งสติได้ และนึกถึงเรื่องที่ตัวเองทำลงไป ว่าเป็นเรื่องน่าอายแค่ไหน
เขารีบลุกขึ้นยืน จัดแจงเสื้อผ้าตัวเองทันที พร้อมกับนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่เข้าใจปกติเขาจะไปดื่มที่สุสานนั้นเป็นประจำก็ไม่น่าจะเกิดอาการกลัวผีได้ขนาดนี้หรือหรือว่าสิ่งที่เขาเจอจะไม่ใช่ผีแต่เป็นผีดิบ
“ท่านเป็นอะไร มา ๆ เข้ามานั่งพักก่อน”
เฮลรีเข้าไปนั่งพักทางด้านในร้านอาหาร และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หัวหน้าทหารฟัง หลังจากนั้นสักพักหัวหน้าทหารให้คนไปส่งเฮลรีและเดินออกมาด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย
“ตาแก่นั้น เป็นใคร ทำไมหัวหน้าถึงต้องดูแลดีแบบนั้น”
“ซู่!!! เบาหน่อย ถ้าไม่อยากมีปัญญา”ทหารอีกคน ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทำท่าให้เบาเสียงลง
“เจ้าคงพึ่งมาอยู่ที่เมืองนี้สินะ?”
“ใช่ ข้าพึ่งย้ายมา”
“งั้นก็ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้จักท่านเฮลรี แต่เจ้าต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับร้านค้าตระกูลคาส มาบ้างใช่ไหม”
“เคยสิ ข้าไปร้านค้าตระกูลคาสบ่อย ๆ”
“นั้นคือท่านเฮลรี เถ้าแก่ร้านตระกูลคาส บิดาของท่าน ซาลัว คาส ที่เป็นผู้ใช้พลังระดับ ผู้ควบคุม”
ทันทีที่เขาตอบกลับไปใบหน้าเปลี่ยนสีทันที ตระกูลคาสมีชื่อเสียงโดงดังมาก โดยเฉพาะด้านยาพลังงานที่ขายในร้านค้า นักรบมากมายทั้งระดับต่ำและสูงที่นิยมมาซื้อที่ร้านแห่งนี้ ด้วยตัวยาที่มีคุณภาพสูงกว่าร้านอื่น ควบคุมการค้ายาพลังงานมากกว่า 40 % ของเมืองนี้
และที่สำคัญว่ากันว่า ซาลัว คาส ที่มีพรสวรรค์ถึงระดับ 4โอกาสเป็นจอมอาคม
แต่เขาที่เป็นแค่นักรบฝึกหัด ถึงกับกล้าใช้ดาบฟันพ่อของผู้ใช้พลังระดับ ผู้ควบคุม ซึ่งเป็นการท้าทายศักดิ์ศรีของผู้ใช้พลังโดยตรง ดังนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่มีแค่เพียงความตายเท่านั้น
“เฮ้! เจ้าจะไปไหนนะ”
ทหารคนนั้นไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำรีบวิ่งสุดชีวิต
หลังจากนั้นไม่กี่วันมีคนพบศพเขานอนตายอยู่นอกตัวเมืองไป 20 กิโลเมตร บ้างก็ว่าเขาถูกสัตว์ร้ายฆ่า บ้างก็ว่าถูกโจรฆ่า แต่หลายคนเชื่อว่าเป็นฝีมือของตระกูลคาส
ไม่ว่าอันไหนจะจริงไม่จริง ก็ไม่มีใครสนใจ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลคาสคนก็คงไม่มีใครพูดถึงด้วยซ้ำ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ยิ่งทำให้ตระกูลคาสมีชื่อเสียงน่ากลัวขึ้นไปอีก
..........................
ดอนตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เขามองไปรอบด้านมันมืดไปหมด รู้สึกเหมือนอยู่ในที่แคบ ๆ พร้อมกลับกำลังอยู่ในดิน
หายใจไม่ออก!
ดอนพยายามใช้มือตะกุยดินปีนขึ้นมา ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าเหมือนจะจับโดนอะไรบางอย่าง มือนั้นพยายามดึงมือเขาออก
ดอนจึงรีบดึงตัวเองขึ้นมาจากหลุม
พอศีรษะเขาโผล่พ้นขึ้นมาก็เห็นชายแก่ร่างท้วม ใบหน้าซีดขาว เขาจึงขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ชายแก่ร่างท้วมก็กรีดร้องขึ้นมาเหมือนจะเป็นจะตาย พร้อมกับวิ่งไปหนีสุดชีวิต
เขามองชายแก่วิ่งไปพร้อมกลับดวงตาที่ค่อย ๆ ปิดลง...
……………………
ปี 4855 2 ธันวาคม เวลา 6.00 น
แสงแรกของวันใหม่สาดส่องลงมากระทบกับเปลือกตาของดอน เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขามองไปรอบ ๆ ด้านข้างมีแต่กำแพงดิน เขานอนอยู่ในหลุมกว้างประมาน 2 เมตร
ดอนพยายามเรียงความคิด เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
ทันใดนั้นก็มีภาพความทรงจำไหลผ่านเข้ามาในหัวของเขา
‘จำได้แล้ว ฉันชื่อดอน กำลังไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ผ่านสัมภาษณ์ แล้วก็ไปทดสอบของทางรัฐบาลกลาง หลังจากนั้นก็...’
“โอ้ย! ทำไมมันปวดหัวแบบนี้วะเนี่ย!”
ดอนเอามือกุมที่หัวพร้อมกลับดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเขานึกถึงความทรงจำที่หายไปมากเท่าไหรก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น
‘ไปทดสอบของทางรัฐบาลกลาง หลังจากนั้นก็มีควันสีขาว ปล่อยออกมาแล้วก็ สลบไป’
ตอนนี้ดอนไม่ได้พยายามนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมาอีก เพราะเขาจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเรื่องที่นึกออกในตอนแรก
“พวกรัฐบาลกลางบ้าพวกนั้นเล่นอะไรกันวะ!”
“ลักพาตัวเหรอ ก็ไม่น่าใช่บ้านเราจนขนาดนั้น”
“หรือเราเป็นลูกนอกสมรสของพวกนักการเมือง? ก็ไม่น่าใช่”
ดอนปีนขึ้นมาจากหลุมด้วยความทุลักทุเล
หลังจากที่ใช้ความพยายามสักพักเขาก็ขึ้นมาได้ เขาบ่นไปปัดฝุ่นตามตัวไปด้วย และก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น เพราะสิ่งที่เขาเห็น ภาพตรงหน้าเขามันมีแต่สุสาน
สุสานเต็มไปหมด
ทันใดนั้นเขาก็เกิดลางสังหรณ์แปลก จึงค่อยหันกลับไปมอง ที่ด้านหลังมีหลุมฝังศพอยู่
“ไม่ใช่หรอกมั้ง น่าจะเป็นการแกล้งกันมากกว่า”
ดอนพยายามปลอบใจตัวเอง แต่ดวงตากับทรยศเขา
ดอนเห็นชื่อบนป้ายหลุมฝั่งศพ เขียนชื่อตัวเองอยู่
-------------------------------------------------------------------
จากผู้เขียน : อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นติชมกันนะครับ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ วิวที่เข้ามาอ่านนะครับ