ตอนที่ 129 คุณลูกค้าแน่ใจหรอครับ
หลังจากบงกตพาเหนือภพไปสำรวจและทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ในแผนกที่เกี่ยวข้องเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะเวลาก็ล่วงเลยมาจนดึกดื่นแล้ว
เหนือภพเก็บชุดเจ้าหน้าที่ เงินรางวัล และเอกสารสัญญาจ้างไว้แนบอก จากนั้นก็เดินไปตามถนนหนทางยามดึกด้วยอาการสับสน เขารู้สึกว่าเขาอาจจะเลือกผิด หรือเขาจะรับงานมากเกินไป แต่เมื่อเขายกตราสัญลักษณ์ฮันเตอร์ของตัวเองขึ้นมาดูก็เห็นว่ามันมีตัวอักษร E ประทับอยู่บนรูปเหรียญแทนที่ตัว F เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานได้พาเขาเข้าไปทำการเลื่อนระดับที่แผนกทดสอบวัดระดับก่อนปล่อยเขากลับบ้าน
‘ช่างเถอะ อย่างน้อยเจ้าพวกที่สำนักงานนั่นก็เชื่อถือได้’
รู้ตัวอีกทีเหนือภพก็เดินมาถึงถนนที่เจริญที่สุดในเมืองหลวง แหล่งสถานเริงรมย์มากมายล้วนอัดแน่นกันอยู่ที่นี่ มีทั้งตลาด ร้านค้า และโรงประมูล เหนือภพเดินไปเรื่อย ๆ จนเข้ามาในถนนเส้นเดิม ถนนสายเก่าสายเดิม และร้านอาหารร้านข้าวต้มร้านที่เขาเคยกินกับหญิงสาวคนหนึ่ง ที่นี่ยังคงเป็นเส้นทางที่ร้างผู้คนสัญจรไม่เปลี่ยน สองแม่ลูกเจ้าของร้านก็ยังคงช่วยกันทำมาหากินเช่นเดิม
“ท่านน้า ขอข้าวต้มสองที่”
เหนือภพสั่งเสร็จก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวประจำ พลางหันหน้าไปทางหน้าร้านอย่างคาดหวัง
“พ่อหนุ่ม หายไปไหนมาตั้งนาน ข้าไม่ได้ลูกค้าอย่างเจ้านี่รายได้ลดไปตั้งเยอะ”
เถ้าแก่เนี๊ยะไถ่ถามอย่างสนิทสนม ขณะนำข้าวต้มรสเด็ดมาส่งให้ถึงโต๊ะ
“ข้ามีธุระนอกเมือง เพิ่งจะกลับมาวันนี้เองครับ”
เหนือภพยิ้มตอบด้วยความสุภาพ
“เจ้าคงรอนางสินะ”
เถ้าแก่เนี๊ยะถาม เมื่อเหนือภพมีสีหน้าเคอะเขิน เธอก็พูดต่อในทันที
“รู้ไหมตั้งแต่เจ้าหายไป นางฟ้าคนนั้นก็มาที่นี่บ่อย ๆ และก็สั่งข้าวต้มสองชามเสมอทั้งที่นางกินแค่เพียงชามเดียว ไม่รู้ว่านางคิดถึงเจ้า หรือคิดถึงผู้อื่น”
เถ้าแก่เนี๊ยะร้านข้าวต้มพูดจบก็หัวเราะกับตัวเอง พลางหวนย้อนคิดถึงอดีตในวัยสาวของตนเอง
“จะเป็นข้าได้อย่างไรเล่าท่านน้า ข้าก็แค่ฮันเตอร์จน ๆ ไม่มีอะไรคู่ควรกับนาง”
เหนือภพยิ้มพลางตักข้าวต้มเข้าปาก แม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เมื่อต้องคิดว่าพราวจันทร์คิดถึงผู้อื่น แต่เขาก็ทำได้แค่เก็บอารมณ์เอาไว้ในใจ ด้วยฐานะหน้าที่การงานของเธอ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบเจอผู้ชายมากหน้าหลายตา อีกทั้งผู้ชายเหล่านั้นยังมีฐานะ มียศ มีตำแหน่งมากยิ่งกว่าเขา ดังนั้นต่อให้เขารู้สึกไม่ชอบอย่างไร ก็ต้องเก็บไว้ในใจ
เหนือภพคิดได้เช่นนั้น เขาก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มของตัวเองจนหมดชาม พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเขาก็เห็นหญิงสาวที่สวยราวกับนางฟ้าในชุดสีแดงสด เดินตรงเข้ามาหาเขา
“ไม่จริงน่า”
เหนือภพพึมพำ แล้วก็อดส่งยิ้มให้พราวจันทร์ไม่ได้ ส่วนพราวจันทร์เมื่อเห็นว่าเหนือภพยินดีที่ได้เห็นเธอ เธอก็ยิ้มตอบ ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหน เหนือภพยังคงเป็นชายที่ทำให้เธอยิ้มได้เสมอ แม้เขาจะมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม
“เจ้าจะยิ้มแบบนั้นไปอีกนานแค่ไหน มาเถอะวันนี้ข้าเลี้ยงเจ้าเอง”
เหนือภพพูดขณะกวักมือเรียกพราวจันทร์มายังโต๊ะที่จัดเตรียมเอาไว้ และข้าวต้มอีกชามก็ถูกจัดวางเอาไว้เพื่อเธอเรียบร้อยแล้ว
“ก็ตามใจท่าน”
พราวจันทร์ตอบด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเธอ เหนือภพไม่ถามว่าทำไมเธอถึงมาที่นี่อีกครั้ง ส่วนพราวจันทร์ก็ไม่ถามว่าเหนือภพหายไปไหนมา ด้วยฐานะเบื้องหลังของเธอทำให้เธอสามารถเข้าถึงข่าวได้เกือบทุกอย่าง แต่เธอก็ไม่อยากทำตัวสอดรู้สอดเห็น เมื่ออยู่ต่อหน้าเหนือภพเธออยากจะเป็นเพียงผู้ฟังและที่ปรึกษาให้เขา แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นเหนือภพตื่นขึ้นมาในห้องพักของเขาที่ร้านขายน้ำผึ้งอย่างเบิกบานใจ หากเขายังช่วยพี่พลทำงานที่ร้านบ้าง เขาก็จะได้พักอาศัยที่นี่ฟรี แค่คิดว่าเขาจะสามารถเก็บเงินเบี้ยเลี้ยงเอาไว้ได้ทั้งหมด เขาก็รู้สึกสดชื่นมากแล้ว
“ภพ มีลูกค้ามา”
พลตะโกนเรียกเหนือภพใน ขณะที่ทั้งสองมือของพลกำลังยกลังน้ำผึ้งไปไว้ในห้องเก็บของหลังร้าน
“ครับ”
เหนือภพในชุดเกราะที่ดูเหมือนจะพร้อมต่อสู้อยู่ตลอดเวลา เดินไปรับลูกค้าชายหญิงสองที่ยังยืนละล้าละลังอยู่บริเวณหน้าร้าน แต่เมื่อเหนือภพเดินเข้าไปใกล้พวกเขา เหนือภพก็สังเกตเห็นใบหน้าภายใต้ชุดคลุมแบบชาวบ้าน พวกเขาคือองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรและเวนไตย
แม้ในใจเหนือภพจะสงสัยว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงลงทุนมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง แต่จากประสบการณ์เหนือภพจึงไม่เปิดโปงฐานะของเธอ ในเมื่อบุษย์น้ำเพชรตั้งใจละเล่นละครฉากนี้ เขาก็จะจัดให้
“สวัสดีครับคุณลูกค้า จะรับน้ำผึ้งแบบไหนดีครับ”
เหนือภพพูดเสียงดังฟังชัดชนิดที่ว่าต่อให้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนก็ยังได้ยินชัดเจน
“ข้าไม่รู้ว่าน้ำผึ้งแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร รบกวนท่านช่วยแนะนำ”
บุษย์น้ำเพชรพูดดัดสำเนียงเล็กน้อย เสียงที่เปล่งออกมาจึงฟังดูเหมือนสำเนียงของหญิงสาวที่มาจากหมู่บ้านชนบท
“งั้นเชิญทางนี้เลยครับคุณลูกค้า นี่คือน้ำผึ้งจากดอกกล้วยไม้ป่าที่ผ่านกระบวนการไล่ความชื้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนนี่คือน้ำผึ้งจากดอกกาแฟผสมกับดอกทานตะวัน ส่วนอันนี้ก็เป็นน้ำผึ้งจากสวนผลไม้ แต่ละอย่างก็จะมีกลิ่นเฉพาะตัวครับ คุณลูกค้าลองดมดูก่อนได้ครับ”
จากนั้นเหนือภพก็แสร้งสาละวนหยิบขวดน้ำผึ้งหลายขวดสลับเอาไปให้บุษย์น้ำเพชรดม และในระหว่างที่พวกเขายืนใกล้ชิดกันมากนั้นบุษย์น้ำเพชรก็กระซิบบอกเหนือภพอย่างแผ่วเบา
“ข้ามีข่าวมาบอกเจ้า”
จากนั้นเธอก็หยิบขวดน้ำผึ้งกล้วยไม้ป่าขึ้นมาดูใกล้ ๆ จนตาแทบจะแนบกับขวด
“ข้าว่ามีตะกอนบางอย่างอยู่ในนี้นะ”
“ไหนครับ ขอผมดูหน่อย ขวดนี้เป็นน้ำผึ้งระดับยอดเยี่ยมเลยนะครับ ทางเราสั่งเข้ามาขายไม่มาก มันจึงไม่น่าจะมีปัญหา”
เหนือภพเอียงหน้าเข้าไปใกล้น้ำผึ้งขวดนั้น ภาพที่คนทั่วไปเห็นคือคนขายและลูกค้ากำลังช่วยกันเพ่งมองน้ำผึ้งขวดนั้น
เวนไตยเห็นว่าเหนือภพอยู่ใกล้องค์หญิงมากเกินไป แม้ในใจของเขาจะไม่ชอบใจอย่างมาก แต่เขาก็ได้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้ และหันหน้ามองไปยังขวดน้ำผึ้งขวดอื่น ๆ ที่เรียงรายกันอยู่ในร้าน
“มีอะไรจะบอกข้าหรอองค์หญิง เกี่ยวกับศิษย์พี่ของข้าหรือเปล่า”
เหนือภพรีบกระซิบกระซาบกับบุษย์น้ำเพชร แต่เธอไม่ตอบอะไรมากไปกว่านี้ เธอระมัดระวังตัวมาก ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นที่จับตามองของใครบางคน
“ข้าว่ามันคงไม่ใช่ตะกอนหรอก ข้าชอบน้ำผึ้งกลิ่นนี้ ช่วยส่งไปที่ร้านขนมหวานสีฟ้าที่อยู่ตรงจัตุรัสเบิกฟ้าหน่อยนะคะ”
พูดจบบุษย์น้ำเพชรก็ยื่นขวดน้ำผึ้งตัวอย่างคืนให้เหนือภพ โดยแนบกระดาษสีขาวที่พับเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ยัดใส่อุ้งมือเหนือภพในขณะเอื้อมมือมารับขวด ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและไร้พิรุจ
“ได้ครับ ขวดละ 6,200 เหรียญเงิน จะเอากี่ขวดดีครับ”
“ที่ร้านมีเท่าไหร่ ก็เอามาหมดเลยค่ะ”
“คุณลูกค้าแน่ใจหรอครับ”
“ค่ะ”
บุษย์น้ำเพชรพูดจบก็หันหลังกลับด้วยความรีบร้อน เธอไม่ต้องการอยู่ที่นี่นานเกินไป เพราะอาจจะมีพวกสายลับตามมาถึงตัว
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวทางร้านจะเอาน้ำผึ้ง 10,000 ขวดไปส่งนะครับ ราคาทั้งหมด 6,200 เหรียญทอง จ่ายเงินมัดจำครึ่งหนึ่งก่อนส่งนะครับ อีกครึ่งหนึ่งเก็บปลายทาง”
เหนือภพตะโกนไล่หลังไปอย่างร่าเริงที่ได้บังคับลูกค้าซื้อน้ำผึ้งจำนวนมากได้ บุษย์น้ำเพชรที่เดินออกไปถึงกลางถนนแล้วหันมามองเหนือภพอย่างตกใจ แต่สุดท้ายเธอก็จำเป็นต้องเล่นละครตามน้ำไปเช่นนั้น หากร้านพลน้ำผึ้งเว้ยเฮ้ย ! เอาน้ำผึ้งไปส่งจริง เธอก็จำเป็นต้องให้เวนไตยจ่ายเงินจำนวนนั้นไป
เหนือภพจัดการเขียนรายการสั่งซื้อทิ้งไว้ให้พล แล้วเขาก็รีบขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวเพื่ออ่านจดหมายขององค์หญิง
----------------------------------------------
พวกเขาถูกใครบางคนฝากองค์จ้าวแคว้นให้ควบคุมตัวไว้ในวัง ส่วนใครที่จับพวกเขามานั้น ข้ายังสืบไม่พบ และยังไม่พบที่คุมขังของพวกเขา แต่อีกไม่นานข้าอาจจะให้คำตอบแก่เจ้าได้
----------------------------------------------
เหนือภพรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ปกติสุด ๆ ศิษย์พี่ยอดฝีมือทั้งสองของเขาถูกคนบางคนหรือคนบางกลุ่มจับไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนพี่สะใภ้ทั้งสองของเขาก็หายสาบสูญ ติดต่อไม่ได้ แล้วจู่ ๆ เขาก็ได้ข่าวว่าพวกเขาอยู่ในวังหลวง แม้องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรจะลอบมาส่งข่าวสำคัญด้วยตัวเอง แต่เหนือภพก็ยังรู้สึกไม่ไว้วางใจ ดังนั้นเหนือภพจึงคิดจะลอบเข้าไปยังตระกูลไตรลักษณ์เพื่อพบกับสมุทร และนั้นก็คงไม่ยากเกินกำลังของเขา
เหนือภพคว้าอาวุธที่ซ่อนเอาไว้ใต้เตียงเอามาติดแขวนไว้ตามตัว จากนั้นก็หยิบเอาสัมภาระที่เตรียมเอาไว้สำหรับทำภารกิจนำเอาออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะมองไปยังตู้เสื้อผ้า เขาแหวกเสื้อผ้าออกมองดูอีเตอร์ที่เขาใช้ผ้าพันแล้วซ่อนเอาไว้ด้านในสุดอย่างลังเล เขาควรจะเอามันไปด้วยไหมนะ แต่สุดท้ายเหนือภพก็คิดว่าไม่เอาไปดีกว่า
“เหนือภพ จะกลับเข้ามาอีกทีตอนไหน จะให้เตรียมกับข้าวไว้ไหม”
พี่พลตะโกนตามหลังเหนือภพมาติด ๆ เมื่อเห็นเหนือภพกำลังเตรียมสัมภาระออกจากร้านเหมือนอย่างเคย
“ไม่ วันนี้ข้าน่าจะกลับดึก”
“อ้อ”
พี่พลตอบรับคำเพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่ถามไถ่อะไรอีก เขาเคยชินกับการไป ๆ ไปมา ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเหนือภพแล้ว
เหนือภพใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องทำงานของสมุทรในอาณาเขตของตระกูลไตรลักษณ์
“อะไรชักนำให้เจ้ามาหาข้า ฮึ เหนือภพ”
สมุทรมองเหนือภพที่มาปรากฏตัวบนหน้าต่างห้องทำงานของเขาอย่างดีใจ แม้ปากจะพูดไปเช่นนั้น แต่ลึก ๆ แล้วเขาดีใจที่ได้พบเจอสหายบ้าง
“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยนิดหน่อย ข้าได้ข่าวว่าตระกูลไตรลักษณ์เคยรับข้าราชการด้วย ถูกไหม”
“ใช่”
สมุทรพยักหน้า เขาละจากเอกสารบนโต๊ะแล้วเขวี้ยงแตงโมเนื้อหิมะไปทางเหนือภพ เหนือภพรับผลไม้แปลกตามากัดกินทันที สีหน้าแห่งความเอร็ดอร่อยปรากฏบนใบหน้าเหนือภพเพียงชั่วครู่ แล้วก็เปลี่ยนกลับมาจริงจังอีกครั้ง
“งั้นเจ้าพอจะมีสายอยู่ในวังบ้างหรือเปล่า”
“แน่นอน แล้วเจ้าจะให้ข้าช่วยอะไรล่ะ สืบข่าวงั้นเหรอ”
“ใช่ ข้าอยากให้เจ้ายืนยันข่าวนี้ให้ข้าที ไม่จำกัดเวลา แต่ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี”
เหนือภพพูดจบก็ยื่นกระดาษจดหมายที่เขาได้รับมาจากองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรให้สมุทร สมุทรประเมินเนื้อความในจดหมายในเสี้ยววินาที
“ได้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรภายใน 3 วันน่าจะได้เรื่อง แล้วจะส่งจดหมายไปบอก ข้าจะลงท้ายจดหมายในชื่อทะเลสีคราม หากไม่ใช่ชื่อนี้ก็ขอให้เจ้าอย่าปักใจเชื่อ”
“ได้ ขอบใจมากสหาย”
“ไม่เป็นไร อ้อ เหนือภพ เดี๋ยว”
เหนือภพที่กำลังจะกลับไปในทางที่เขาเข้า หันมามองสมุทรอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ข้าจะถามเจ้าเรื่องการสอบเลื่อนระดับฮันเตอร์ที่จะเปิดสอบในอีกเดือนครึ่ง เจ้าจะเข้าสอบด้วยหรือเปล่า เจ้ายังเป็นฮันเตอร์แรงค์ F อยู่ไม่ใช่หรอ”
เหนือภพอมยิ้มเล็กน้อย ขณะชูข้อมือข้างขวาให้สมุทรดูอย่างภาคภูมิใจ
“ใครว่า ข้าเป็นฮันเตอร์แรงค์ E แล้ว”
“เฮ้ย จริงหรอ งั้นเจ้าก็ไล่ตามทันข้าแล้วสิ แต่ก็ดีเราจะได้เข้าสอบแล้วเลื่อนเป็นแรงค์ D พร้อม ๆ กัน”
“เข้าสอบเป็นแรงค์ D หรอ”
เหนือภพหยุดคิดครู่หนึ่ง องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรก็บอกย้ำเขาในเรื่องนี้อยู่บ้าง และเธอก็เคยบอกว่าเธอเต็มใจจะออกค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการสอบให้เขา ดังนั้นเหนือภพจึงไม่คิดจะปฏิเสธ
“แน่นอนข้าต้องเข้าร่วมแน่ ข้าจะไปสอบขึ้นแรงค์ D กับเจ้า”
“ดี แล้วเจอกัน”
“แล้วเจอกัน”
เหนือภพยิ้มให้ก่อนจะกระโจนออกไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเขาก็เคลื่อนที่หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“เมื่อกี้เจ้าคุยกับใคร”
สายธารเปิดประตูห้องทำงานของสมุทรเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วห้องของน้องชายอย่างสงสัย
“ไม่มี พี่คิดไปเองหรือเปล่า”
“งั้นหรอ”
สายธารไม่เชื่อถือสมุทรเลยสักนิด แต่ไม่ว่าเธอจะหาตัวการในห้องหรือมองออกไปทางหน้าต่างก็ไม่เห็นวี่แววของบุคคลน่าสงสัย อีกอย่างคงไม่มีใครเคลื่อนที่ลงจากหอคอยสิบชั้นของตระกูลไตรลักษณ์ออกไปได้ในพริบตา นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะเป็นฮันเตอร์ที่มีแรงค์ C หรือมากกว่า แต่คนระดับนั้นในแคว้นอมตะมีอยู่น้อยมากจนแทบจะหาไม่ได้เลย
สายธารถอนหายใจ ก่อนจะวางสมุดหนังสือเตรียมข้อสอบปึกใหญ่ลงบนโต๊ะของสมุทร
“อย่าลืมอ่านข้อสอบพวกนั้นให้ละเอียด เจ้าต้องสอบเลื่อนเป็นฮันเตอร์แรงค์ D ให้ได้ เข้าใจไหม”
“คร้าบ ถ้าพวกผู้เฒ่ากับพี่ไม่ขังข้าเอาไว้ เกรงว่าป่านนี้ข้าคงจะสอบได้แรงค์ C แล้วมั้ง”
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า ข้าก็จะรอดู แต่ข้าอยากจะบอกเอาไว้อย่างหนึ่งว่า เจ้าคือผู้นำของตระกูลเรา เจ้าคงไม่อยากให้ผู้คนนินทากันหรอกนะว่าผู้นำตระกูลไตรลักษณ์สอบไม่ผ่านแรงค์ D”
“เชื่อมือข้าเถอะน่า”
สมุทรพูดพลางยืดอกแล้วเอามือไขว้หลังอย่างมาดมั่น