ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 5 : คัมภีร์เก้าสวรรค์
บทที่ 5 : คัมภีร์เก้าสวรรค์
ซูอานเดินตามกู่ซ่งไปถึงหน้าผาที่มีความสูงกว่าพันเมตร หากคนเป็นโรคกลัวความสูงขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ คงต้องกลัวจนตัวสั่นแน่
แต่ซูอานกลับยืนอยู่บนหน้าผาได้อย่างสงบนิ่ง หน้าผาสูงนี้ไม่ต่างจากพื้นดินราบเรียบเลยสำหรับเขา
กู่ซ่งเองก็เองก็ขึ้นมายืนอยู่บนหน้าผาแห่งนี้เช่นกัน และเวลานี้เขาเองก็ยืนอยู่ห่างจากซูอานไปราวสามถึงสี่เมตร ระยะทางของหน้าผาที่สูงเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คนธรรมดาทั่วไปจะปีนขึ้นมาได้
เวลานี้ซูอานเดินไปยืนอยู่บนขอบหน้าผา แล้วจัดการเตะก้อนหินลงไปที่พื้นด้านล่าง เขารออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงคล้ายของแข็งกระทบกับพื้นเสียที
เห็นได้ชัดว่า หากผู้ใดตกลงไปจากหน้าผาแห่งนี้ คงต้องตายสถานเดียว!
แต่เวลานี้ซูอานกลับไปยืนอยู่ที่ขอบหน้าผาได้อย่างสงบนิ่ง และกำลังมองไปทางกู่ซ่งด้วยแววตาหนักแน่นมั่นคง จากนั้นจึงย่อตัวลงเล็กน้อย แล้วกระโดดตรงเข้าไปหากู่ซ่งทันที
ระยะทางราวสามถึงสี่เมตรนี้ ซูอานกระโดดโหนกิ่งต้นสนอายุยาวนานไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ได้อย่างง่ายดาย
กู่ซ่งได้แต่มองซูอานพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายโจวเทียนห่าวจนมีสภาพปางตายขนาดนี้ ก็คงต้องเตรียมตัวลงหลุมฝังศพไปได้เลย
ซูอานปีนขึ้นไปไม่เท่าไหร่ก็ขึ้นไปอยู่บนยอดเกือบสูงสุดของต้นสนแล้ว เขายืนเหยียบกิ่งสนพร้อมกับจ้องมองไปรอบๆตัว เวลานี้ก้อนเมฆดูคล้ายกับอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของขา
การได้มายืนอยู่บนยอดสนที่สูงเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกราวกับได้เหยียบก้อนเมฆแล้วเหาะเหินไปกลางท้องนภา หรือไม่ก็กำลังเหาะไปมากลางอากาศด้วยกระบี่!
“วันใดที่ข้าสามารถก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้อีกครั้ง ข้าจะนับเจ้าเป็นสายเลือดบรรพชน!”
ดวงตาของซูอานเผยให้เห็นความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายใน หากผู้ใดได้พบเห็นเข้าคงต้องรู้สึกราวกับต้องมนต์
ซูอานสงบจิตใจ แล้วนั่งลงขัดสมาธิอยู่บนกิ่งสนขนาดใหญ่ จากนั้นจึงค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ แล้วเริ่มทำสมาธิเปิดจุดตันเถียนของตน เข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลังอีกครา
เวลานี้ในหัวของเขามีหลากหลายความทรงจำอัดแน่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเวทย์มนต์คาถา วิถีเซียน หรือแม้แต่หนทางสู่ความยิ่งใหญ่ เพียงแต่เวลานี้สิ่งเหล่านี้ยังไร้ประโยชน์กับเขา!
ซูอานพยายามเฟ้นหาความทรงจำในเรื่องเกี่ยวกับฝึกฝนที่เหมาะกับตนในเวลานี้ แต่เมื่อนึกถึงคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ‘คัมภีร์เก้าสวรรค์’
“ใช่แล้ว.. ผู้ฝึกคัมภีร์เก้าสวรรค์ย่อมสามารถดูดพลังจากสวรรค์และผืนพิภพได้..”
ซูอานถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความดีอกดีใจ เขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขเช่นนี้มาก่อนเลย จากนั้นจึงหลับตาลงอย่างช้าๆอีกครั้ง และเริ่มทำการเปิดจุดตันเถียนของตน
เต๋าก็คือเต๋า นามก็คือนาม ผู้คนเดินตามเต๋า มีสิ่งหนึ่งบังเกิดจากกลีภพ มีอยู่ก่อนฟ้าดิน ดูสงบและว่างเปล่า ดำรงอยู่เอง ไม่เปลี่ยนแปลง แพร่ไปทั่วโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย นับว่าเป็นมารดาของสรรพสิ่งก็ว่าได้ ข้าพเจ้าไม่รู้ชื่อ แต่ขอเรียกว่า “เต๋า” เมื่อต้องขานชื่อ ก็ขอเรียกว่า “สิ่งที่ยิ่งใหญ่”
คนทำตามกฎแห่งดิน ดินทำตามกฎแห่งฟ้า ฟ้าทำตามกฎแห่งเต๋า เต๋าคงอยู่และเป็นไปด้วยตนเอง
เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม สามให้สรรพสิ่ง
หนึ่งแยกเป็นสามและสามรวมเป็นหนึ่ง แม้จะมีสามแต่ก็มิอาจแยกจากกัน
เวลานี้ภายในห้วงความทรงจำของซูอานมีตัวอักษรพร่างพรูออกมามากมายเต็มไปหมด แต่เขากลับสามารถเข้าใจตัวอักษรเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เขาสามารถเข้าถึงความหมายของเต๋าได้อย่างลึกซึ้ง
เวลานี้ภายจิตใจของเขาราวกับน้ำที่สงบนิ่ง ไร้คลื่น ร่างกายเบาดุจขนนกบางเบา สมองว่างเปล่าไร้ซึ่งความคิด และบริเวณท้องน้อยก็เริ่มร้อนขึ้น
ซูอานสงบนิ่งอย่างที่สุด การเปิดจุดตันเถียนนับเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต เสมือนการเอาชีวิตของตนเป็นเดิมพัน หากพลาดพลั้งล้มเหลวย่อมเท่ากับทำลายชีวิตตัวเองโดยแท้
สิ่งนี้แตกต่างจากนักรบในผืนพิภพ พวกเขาจะไม่ทำการเปิดจุดตันเถียนของตน การดูดซับพลังชีวิตจึงเป็นไปอย่างจำกัด เพราะจะสามารถเก็บพลังชีวิตนี้ไว้ตามแขนและขาเท่านั้น
แต่การเปิดจุดตันเถียนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซูอาน สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้ในตอนนี้ก็คือความรวดเร็วในการดูดซับพลังชีวิตนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก ช้ายิ่งกว่าเต่าเลยก็ว่าได้!
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน แสงสีทองก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าส่องสว่างเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดารา ก่อนจะหายวับไปในทันที และในที่สุดซูอานก็สามารถเปิดจุดตันเถียนของตนได้สำเร็จ
“ฮู่วว!!!”
ซูอานร้องตะโกนดังก้องท้องนภา เขารู้สึกราวกับเกิดใหม่ สายตาของเขาคมชัดราวกับเทพในดินแดนเก้าสวรรค์
“ในที่สุดข้าก็เปิดจุดตันเถียนได้สำเร็จ และข้าจะกลับไปยังจุดสูงสุดที่จากมาอีกครั้งได้แน่!”
ซูอานยังคงนั่งฝึกฝน และดูดซับเอาพลังชีวิตที่อยู่ภายในเขาโว่หลงซานเข้าไปในจุดตันเถียนของตน
ขั้นตอนนี้นับเป็นขั้นตอนที่น่าเบื่อยิ่งนัก เพราะต้องอาศัยสมาธิชั้นสูงที่สามารถรวมกายใจเป็นหนึ่งเดียว อีกทั้งยังเป็นขั้นตอนที่อันตรายมากด้วย
การดูดซับพลังชีวิตรอบกายนั้นไม่อาจทำด้วยความรีบร้อน และต้องไม่ถูกผู้ใดรบกวน เวลานี้เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่จักรพรรดิเสียนอู่ผู้สามารถเด็ดดวงดารา คว้าสุริยะและจันทราได้เช่นเดิม เวลานี้เขาเสมือนมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น
เวลานี้พลังชีวิตภายนอกถูกดูดซับเข้าไปกลายเป็นพลังที่กักเก็บอยู่ภายในจุดตันเถียนของเขา จากทะเลสาบที่เคยแห้งผาก ตอนนี้กลับเปี่ยมไปด้วยผืนน้ำ
เรื่องนี้ใช่ว่าจะสามารถทำสำเร็จได้ภายในวันเดียว การฝึกฝนไม่ต่างจากน้ำที่หยดลงหิน จำเป็นต้องฝึกฝนทุกวันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกท้อหรือต้องการล้มเลิกเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าถึงแม้จะช้าแต่ก็ดีกว่าการไม่ลงมือทำอะไร และการล่าช้านี้ก็เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวสำหรับเขาเท่านั้น
“ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ เพียงแค่ต้องการเริ่มต้นสร้างรากฐานลมปราณยังต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้”
หลังจากที่ดูดซับเอาพลังชีวิตระหว่างสวรรค์กับผืนดินเข้าไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ซูอานก็สัมผัสได้ว่าพลังรอบๆตัวเขาได้เริ่มจางคลายลงไปมาก และแทบจะไม่มีเหลืออีกแล้ว เขาจึงจำต้องหยุดการฝึกฝนไว้เพียงเท่านั้น
แต่ในเวลานั้นเอง กู่ซ่งก็กำลังยืนตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ร้องตะโกนออกไปว่า “หลานชาย.. เธอดูดซับพลังชีวิตเข้าไปหมดแบบนี้ แล้วฉันจะทำอย่างไร?”
ซูอานจ้องมองกู่ซานด้วยแววตาขอโทษ พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า “เฮ้อ.. คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาทะเลาะกับท่านเพราะแก่งแย่งพลังชีวิต”
ซูอานทำท่าทางส่ายศรีษะเล็กน้อย แล้วจึงพูดต่อว่า “แต่เอาเถิด.. ธรรมชาติมักจะคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มองดูข้าดูดซับพลังชีวิตไปก็แล้วกัน..”
กู่ซ่งได้ฟังคำพูดของซูอานก็ถึงกับร่างกายสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจอย่างที่สุด
ซูอานเห็นเช่นนั้นจึงรีบพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง “เจ้าอย่าได้ขุ่นเคืองไป เมื่อใดที่ข้าบ่มเพาะพลังได้สำเร็จ ข้าจะตอบแทนเจ้ากลับคืนเป็นร้อยเท่า!”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของซูอาน กู่ซ่งก็ถึงกับหายโกรธทันที เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงได้เชื่อคำพูดของซูอานนัก!
อีกอย่าง.. มาถึงขั้นนี้แล้วกู่ซ่งก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ต่อให้เขาไม่เชื่อคำพูดของซูอาน เขาก็คงไม่สามารถบีบบังคับให้ซูอานคายพลังชีวิตที่ดูดซับเข้าไปออกมาได้ เขาจึงต้องเชื่อเช่นนั้น!
สนโบราณต้นนี้ดูดซับเอาพลังสุริยะและพลังจันทราเข้าไปนานนับพันปี หากปล่อยให้มันดูดซับเอาพลังเข้าไปอีกนับพันปี ไม่แน่ว่ามันอาจงอกเท้าออกมา และไม่ต้องถูกแขวนอยู่บนหน้าผาเช่นนี้ก็เป็นได้
หลังจากที่ปลอบใจกู่ซ่งแล้ว ซูอานก็เริ่มทำการสำรวจจุดตันเถียนของตน เมื่อพบว่าเวลานี้จุดตันเถียนมีพลังชีวิตอยู่ เขาจึงรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
การสร้างรากฐานปราณเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของการบ่มเพาะพลัง หลังจากนั้นก็จะมีเส้นทางอีกนับพันเส้นทาง แต่ทุกเส้นทางล้วนมุ่งไปสู่การบ่มเพาะเพื่อความเป็นเซียน!
แต่ละวิธีก็จะเหมาะกับแต่ละคน และความแตกต่างในการบ่มเพาะ ก็จะนำมาสู่ความแตกต่างของดวงจิต
แต่เส้นทางการบ่มเพาะสู่ความเป็นเซียนของซูอานตลอดแปดชั่วคนนั้น ล้วนใช้เส้นทางเดิมทั้งสิ้น ซึ่งก็คือเริ่มต้นด้วยการสร้างรากฐานปราณ เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน เซียนเทียน เชวียนหมิง จนในที่สุดก็เข้าสู่ขั้นข้ามพ้นภัยพิบัติ เมื่อสำเร็จทุกขั้นแล้วเขาก็จะกลายเป็นเซียน!
มีเส้นทางนับพันๆเส้นทางสำหรับฝึกฝนเพื่อเข้าสู่ความเป็นเซียน แต่ไม่มีเส้นทางใดเลยที่จะหลีกพ้นขั้นตอนสุดท้าย และเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดไปได้!
การข้ามพ้นภัยพิบัติคือการที่ต้องสู้กับสวรรค์ หากสามารถเอาชนะได้ก็จะได้เป็นเซียน แต่หากพ่ายแพ้ ก็คือจบชีวิต!
*****
[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
จักรพรรดิเทพมังกร
(Dragon Emperor - Martial God)
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..
******