บทที่ 33 - 34
บทที่ 33 หมายเลขพิเศษ
“จี้เฟิง! นายเป็นอะไรหรือเปล่า?!” คนแรกที่วิ่งมาหาจี้เฟิง พร้อมกับเสียงไซเรนกลับไม่ใช่ตำรวจแต่เป็น ถงเล่ย
“ไม่ต้องห่วง โจรสองคนนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ว่าแต่รถตำรวจมาได้ยังไง?” จี้เฟิงถามด้วยความสงสัย “ขับรถจากสถานีตำรวจมาที่นี่ยังไงก็น่าจะเกินสิบนาที แล้วกว่าเธอจะวิ่งไปถึงอีกล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาถึงที่นี่ได้เร็วขนาดนี้!”
ถงเล่ยลังเลอยู่ครู่นึงแล้วพูดว่า “ฉันโทรไปที่เบอร์พิเศษของสถานีตำรวจน่ะ!”
จี้เฟิงพยักหน้าเข้าใจในทันที เขายิ้มและตอบว่า “อย่างนี้นี่เอง”
ในเขตหมางซือนี้ มีโทรศัพท์มือถือรุ่นพิเศษอยู่ภายในสถานีตำรวจซึ่งแทบจะเป็นที่รู้จักกันดี แต่คนธรรมดาทั่วไปไม่ทราบหมายเลขนี้ มีเพียงระดับผู้นำบางคนหรือสมาชิกในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์พิเศษเท่านั้นถึงจะรู้เลขหมายนี้
โทรศัพท์มือถือรุ่นพิเศษนี้ ก็พิเศษตามชื่อ เพียงแค่คนพิเศษที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ใช่สำหรับคนที่มีปัญหาในชีวิตหรือไม่มีความสามารถในการดูแลตัวเองตามที่สื่อบางสำนักได้กล่าวไว้ ในทางตรงกันข้ามคนพิเศษในที่นี้หมายถึงคนที่มีสถานะทางสังคมที่พิเศษหรือมีความสัมพันธ์ที่พิเศษเท่านั้น!
สำหรับบุคคลดังกล่าว สถานีตำรวจจะมีการบันทึกชื่อไว้โดยเฉพาะ หลังจากรับสายพวกเขาจะรีบส่งตำรวจออกไปในทันที ไม่ว่าจะเป็นการให้ช่วยเหลือหรือการปกป้องพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าในฐานะลูกสาวของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขต ถงเล่ยก็เป็นหนึ่งใน “กลุ่มคนพิเศษ” อย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเธอ หากทางสถานีตำรวจไม่ให้ความสำคัญ เกรงว่าหัวหน้าตำรวจอาจถูกโยกย้ายในวันรุ่งขึ้น!
เมื่อแสงไฟจากรถตำรวจที่อยู่ใกล้ ๆ ทำให้ถงเล่ยได้เห็นสีหน้าโล่งใจของจี้เฟิง ด้วยเหตุผลบางอย่างจู่ ๆ ถงเล่ยก็รีบแก้ตัวอย่างรีบร้อน “จี้เฟิงนายอย่าเข้าใจฉันผิด ฉันแค่กลัวว่านายจะได้รับอันตรายจากนักเลงสองคนนั้น ปกติฉันไม่ได้แจ้งตำรวจหรืออะไรที่เหมือนใช้เส้นสายแบบนี้หรอกนะ!”
“เด็กโง่” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและเอามือไปขยี้หัวถงเล่ยเบาๆ “ก็เมื่อเธอเป็นคนพิเศษ การเรียนรู้ที่จะใช้มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายกับการที่จะต้องพึ่งพาอิทธิพลของคนในครอบครัว ตราบใดที่ไม่ได้ใช้มันในการรังแกผู้อื่น ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะมองไม่ดี เพราะพวกเขาก็แค่รู้สึกอิจฉา!”
นับตั้งแต่ที่ ซูหม่ากับชายหัวโล้นเฉินจ้าวนำคนอีกหกคนมาจัดการกับเขา จี้เฟิงก็ตระหนักได้ถึงอิทธิพลและภูมิหลังของครอบครัวว่ามันสำคัญเพียงใด ไม่เฉพาะเมื่อตอนเราโต แต่มันสำคัญตั้งแต่ตอนที่เราเกิดเลยเสียด้วยซ้ำ
เพราะตั้งแต่ยังเด็กจี้เฟิงก็ถูกล้อว่าเขาไม่มีพ่อแถมยังถูกกลั่นแกล้งเพียงเพราะสาเหตุนี้! รวมไปถึงซูหม่า หากจี้เฟิงมีภูมิหลังครอบครัวที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าซูหม่าจะนักเลงแค่ไหนเขาก็จะไม่สามารถทำร้ายจี้เฟิงได้อย่างง่ายดายแบบนี้
แน่นอนว่าถึงแม้จี้เฟิงจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขาก็ไม่ได้กลายเป็นคนเหยียดหยามผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขามีสมองอัจฉริยะ และได้รับการพัฒนาศักยภาพต่าง ๆ ของร่างกาย สมองและปัญญาของเขาที่ได้รับการพัฒนามันทำให้เขาเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและมองมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!
ดังนั้นจี้เฟิงจึงมีความรู้สึกอิจฉาคนอื่นในเรื่องภูมิหลังของครอบครัวอยู่ในใจอย่างเงียบๆ เพราะตอนที่เขาถูกล้อเลียนและถูกรังแก เพียงเพราะเขาไม่มีภูมิหลังครอบครัวที่ดี เขาต้องมีความขยันหมั่นเพียรอย่างมากเพื่อสร้างสิ่งที่เขาขาดมาทดแทนและยืดหยัดในสังคมให้ได้อย่างแท้จริง อย่างน้อยเขาก็จะไม่ปล่อยให้ลูกของเขาในอนาคตต้องมาเดินในเส้นทางที่เขาเคยผ่านมา!
หากไม่มีความพยายามมากพอแล้วเอาแต่บ่นในชะตาชีวิตคุณก็จะไม่มีวันทำสำเร็จ!
“ไม่ต้องกังวลไปฉันไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอทำเพราะต้องการจะช่วยเหลือฉัน ฉันเข้าใจ!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและรีบดึงมือที่ขยี้หัวถงเล่ยโดยไม่รู้ตัวกลับมา
‘แม่งเอ้ย!!’
จี้เฟิงแอบด่าตัวเองในใจว่าทำไมเขาถึงไปจับหัวเธอแบบนั้น มันดูเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม!
“จริงเหรอ?!” ถงเล่ยไม่ได้สนใจการกระทำของจี้เฟิง เพราะเธอมัวแต่มีความสุขที่จี้เฟิงไม่ได้มองเธอไม่ดี
“แน่นอนมันเป็นความจริง!” จี้เฟิงยิ้มกว้าง
ในขณะนั้นจู่ๆ จี้เฟิงก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกระแทกเข้ามาที่หัวใจของเขา เขาหันหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ปรากฏว่ากระแสไฟฟ้าชีวภาพที่ถูกกระตุ้นโดยสมองยังไม่ได้หายไป ในคืนที่มืดมิดนี้เขายังคงสามารถมองเห็นใบหน้าที่อ่อนโยนและสวยงามของถงเล่ยได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้หัวใจของจี้เฟิงเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ
“จี้เฟิง นายเป็นอะไรไป?” ถงเล่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เปล่าไม่มีอะไร!” จี้เฟิงสะดุ้งและรีบบอกให้สมองหมายเลข 1 ปิดกระแสไฟฟ้าชีวภาพ
“คุณหนูถง! คุณหนูถง!” จู่ๆ มีเสียงตะโกนเรียก พร้อมกับมีตำรวจในเครื่องแบบนับสิบคนวิ่งตรงเข้ามา
“คุณหนูถง คุณโอเคไหม?” เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบคนรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นถงเล่ยยังคงยืนอยู่อย่างปลอดภัย มีเสียงตำรวจนายหนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำรีบเข้ามาและพูดว่า “เสี่ยวเล่ยทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
จากนั้นนายตำรวจร่างสูงมองไปที่จี้เฟิงอย่างระแวดระวังราวกับว่าเขาเป็นผู้ร้าย
พอนายตำรวจเริ่มมองเห็นอย่างชัดเจนเขาก็รู้สึกงุนงงสับสนเล็กน้อย เขาพูดอย่างตะกุกตะกัก “คุณ..? จี้เฟิง! ทำไม?!”
“ทำไมเสียงคุ้นๆ คุณรู้จักผมด้วยเหรอ?” เนื่องจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพถูกปิด จี้เฟิงจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของตำรวจคนนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เขารู้สึกคุ้นๆ กับเสียงนี้ แต่เขาจำไม่ได้ว่ามีคนรู้จักเป็นตำรวจตอนไหน!
“พี่หยาน พี่รู้จักจี้เฟิงด้วยเหรอ?” ถงเล่ยมองไปที่ตำรวจด้วยความประหลาดใจ
เมื่อจี้เฟิงได้ยินดังนั้น เขาก็นึกออกโดยทันที ว่าตำรวจคนนี้คือผู้กองหยาน ที่ช่วยจัดการเรื่องที่ซูหม่าส่งคนหกคนมาทำร้ายเขา
เขาพูดอย่างรวดเร็ว “เป็นผู้กองหยานนี่เอง ผมขอโทษจริงๆ มันมืดเกินไปทำให้มองไม่ค่อยชัด!”
ถงเล่ยคิดว่าผู้กองหยานเข้าใจผิดคิดว่าจี้เฟิงเป็นคนร้าย จึงรีบพูดว่า “พี่หยานจี้เฟิงเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉันเอง มันมืดเกินไปที่ฉันจะกลับบ้านคนเดียว ฉันจึงให้จี้เฟิงช่วยไปส่งฉันที่บ้าน เขาเป็นคนดี ในขณะที่พวกเราวิ่งกลับบ้านก็มาเจอพวกคนไม่ดีอยู่กลางถนน!”
“โจรพวกนั้นสลบเหมือดไปแล้วล่ะ!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้มในขณะเดียวกันเขาก็ชี้ไปที่โจรทั้งสองที่นอนกองอยู่กับพื้น
...จบบทที่ 33~❤️
บทที่ 34 ความลับ!
“สองคนนี้...ฝีมือเธอเหรอ?” เมื่อผู้กองหยานเห็นคนร้ายสองคนนอนสลบไม่ได้สติที่พื้นเขาก็ตกใจ เพราะในมือของผู้ร้ายยังคงถืออาวุธคาไว้อยู่!
นักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆ ที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปี สามารถต่อสู้ชนะคนร้ายสองคนที่มีอาวุธในมือได้อย่างงายดายโดยที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย?!
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของผู้กองหยาน
ผู้กองหยานไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “จี้เฟิง เธอได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มาหรือเปล่า?”
จี้เฟิงส่ายหัว “เปล่าครับ!”
ผู้กองหยานพยายามสูดดมหากลิ่นแอลกอฮอล์อย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่ได้กลิ่นใดๆ จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว จึงถามต่อไปว่า “จี้เฟิงคุณทำให้สองคนนี้ล้มลงไปนอนกองแบบนั้นได้ยังไง อย่าบอกนะว่าพวกเขาสองคนวิ่งชนหมัดของนายด้วยตัวเอง หรือแบบครั้งที่แล้วที่เกิดความบังเอิญจนคนพวกนั้นเจ็บตัวกันไปเอง!”
ผู้กองหยานจำได้ว่าครั้งที่สุดท้ายที่เจอจี้เฟิงก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ ส่วนไอ้เหม่งจ้าวก็มีท่าทีแปลกๆ เรื่องนี้มันต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดา!
ถ้ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงไปกองกับพื้นได้แบบนี้ถึงสองครั้ง ถ้าเป็นความบังเอิญจริงๆ ในกรณีนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ จี้เฟิงจะต้องมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้มาก ถึงจะสามารถ ‘บังเอิญ’ ทำได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งนี้ก็ตาม!
จี้เฟิงมองไปที่ผู้กองหยานที่ยังคงทำหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาบอกสักเท่าไหร่ เขารู้ในทันทีว่าหากเขายังไม่พูดหรือบอกอะไรออกไป เขาคงไม่สามารถทำให้ผู้กองหยานหายสงสัยได้
เขายิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ผู้กองหยาน ความจริงแล้วที่โรงเรียนของเรามีวิชาพละ ที่อาจารย์จะสอนศิลปะการต่อสู้บางอย่าง มันเลยทำให้สมรรถภาพร่างกายของผมดีขึ้นบวกกับช่วงนี้ผมเริ่มออกกำลังกายมาบ้างเลยเกิดเหตุบังเอิญ ทำให้โจรสองคนนั้นมีสภาพแบบนี้!”
“จริงเหรอ?” ผู้กองหยานยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เขามองไปที่จี้เฟิงด้วยความสนใจและพูดว่า “พ่อหนุ่ม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ธรรมดาเลยนะ จะหลอกอะไรก็อย่าลืมว่าฉันเป็นตำรวจคลุกคลีกับศิลปะการต่อสู้มาพอสมควร เอาไว้จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ เราหาโอกาสมาสนทนาเรื่องนี้กันหน่อยดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เขาหัวเราะและโบกมือให้กับตำรวจคนอื่นๆ “พวกนายไปจับไอ้ผู้ร้ายสองคนนี้ไว้ พวกขยะทั้งๆ ที่มีอาวุธอยู่ในมือแต่สู้ไม่ได้แม้แต่กับเด็กมัธยม ยังจะกล้ามาเป็นนักเลง ไม่อายบ้างรึไงวะ!”
จี้เฟิงอึ้ง รู้สึกพูดไม่ออก เขาคิดในใจว่าตรรกะแบบนี้ก็ได้เหรอ? จะบอกว่าถ้าเก่งพอ ก็เป็นนักเลงได้?
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนจับตัวคนร้ายทั้งสองที่สลบอยู่บนพื้นขึ้นมาและกำลังจะพาไปที่รถตำรวจ และในขณะนั้นเองด้วยแสงไฟจากรถตำรวจทำให้ผู้กองหยานได้เห็นหน้าของผู้ร้ายทั้งสองคน เขาถึงกับร้องอุทานว่า “เห้ย! ไอ้สองคนนี้เองเหรอ!?”
จี้เฟิงและถงเล่ย ตกใจและรีบถามผู้กองหยานพร้อมกัน “ผู้กองหยาน/พี่หยาน รู้จักสองคนนี้งั้นเหรอ?”
ผู้กองหยานขมวดคิ้วแน่นพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ถ้าฉันจำไม่ผิด สองคนนี้ควรที่จะต้องอยู่ในคุกเวลานี้ แล้วทำไมพวกมันถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ ฉันเป็นคนจับพวกมันเองกับมือเมื่อปีที่แล้วและถูกตัดสินจำคุกสี่ปีในข้อหาโจรกรรม แล้วพวกมันออกมาได้ยังไง?!!”
“ห๊ะ! อะไรนะครับ!!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถามย้ำ “ผู้กองหยานคุณแน่ใจหรือครับว่าไม่ได้จำผิดคน หรือคุณอาจจะทำอะไรผิดพลาด!?”
“ฉันจับพวกมันด้วยมือของฉันเอง มันเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะจำผิดคนหรือทำพลาด!!” ผู้กองหยานส่ายหัวแล้วพูดว่า “จี้เฟิงเธออย่าเพิ่งพูดอะไรไป นายไม่ควรที่จะรู้เรื่องพวกนี้ รอให้ฉันตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจนเสียก่อน!”
จี้เฟิงรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ดูไม่ชอบมาพากล เขาจึงรีบพูดว่า “ไม่ต้องห่วงครับผู้กองหยาน ผมรู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด!”
“ดีมาก!” ผู้กองหยานพยักหน้ายิ้ม “เสี่ยวเล่ย จี้เฟิง ฉันว่าเวลานี้พวกเธอควรจะกลับบ้านกันได้แล้ว ฉันจะขับรถไปส่งพวกเธอเอง ถ้าเดินกลับในเวลานี้มันจะไม่ปลอดภัย!”
“ไม่ต้อง!” จี้เฟิงยังไม่ทันได้พูดอะไร แต่เป็นถงเล่ยที่ยืนอยู่ข้างๆเขา ที่รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “พี่หยานอย่านะ ไม่ต้องไปส่งหรอก พี่ก็รู้ว่าถ้าพ่อเห็นพี่พ่อต้องเป็นห่วงอีกแน่เลย แล้วก็อย่าบอกพ่อเรื่องนี้นะ โอเค๊?”
ผู้กองหยานลังเลและพูดว่า “นี่...”
“พี่หยานฉันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ อีกอย่างฉันไม่เป็นไรแน่นอนเพราะฉันมีจี้เฟิงอยู่ข้างๆ ไม่ต้องเป็นห่วงไม่เกิดอันตรายกับฉันแน่นอน” ถงเล่ยพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และเธอก็ขู่ว่า “ถ้าพี่หยานบอกพ่อเรื่องนี้ ฉันก็จะบอกพี่สะใภ้ว่าพี่แอบไปเที่ยวอาบอบนวด! แล้วถ้าพี่สะใภ้ไม่ให้พี่เข้าบ้าน เมื่อถึงเวลานั้นอย่ามาขอร้องให้ฉันช่วยแล้วกัน!”
“คุณผู้หญิงครับ!!” ผู้กองหยานไม่รู้ว่าเขาจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาโบกมือและพูดว่า “ผมกลัวแล้วคร้าบบ ผมจะไม่ปริปากพูดเรื่องนี้แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นรีบกลับบ้านไวๆเลย!”
“ขอบคุณค่ะพี่หยาน!” ถงเล่ยยิ้มตาหยี และหันไปพูดกับจี้เฟิง “เราไปกันเถอะ!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวลาผู้กองหยาน เขาเดินออกไป ในขณะนั้นผู้กองหยานก็คว้าแขนถงเล่ยไว้และกระซิบถาม “เสี่ยวเล่ย ที่เธอไม่ให้พี่บอกพ่อเพราะกลัวว่าพ่อจะเป็นห่วงหรือกลัวพ่อจะรู้เรื่องของพ่อหนุ่มคนนี้กันแน่?”
ถงเล่ยมองไปที่ด้านหลังของจี้เฟิง แล้วใบหน้าที่สวยงามของเธอก็แดงขึ้นมาทันที เธอละล่ำละลักพูดว่า “พี่หยาน พี่พูดเรื่องอะไร เราเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นกันธรรมดาๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้!”
“อ้าวเหรอ? ฮ่าฮ่า ดูเหมือนพี่จะคิดมากไปเอง!” ผู้กองหยานหัวเราะและโบกมือให้ถงเล่ย “รีบกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว!”
“ลาก่อนค่ะพี่หยาน!” ถงเล่ยยิ้มและโบกมือให้ และรีบวิ่งตามหลังจี้เฟิงไป
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของหนุ่มสาวคู่นี้ ผู้กองหยานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพึมพำกับตัวเอง “ความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมชั้นธรรมดางั้นเหรอ? เสี่ยวเล่ยเธอลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร คิดเหรอว่าจะหลุดรอดสายตาของฉันไปได้ ถ้าเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นธรรมดาจริงๆ เธอคงไม่ถึงขนาดใช้เบอร์โทรพิเศษที่ไม่เคยใช้แม้แต่ครั้งเดียวแบบนี้แน่ และผู้ร้ายสองคนนั้นออกจากคุกและมาเจอเสี่ยวเล่ยกับจี้เฟิงได้ยังไง นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือมีสาเหตุอื่นอีกกันแน่?”
หลังจากคิดอยู่นาน ในที่สุดผู้กองหยานผู้เข้มงวดก็ตัดสินใจได้และพูดว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก ฉันจำเป็นที่จะต้องบอกเลขาถง ฉันได้แต่หวังว่าเสี่ยวเล่ยและจี้เฟิงจะไม่คิดว่าฉันจงใจบอกความลับ!”
……...
เมื่อเดินอยู่บนถนน จี้เฟิงและถงเล่ยต่างเงียบ
จี้เฟิงยังคงใช้ไฟฉายเพื่อส่องทางให้กับถงเล่ย แต่เขาไม่ทันได้สังเกตว่ามีรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของถงเล่ยแต่ในดวงตาของเธอกลับมีร่องรอยของความสับสน
ในตอนนี้สิ่งที่อยู่ในความคิดของถงเล่ย คือฉากที่จี้เฟิงยืนอยู่ด้านหน้า เพื่อปกป้องเธอจากผู้ร้ายสองคนนั้น และสั่งให้เธอวิ่งหนีเอาตัวรอดไปก่อน
ในเวลานั้นแม้ว่าในความเป็นจริงหลังของจี้เฟิงจะดูบอบบางและอ่อนแอ แต่ในสายตาของถงเล่ยกลับดูสูงใหญ่แข็งแกร่งมาก เมื่ออยู่ด้านหลังของคนคนนี้ ไม่รู้ทำไมในหัวใจของถงเล่ยจึงรู้สึกถึงความปลอดภัย แม้จะมีคนร้ายอยู่ข้างหน้าถึงสองคน แต่ถงเล่ยเชื่อว่าเธอจะไม่ได้รับอันตราย เพราะเธอมีจี้เฟิงอยู่ด้วย!!
...จบบทที่ 34~❤️