ตอนที่แล้วย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 2 : กระดูกหัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 4 : ข้าไม่กลัว

ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 3 : ออกจากบ้าน


บทที่ 3 : ออกจากบ้าน

ซูอานกลับไปยังสถานที่ที่เขาคุ้นเคย ที่ที่เขาใช้ซุกหัวมาเป็นเวลาสิบกว่าปี มันคือบ้านที่แทบจะเรียกว่าบ้านไม่ได้ เพราะมันคือที่ที่มีแต่ความเย็นชา คำดูถูก เสียงหัวเราะเย้ยหยัน และการข่มเหงรังแก

เสียงกริ่งประตูดังขึ้น และคนที่มาเปิดประตูก็คือแม่บ้านที่ทุกคนต่างก็เรียกว่ายายหลาน..

เมื่อเห็นยายหลานเดินมา ซูอานก็ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะหากจะหาใครบนโลกใบนี้ที่ดีกับเขาแล้ว ก็คงจะมีเพียงยายหลานผู้นี้เพียงคนเดียวเท่านั้น!

ทันทีที่เห็นว่าเป็นซูอาน หญิงชราก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เสี่ยวอาน เมื่อคืนทำไมถึงไม่กลับบ้านกลับช่องล่ะ? แล้วทำไมวันนี้โรงเรียนถึงได้เลิกเร็วนัก?”

“อืมม”

ปกติแล้วซูอานก็มีนิสัยพูดน้อยอยู่แล้ว และชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่คนเดียว น้อยครั้งที่จะออกไปข้างนอก นิสัยเช่นนี้อาจเกิดจากการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา

จู่ๆ เสียงแหลมของผู้หญิงก็ดังขึ้นมาจากในบ้าน “ใครมาล่ะ?”

ยายหลานรีบร้องตอบกลับไปทันที “เสี่ยวอานค่ะ!”

“เจ้าเด็กคนนี้ชักเอาใหญ่แล้ว เมื่อคืนก็ไม่กลับบ้านทั้งคืน แล้วนี่กลับมาทำไมกัน? ทำไมไม่นอนตายข้างถนนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย?”

น้ำเสียงเย็นชาไร้ความปราณีเช่นนี้ ซูอานได้ยินจนเป็นเรื่องปกติคุ้นเคย

“ทางโรงเรียนอาจจะให้เรียนพิเศษเพิ่มก็ได้..”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนมัน ฉันไม่เชื่อหรอก! แปดสิบเปอร์เซ็นต์คือมันไปมีเรื่องข้างนอกมากกว่า นี่คงจะไปมีเรื่องกับอันธพาลจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาล่ะสิ!”

“เสี่ยวอานไม่ใช่เด็กเกเร เขาจะไปมีเรื่องกับใครได้ยังไง..”

ยายหลานไม่เชื่อเพราะเธอเป็นคนเลี้ยงซูอานมากับมือ เธอจึงรู้จักนิสัยใจคอของซูอานดีที่สุด!

ซูอานถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปในบ้าน แล้วเขาก็ได้พบกับผู้หญิงที่ดูคล้ายกับคนอายุราวสามสิบปีคนหนึ่ง เธอกำลังนั่งไขว่ห้างดูละครเกาหลีอยู่

หญิงผู้นี้ก็คือป้าสะใภ้ของเขาเอง เธอชื่อว่าจางกุ้ยเหวิน จางกุ้ยเหวินเป็นคนใจร้าย แล้งน้ำใจ และอีกมากมายที่ยากจะสรรหาคำพูดมาพรรณนาถึงความร้ายกาจของผู้หญิงคนนี้ได้

ความจริงแล้วป้าสะใภ้ของเขาอายุสี่สิบแล้ว แต่อาศัยเงินเลี้ยงดูจากพ่อและแม่ของเขา ทำให้มีเงินไปทำศัลยกรรม ร้อยไหม ฉีดโบท๊อกซ์ จึงทำให้ยังดูสาวสดใสกว่าวัย

“เนื้อตัวสกปรกมอมแมมแบบนี้ ทำไมแกไม่นอนข้างถนนไปเลย กลับมาทำไมกัน?” ป้าของเขาพูดพร้อมกับชายหางตามองซูอานด้วยความรังเกียจ

ซูอานคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาบ้าน ป้าของเขาก็มักจะพูดจากับเขาไม่ดีเช่นนี้เสมอ ซูอานจึงเดินตรงขึ้นที่ห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นสองทันที

หากไม่ใช่เพราะมือของเขาได้รับบาดเจ็บเวลานี้ เขาคงจะตรงเข้าไปตบหน้าผู้หญิงปากร้ายคนนี้สักสองสามฉาดเป็นแน่!

เสียงแหลมแสบแก้วหูนั้นยังคงดังอยู่นอกห้อง “หึ! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ ก็เลยไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาสินะ!”

ซูอานคร้านที่จะใส่ใจ เวลานี้เขาเจ็บนิ้วมือมาก และคิดว่ากระดูกทะลุออกมาขนาดนี้ คงจะต้องไปหาหมอรักษาเสียก่อน

แต่เมื่อซูอานกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็ได้ยินสียงร้องตะโกนของใครบางคนดังอยู่นอกบ้าน

“แม่.. เปิดประตูเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! เป็นเรื่องไม่ดีด้วย!”

ยายหลานรีบวิ่งไปเปิดประตูอีกครั้ง และครั้งนี้คนที่มาก็คือซูเทียนหลุน..

ซูเทียนหลุนกับซูอานนั้นเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่เขาเรียนอยู่ชั้นที่ต่ำกว่าซูอานหนึ่งเกรด..

หากเทียบระหว่างซูอานกับซูเทียนหลุนแล้ว ซูเทียนหลุนดูดีและมีราศีกว่ามาก อีกทั้งยังเป็นความภาคภูมิใจและเป็นหน้าเป็นตาของซูปิงเซียนด้วย

จางกุ้ยเหวินมักจะเปรียบเทียบซูอานกับลูกชายของตนเสมอ แล้วก็มักจะพูดจาดูถูกและประชดประชันซูอานอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเห็นซูเทียนหลุนเดินเข้ามา จางกุ้ยเหวินก็รีบยิ้มให้ทันที พร้อมกับร้องถามด้วยความเป็นห่วง “หลุนหลุน วันนี้ที่โรงเรียนมีกิจกรรมเหรอลูก ทำไมถึงได้เลิกเรียนเร็วกว่าปกติ?”

“ไม่ใช่เลยแม่ ไม่ได้มีกิจกรรมอะไร แต่ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของผมกำลังจะทำให้พวกเราซวยกันทั้งบ้านแล้วน่ะสิ!”

“อะไรนะ?”

“ซูอาน ลงมาข้างล่างเดี๋ยวนี้ ฉันสั่งให้แกลงมาข้างล่างเดี๋ยวนี้!”

ซูอานค่อยๆเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ  แม้ยายหลานพยายามจะพูดให้ทุกคนอารมณ์เย็น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลอะไรเลย

“ซูอาน นี่นายกล้าชกโจวเทียนห่าวผู้อำนวยการโรงพยาบาลซะน่วมเลยเหรอ!”

ครั้งนี้ซูเทียนหลุนกลับไม่ได้แสดงน้ำเสียงและสายตาดูถูกเหมือนเช่นที่เคยทำกับซูอานมาตลอด มิหนำซ้ำภายในน้ำเสียงและสีหน้ากลับดูเหมือนชื่นชมเสียด้วยซ้ำไป

“ห๊ะ?! ไอ้เด็กเลว ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน นี่แกทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างมั๊ย? ฉันจะให้ลุงจัดการสั่งสอนแก!”

หลังจากแผดเสียงกร่นด่าซูอานที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปแล้ว จางกุ้ยเหวินถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นว่า  “เดี๋ยวก่อน.. แกทำร้ายใครนะ?!”

“โจวเทียนห่าว..”

“โจวเทียนห่าวที่เป็นลูกชายจ้าของไห่เทียนกรุ๊บน่ะเหรอ?”

จางเหวินกุ้ยถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที! ใครๆในตงเฉิงต่างก็รู้ดีว่าไห่เทียนกรุ๊ปนั้นเป็นของโจวไห่หวงเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองเจียงโจว

“แก.. แก.. แก..”

โจวกุ้ยเหวินโมโหจนพูดอะไรไม่ออก และจ้องมองซูอานราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ!

“แล้วนี้จะทำยังไงกันดี???”

ในระหว่างนั้นเอง ก็มีรถ Mercecdes-Benz-X5 คันหนึ่งขับเข้ามาจอดหน้าบ้านคนแซ่ซูพอดี

ชายลงพุงดูมีสง่าราศีคนหนึ่งก้าวเดินลงมาจากรถคันหรูอย่างรวดเร็ว เขาก็คือซูปิงเซียนสามีของจางกุ้ยเหวินนั่นเอง

ครั้งนี้ดูเหมือนซูปิงเซียนจะรีบร้อนมากกว่าปกติ ราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจ เขากดกริ่งหน้าบ้านระรัว

ยายหลานรีบวิ่งออกไปเปิดประตูทันที “คุณปิงเซียนกลับมาแล้วเหรอคะ?”

ซูปิงเซียนไม่มีเวลาที่จะตอบยายหลาน เขาเดินตรงเข้าไปในบ้านอย่างรีบร้อนทั้งที่ยังสวมรองเท้า

ทันทีที่เห็นคนสามคนอยู่ในบ้าน เขาก็เดินตรงเข้าไปหาซูอานพร้อมกับตะโกนถามเสียงดัง

“นี่แกไปทำร้ายร่างกายโจวเทียนห่าวใช่มั๊ย?”

จางกุ้ยเหวินรีบตะโกนตอบแทนทันที “ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าหลุนหลุนไม่มาบอก ฉันเองก็คงไม่รู้!”

ซูปิงเซียนจ้องหน้าซูอานด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

“แกรู้ใช่มั๊ยว่าโจวเทียนห่าวเป็นใคร?”

ซูอานจ้องมองซูปิงเซียนด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความเคารพและถ่อมเนื้อถ่อมเหมือนที่เคยเป็น เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความหวาดกลัว

“ข้ารู้”

“เขาเป็นลูกชายของโจวไห่หวงเจ้าของไห่เทียนกรุ๊ป แกรู้มั๊ยว่าครั้งนี้แกก่อเรื่องใหญ่โตแค่ไหน?”

“มันเกือบจะทำให้ข้าต้องตาย ข้าไม่ควรต้องให้บทเรียนกับมันงั้นรึ? ข้ายังนึกเสียดายที่ไม่ได้ฆ่ามันให้ตาย!”

น้ำเสียงและแววตาของซูอานเต็มไปด้วยความเย็นชา และเจือไปด้วยความโกรธ เขานึกเสียดายที่ไม่ได้โยนเจ้าคนชั่วช้านั่นลงหลุมตั้งแต่เมื่อคืนนี้

“แกรู้มั๊ยว่าตอนนี้เรื่องมันใหญ่โตแค่ใหน? โจวไห่หวงรู้เรื่องที่ลูกชายของเขาถูกทำร้ายปางตายอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เขาโกรธมากแล้วก็กำลังส่งคนออกตามหาตัวแกทั่วทั้งเมือง!”

“แล้วข้าต้องกลัวงั้นรึ?”

ซูอานตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เขาเองก็พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า โจวไห่หวงจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร? แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องหวาดกลัวแม้แต่น้อย

“แกไม่กลัว แต่พวกเรากลัว! ถ้าแกอยากจะลองดีกับพวกเขา ก็อย่าให้เดือดร้อนมาถึงพวกเราด้วย”

ตอนนี้น้ำเสียงของจางกุ้ยเหวินเปลี่ยนไปมาก เมื่อคิดได้ว่าโจวไห่หวงกำลังส่งคนมาไล่ล่าตัวซูอาน เธอก็เริ่มหวาดผวาขึ้นมาทันที

“ได้.. ถ้าแกไม่กลัว ก็ออกจากบ้านนี้ไปซะ!”

ซูปิงเซียนยกมือขึ้นชี้หน้าซูอาน มือของเขาสั่นระริก และใบหน้าก็บึ้งตึงไปด้วยความโมโห

ซูอานจ้องมองซูปิงเซียนด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมกับยกมือขึ้นผลักนิ้วของเขาที่กำลังชี้หน้าตนเองออกไป

“ข้าออกไปแน่ แล้วก็หยุดชี้หน้าข้า!”

ยายหลานอยากจะเดินตามออกไปพูดกับซูอาน แต่เมื่อเห็นสายตาของซูปิงเซียน เธอก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ระหว่างที่ซูอานกำลังจะเดินออกจากบ้านไปนั้น จางกุ้ยเหวินก็ร้องเรียกเขาไว้พร้อมกับร้องตะโกนบอกไปว่า

“นี่! เอาของของแกออกไปจากบ้านฉันด้วย อย่าเหลืออะไรไว้ให้เป็นเสนียดที่นี่ล่ะ!”

ซูอานไม่ได้คิดถึงเสื้อผ้า แต่เมื่อเห็นใบหน้าของจางกุ้ยเหวินเขาก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเดินกลับขึ้นไปชั้นสอง

“เดี๋ยวก่อน พ่อแม่ของแกส่งเงินก้อนสุดท้ายมาให้แล้ว ตอนนี้แกก็ใกล้จะอายุครบสิบแปดปีแล้ว นี่จะเป็นเงินค่าเลี้ยงดูก้อนสุดท้าย!”

ซูปิงเซียนจัดการเปิดกระเป๋าหนังวัวยี่ห้อง Fendi ออกมา แล้วหยิบเอาธนบัตรจำนวนห้าร้อยหยวนชี้หน้าซูอาน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทีห่างเหิน

“แกรับเงินนี่ไว้ แล้วก็รีบๆออกไปจากที่นี่ซะ!”

ซูอานรับเงินจำนวนนั้นมา แล้วฉีกออกเป็นชิ้นๆ เขากำลังอดกลั้นที่จะไม่ทำร้ายร่างกายซูปิงเซียนอยู่ ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยต้องถูกผู้ใดดูถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้

“ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง อย่าได้บังอาจชี้หน้าข้าเช่นนี้อีก!” ซูอานเอ่ยเตือนพร้อมกับจ้องมองซูปิงเซียนด้วยแววตาเย็นชา แต่แฝงไว้ด้วยความดุดันและขุ่นเคือง

นิ้วมือของซูปิงเซียนสั่นด้วยความหวาดกลัว เขานึกประหลาดใจที่คนขี้ขลาดอย่างซูอาน จู่ๆก็กลับกลายเป็นแข็งแรงและดุดันแบบนี้!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาดุดันขุ่นเคืองนั้น ทำให้เขาต้องลดนิ้วมือลงอย่างรวดเร็ว แล้วจึงตอบกลับไปว่า

“ได้! ฉันไม่ชี้หน้าแกแล้ว รีบๆออกไปจากบ้านของฉันได้แล้ว!”

น้ำเสียงของซูปิงเซียนอ่อนลงกว่าเมื่อครู่มาก เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงว่า สายตาของซูอานจะทำให้เขาต้องตกตะลึงได้มากขนาดนี้

ซูอานกำลังนึกถึงความจริงที่ว่า สามีภรรยาคู่นี้ต่างก็ดูแลเขามาตลอดเวลาสิบกว่าปี แม้ว่าพวกเขา แม้พวกเขาจะทำเพราะค่าเลี้ยงดูที่ได้รับก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาไม่ต้องไปอาศัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

หลังจากขึ้นไปเก็บของจำเป็นใส่กระเป๋าอีกไม่กี่อย่าง ซูอานก็เดินออกจากบ้านไปทันที!

*****

[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]

จักรพรรดิเทพมังกร

(Dragon Emperor - Martial God)

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด

จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

******

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด