ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 6 : ศิลปะการต่อสู้
บทที่ 6 : ศิลปะการต่อสู้
แม้พลังชีวิตภายในจุดตันเถียนจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็เพียงพอที่จะรักษาฟื้นฟูกระดูกมือที่แตกหักของซูอานได้
ซูอานนั่งขัดสมาธิอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง และค่อยๆเริ่มใช้พลังชีวิตในจุดตันเถียนของตนซ่อมแซมกระดูกมือที่แตกหัก ขั้นตอนการรักษากระดูกที่แตกหักเล็กน้อยนี้ใช้เวลาไม่นานนัก เพียงแค่สองสามนาทีก็เรียบร้อยแล้ว
…..
แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ชายชราคนหนึ่งก็ถูกเด็กสาวที่เพิ่งวิ่งขึ้นเขามาฉุดร่างไว้ พร้อมกับร้องตะโกนบอกเสียงดัง
“อาจารย์คะ มีคนกระโดดลงไปจากหน้าผา หนูเห็นกับตาเลย!”
สีหน้าของเด็กสาวอายุราวสิบสองถึงสิบสามปีบ่งบอกถึงความกระวนกรวายใจอย่างมาก
ชายชราที่ยังดูแข็งแรงอย่างมากตอบกลับเด็กสาวไปว่า “ใครจะกระโดดจากหน้าผาลงไปกัน? ขืนกระโดดลงไปก็มีแต่ตายกับตายน่ะสิ!”
ระหว่างที่เด็กสาวกับชายชราเดินมาถึงหน้าผาแล้ว เด็กสาวก็ชี้ไปทางหน้าผาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตรงนั้นล่ะค่ะ!”
แต่ในระหว่างที่ชายชรากำลังมองอยู่นั้น เขาก็หันไปพบร่างของซูอานเข้าพอดี จึงได้สั่งเด็กสาวว่า “เงียบก่อน!”
สายตาของชายชราจับจ้องอยู่ที่ร่างของซูอานไม่วางตา สีหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวขึ้น
ซูอานกำลังนั่งขัดสมาธิทำการรักษากระดูกมือที่แตกหักอยู่ จึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย
แต่หลังจากที่ทำการรักษากระดูกแขนจนหายดีแล้ว เขาก็ลืมตาขึ้น และพบว่ามีชายชรากับเด็กสาวกำลังยืนนิ่งจ้องมองมาทางหน้าผาแห่งนี้..
ซูอานไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เขากระโดดลงจากยอดสนเก่าแก่ต้นนี้ทันที และกลับไปยืนที่หน้าผาเช่นเคย
สายตาของชายชราผู้นี้ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของซูอานไม่วางตา เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของซูอานกับคนทั่วไป และสัมผัสได้ว่าเวลานี้พลังชีวิตรอบตัวเขาได้อ่อนลงมาจนถึงขั้นไม่เหลือแล้ว
การที่ชายชรารีบกุลีกุจอขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าบนยอดเขาแห่งนี้พลังงานผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่เสียเวลาขึ้นมาเป็นแน่ และเมื่อได้พบกับซูอานเข้า เขาจึงรู้ว่าต้องเป็นซูอานที่ดูดซับพลังรอบๆตัวเข้าไป
“พ่อหนุ่ม เมื่อครู่ที่เธอนั่งอยู่บนกิ่งสนนั่น เพราะกำลังฝึกบ่มเพาะพลังอยู่งั้นรึ?” ชายชราเอ่ยถามทันที
“ถูกต้อง!” ซูอานพยักหน้าพร้อมตอบรับโดยไม่คิดที่จะปิดบัง
“แล้วที่พลังชีวิตบนยอดเขาเหือดแห้งเช่นนี้ก็เป็นเพราะเธออีกใช่มั๊ย?”
ซูอานหันไปมองชายชราด้วยสีหน้าเฉยเมยพร้อมกับถามออกไปว่า “หากเป็นข้าแล้วทำไมงั้นรึ?”
ซูอานคร้านที่จะอธิบาย และไม่ต้องการจะอธิบายใดๆด้วย ในเมื่อชายชรารู้จักพลังชีวิตเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อม หรือโกหกใดๆ
และหากชายชรามีปัญหากับการกระทำของเขา ก็แค่ต้องลงมือต่อสู้กันเท่านั้น!
เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างชายชราได้ยินซูอานพูดจามะนาวไม่มีน้ำเช่นนั้น จึงได้ตอบโต้กลับด้วยความโมโห
“นี่.. นายเข้ามาดูดซับเอาพลังชีวิตจากบนเขาไปหมดแบบนี้ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกัน?”
ซูอานตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “นั่นมันเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า!”
“อาจารย์คะ ผู้ชายคนนี้หยิ่งผยองแล้วก็อวดดีเกินไป ท่านต้องสั่งสอนเข้าบ้าง!’
แต่น่าแปลกที่ชายชรากลับไม่ฟังคำพูดของเด็กสาวแม้แต่น้อย เขาจ้องมองซูอานด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวแนะนำตัว
“สวัสดีพ่อหนุ่ม ฉันชื่อฮั๋วซาน แต่คนอื่นๆมักจะเรียกว่าเหล่าฮั๋วแทน!”
ซูอานไม่แม้แต่จะยื่นมือออกไปจับมือของชายชราตามธรรมเนียมการทักทายแบบชาวตะวันตก เขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
“เอาล่ะ.. ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน!”
“ประเดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม!” เหล่าฮั๋วรีบห้ามไว้ทันที
ซูอานจ้องมองเหล่าฮั๋วราวกับจะหาเรื่องพร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่เจ้าต้องการที่จะประมือกับข้าจริงๆงั้นรึ?”
เหล่าฮั๋วยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “พ่อหนุ่ม เธอก็อย่าด่วนโมโหไปนัก ฉันแก่แล้วจะเอาเรี่ยวเอาแรงจากไหนมาสู้กับเธอได้เล่า!”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารั้งข้าไว้ด้วยเหตุอันใด?” ซูอานถามขึ้นอย่างหมดความอดทน
เหล่าฮั๋วยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมถามซูอานกลับไปว่า “พ่อหนุ่ม.. เธอคงจะเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะตนเหมือนกันสินะ?”
“เจ้าถามอะไรโง่ๆ หากไม่ใช่ ข้าจะขึ้นไปนั่งบนยอดสนโบราณต้นนี้เล่นงั้นรึ?” ซูอานตอบเสียงห้วน
แต่เหล่าฮั๋วกลับไม่โกรธและไม่ถือสา เขาจ้องมองซูอานพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม.. ฉันไม่อยากสู้กับเธอ แต่อยากจะคุยกับเธอมากกว่า”
“เฮ้อตาเฒ่า.. ข้าว่าเจ้าพูดจาอ้อมค้อมไปมา เสียเวลาน่าดู!” ซูอานตอบกลับอย่างหมดความอดทน
การมาเกิดใหม่ในครั้งนี้เป็นการกำเนิดใหม่ด้วยดวงจิตเดิมในร่างใหม่ เพราะหากเป็นจักรพรรดิเสียนอู่คนเดิม เชื่อว่าชายชราคงจะไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่นานแล้ว หรือไม่ก็อาจถูกฆ่าตายไปแล้วก็ได้!
แต่ในระหว่างที่ซูอานกำลังจะลงมือสั่งสอนชายชรา ท้องของเขาก็ร้องขึ้นมาเสียก่อน
‘น่าอาจชะมัด!’
ซูอานได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ เขาลืมไปว่าเวลานี้ตนเองเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่อาจต้านทานต่อความหิวโหยของร่างกายได้เท่านั้น
เหล่าฮั๋วหัวเราะออกมาทันทีพร้อมบอกกับซูอานว่า “ในเมื่อท้องร้องแล้ว พวกเราะไปหาอะไรกินรองท้องกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยคุยธุระกันต่อ..”
ซูอานทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เวลานี้ร่างกายของเขาต้องการอาหาร แต่เขาไม่มีเงินติดตัวเลย เขาจึงตกลงรับปากชายชราไป
ตอนนี้ผู้คนต่างก็ทยอยขับรถลงเขาไปบ้างแล้ว ซูอานกับชายชราเดินมาถึงรถ Range Rover SUV ที่จอดอยู่ คนขับรถเดินลงมาเปิดประตูรถให้ด้วยความนอบน้อม
เหล่าฮั๋วยิ้มให้กับซูอานพร้อมเชื้อเชิญให้เขาขึ้นไปนั่งบนรถ “พ่อหนุ่ม ขึ้นไปนั่งบนรถสิ”
เมื่อทั้งสามขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว คนขับรถก็เหยียบคันเร่งพารถรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่พุ่งทะยานลงเขาไปทันที
แม้สีหน้าของซูอานจะยังคงราบเรียบเป็นปกติ และไม่มีท่าทีตกอกตกใจอะไร แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าชายชราผู้นี้ไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก
“รถคันนี้หลานสาวคนสุดท้องของฉันเป็นคนซื้อให้ เห็นว่ายังไม่นำเข้าตลาดเมืองจีนเลย ฉันก็เลยเป็นคนแรกที่ได้ใช้รถรุ่นนี้ก่อนใครๆ” เหล่าฮั๋วพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าบ่งบอกถึงความภูมิอกภูมิใจ
“เสี่ยวจาง.. ไปที่ภัตตาคารหลี่หยวนนะ ฉันจะพาพ่อหนุ่มนี่ไปดื่มชา ฮ่า.. ฮ่า..”
“ครับท่าน!”
…..
เมื่อรถแล่นเข้าไปจอดอยู่หน้าภัตตาคารหลี่หยวนแล้ว คนขับรถก็รีบลงมาเปิดประตูให้ทันที และนี่คือคุณสมบัติของคนขับรถที่ดีมีมารยาท
ทั้งสามก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในภัตตาคารหลี่หยวนทันที บรรยากาศภายในภัตตาคารทำให้ซูอานอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะในความทรงจำของเขานั้น เขาไม่เคยได้เข้ามากินอาหารในสถานที่หรูหราเช่นนี้เลย เพราะมีราคาแพงจนเกินไป
ระหว่างทางที่เดินเข้าไปนั้น ชายหนุ่มสวมชุดสูทก็เดินเข้ามายิ้มให้พร้อมกับทำความเคารพ เขาคือผู้จัดการภัตตาคารแห่งนี้นั่นเอง และนี่ยิ่งเป็นการยืนยันว่าชายชราผู้นี้ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาๆเลย
“วันนี้ฉันมีแขกพิเศษมาด้วย เอาเมนูอาหารไปให้แขกของฉันสั่งด้วย”
ผู้จัดการภัตตาคารไม่รอช้า รีบส่งเมนูในมือให้กับซูอานทันที ซูอานไม่รอช้า เขาสั่งอาหารในเมนูมายี่สิบกว่าอย่าง แต่นั่นไม่มีปัญหาอะไรกับเหล่าฮั๋วเลยแม้แต่น้อย
แต่เด็กสาวที่มาด้วยกลับมีสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างมาก ในสายตาของเธอ ซูอานไม่ต่างจากพวกบ้านนอกเข้ากรุงเลยแม้แต่น้อย..
ไม่นานนัก พนักงานเสริฟสาวสวยก็นำอาหารที่ซูอานสั่งขึ้นมาเสริฟที่โต๊ะ แต่ดูเหมือนซูอานจะไม่สนใจสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่จานอาหารทั้งหมดเท่านั้น
เหล่าฮั๋วเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้ม และคิดว่าซูอานคงจะหิวมากจริงๆ
“นี่พ่อหนุ่ม เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมพร้อมไว้เลยก็ได้นะ!”
โดยมารยาทแล้ว ควรต้องให้เสริฟอาหารขึ้นโต๊จนครบเสียก่อน จึงจะสามารถหยิบตะเกียบขึ้นมาถือไว้ในมือ แต่เหล่าฮั๋วเห็นท่าทางที่หิวโซเช่นนั้นของซูอาน จึงได้แต่ร้องบอกไปเช่นนั้น
ซูอานได้ยินเช่นนั้นแทนที่จะยกมือขึ้นจับตะเกียบเตรียมพร้อม เขากลับเอื้อมมืออกไปคว้าซาลาเปาขึ้นมาลูกหนึ่ง เป็ดย่าง และอีกมากมายเข้าปากทันที เพราะเกรงว่าหากใช้ตะเกียบจะไม่ทันใจ
เมื่อเห็นซูอานใช้มือหยิบอาหารตรงหน้ากินอย่างหิวโหยเช่นนั้น เขาจึงวางตะเกียบในมือลงทันที แล้วหันมายกถ้วยช้าขึ้นดื่มพร้อมกับจ้องมองซูอานไปด้วย
เวลานี้เด็กสาวคนเดิมก็เริ่มไม่พอใจซูอานมากยิ่งขึ้น และยิ่งมั่นใจว่าซูอานต้องเป็นพวกบ้านนอกมาจากต่างจังหวัดอย่างแน่นอน!
ซูอานกินอาหารจำนวนมากบนโต๊ะหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว เวลานี้อาหารบนโต๊ะเหลือแต่จานเปล่า น้ำซุปยังแทบไม่เหลือ ในที่สุดเขาก็เลอออกมาด้วยความอิ่ม
เมื่อเห็นว่าซูอานกินจนอิ่มแปล้แล้ว เหล่าฮั๋วจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่เธอฝึกวรยุทธศิลปะการต่อสู้ด้วยใช่มั๊ย?”
ซูอานนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของเหล่าฮั๋ว ก่อนจะถามกลับไปว่า “อะไรคือศิลปะการต่อสู้?”
เมื่อได้ยินคำตอบของซูอาน เหล่าฮั๋วถึงกับงุนงงสงสัย และเริ่มรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติของซูอานในตอนนี้ เพราะเหตุใดซูอานจึงบอกว่าไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้?
*****
[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
จักรพรรดิเทพมังกร
(Dragon Emperor - Martial God)
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..
******