ตอนที่ 6 กินขนมปัง
ที่บ้านซอมซ่อของโจวชิง ประตูบานใหญ่ค่อย ๆ เปิดออก มีเด็กสาวอายุประมาณเกือบสิบสามปีหยิบอ่างไม้และเดินออกมาด้วยความระมัดระวัง
ในอ่างไม้นั้น เต็มไปด้วยเสื้อผ้าของผู้คนในบ้านโจว
เว่ยหยางสวมชุดสีน้ำเงิน แต่ในตอนนี้ชุดนั้นได้กลับกลายเป็นสีดำไปเสียแล้ว
เป็นเพราะมันผ่านการใช้งานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในตอนนี้บริเวณด้านหลังของเสื้อมีร่องรอย ของการปะชุนอยู่หลายแห่ง
ผมยาวนั้นได้ถูกมัดให้เป็นเปียสองข้าง สิ่งที่สวมใส่นั้น หากคนทั่วไปจะเรียกมันว่า 'ผ้าขี้ริ้ว' ก็คงได้
แต่ท่าทีของเด็กสาวผู้นี้ดูเงียบสงบ และนิ่งเฉยเสียจนน่าสงสัย
นางมีใบหน้ารูปไข่ที่บอบบาง มีสีผิวที่ขาวนวลเหมือนไข่มุกชั้นดี
คิ้วยาวได้รูป พร้อมกับดวงตาที่มีประกายสดใสคู่หนึ่ง คล้ายกับแสงจันทร์ที่กำลังส่องแสงในยามค่ำคืน
จมูกที่โด่งเป็นสันพองาม และรูปปากเล็กและเรียวบาง
ผมสีดำขลับเป็นเงาสะท้อนกับแดดในยามเช้าของวันนี้ แสงนั้นส่องสว่างทำให้เห็นรูปร่างของนางได้อย่างชัดเจน
เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านแล้ว นางดูงดงามกว่ามากอย่างไร้ข้อกังขา
สิ่งนี้เป็นผลให้ เมื่อเดินออกจากบ้านไป มีสายตาผู้คนจำนวนมากต่างก็จ้องมองมาที่นาง
หลี่เว่ยหยางสวมเสื้อผ้าที่มีราคาถูก มาก และมิได้ประทินโฉมใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่ใบหน้านั้นยังคงมีความงดงามตามธรรมชาติ และกิริยาท่าทางยังคงสงบ และเรียบร้อย
ราวกับว่า มิได้สังเกตเห็นการจ้องมองเหล่านั้นเลย
เพราะเพียงคิดว่า มีอ่างไม้อยู่ในมือและกำลังจะเดินไปซักผ้า จะจ้องมองอันใดกันนักหนา?
ก่อนหน้านี้ นางเคยคิดว่า รูปลักษณ์ของตนเองนั้นค่อนข้างมีความโดดเด่นเช่นกัน
แต่เมื่อเดินทางกลับไปที่เมืองหลวง และได้เห็นใบหน้าของหลี่จางเล่อผู้เป็นพี่สาว
จึงเข้าใจถึงความหมายของคำกล่าวที่ว่า 'ความงดงามดังเช่นนางฟ้า' เป็นเช่นไร
เมื่อเปรียบเทียบกับจางเล่อแล้วความงามของนางนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก หรืออาจจะกล่าวว่าธรรมดาที่สุดก็ว่าได้
หลี่เว่ยหยางหยุดและยืนนิ่งบริเวณริมแม่น้ำ จากนั้นจึงนั่งยอง ๆ
และใช้ท่อนไม้ทุบสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสียงท่อนไม้ที่ทุบลงบนเสื้อผ้าดังจบกลบเสียงสายน้ำในลำธาร
น้ำกระเซ็นขึ้น และฉีดพ่นลงบนเสื้อผ้าและใบหน้าของเด็กสาว แต่นางยังคงมุ่งมั่นซักผ้าต่อไปด้วยความตั้งใจ
เว่ยหยางทำทุกอย่างด้วยอาการปกติเหมือนเช่นที่เคยทำมา
แต่ขณะนั้น เด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่กำลังซักผ้าได้สังเกตเห็นนางเข้า
พวกนางเขยิบเข้าหากัน และมองมาด้วยหางตา และเริ่มมีการสนทนากันเบา ๆ ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส
อีกทั้งยังมีเสียงซุบซิบกันเหมือนฝูงนกกระจอกที่กำลังจะแตกรัง
“ดูสิ! มีสาวน้อยกำลังซักผ้าอยู่ตรงนี้ด้วย”
“ช่างน่าสมเพชเสียจริง! พวกเจ้าดูสิ่งที่นางสวมใส่สิ เทียบกับเรามิได้เลยด้วยซ้ำ”
“นางเป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่จริงหรือ? เหตุใดจึงมิเคยเห็นข้าราชสำนักสักผู้เดียวมาเยี่ยมนาง?”
“อัยหยา เจ้ามิรู้หรือ นางเกิดในเดือนกุมภาพันธ์ จึงถูกกล่าวว่า เป็นคำสาปที่จะส่งผลต่อบิดาของตนเอง! พวกเขาจึงรีบไล่นางออกมาจากบ้าน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขามิต้องการจะพบนางอีก!”
“โอ้ เป็นหญิงสาวในหมู่บ้านอย่างพวกเราเสียยังจะดีกว่า
เกิดมาเป็นบุตรสาวที่เขามิต้องการ! หากเป็นข้า คงจะโกรธแทบเป็นบ้าตาย!”
“ถูกต้อง! ให้ข้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็มิต้องการเช่นกัน!”
ทุกคำกล่าวนั้น เข้าหูของหลี่เว่ยหยางโดยมิได้ตกหล่น
เว่ยหยางจำได้ว่า ตอนที่ยังเป็นเด็กกว่านี้ เคยมีความหวังและความฝันว่า ต้องมีสักวันที่จะต้องได้กลับไปที่เมืองหลวงเพื่อมีชีวิตที่สดใสกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่นึกภาพนั้นความสมเพชตนเองก็จะทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับความเศร้าโศกและความเสียใจอย่างสุดซึ้ง...
มุมริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ในชาติที่แล้ว เป็นเพราะคำกล่าวของผู้คนเหล่านี้ ทำให้นางต้องหลั่งน้ำตานับพันครั้ง
แต่ในขณะนี้ เว่ยหยางลุกขึ้นยืนและเดินไปยังบริเวณที่ใกล้กับเด็กหญิงพวกนั้นที่สุด
ผ้าผืนนี้เป็นสิ่งที่นางหลิวใช้เป็นถุงเท้า ผ้าผืนยาวและมีกลิ่นที่เหม็นมาก
หลี่เว่ยหยางจับไม้ยาวตีและฟาดลงไปที่มันด้วยความรุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้ำที่สกปรกและเหม็นเน่านั้นกระเด็นอย่างแรง และลอยไปตามกระแสน้ำที่เด็กหญิงคนอื่น ๆ อยู่
เด็กหญิงเหล่านี้นยังคงหมกมุ่นอยู่กับการซุบซิบนินทา ดังนั้นพวกนางจึงมิได้สังเกตเห็น
เมื่อซักเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วหลี่เว่ยหยางจึงคว้าอ่างและรีบลุกขึ้นยืน
ทุกคนต่างมองนางด้วยความแปลกใจ และมีความรู้สึกราวกับว่า มีบางอย่างที่เกี่ยวกับนางเปลี่ยนแปลงไป
แม้ว่าพวกนางจะกล่าวอันใดกับเว่ยหยางตั้งมากมาย แต่ก็ยังคงรักษาท่าทางที่สงบนิ่ง และเงียบกริบ
ราวกับว่า ผู้ใหญ่กำลังมองดูเด็กที่มิรู้เรื่องอันใดเลย...
เมื่อกลับมาถึงบ้านโจว ในตอนนั้นท้องฟ้ายังคงแจ่มใส
หลังจากนางหลิวทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งใช้ไม้จิ้มฟันแคะฟันอยู่ที่บริเวณระเบียงบ้าน
เมื่อเห็นเว่ยหยางเดินกลับมา คิ้วของนางจึงขมวดขึ้นในทันที
ดูเหมือนกับว่า ต้องการที่จะกล่าวอันใดบางอย่าง
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ นางได้กลืนมันลงไป และลุกขึ้น จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปด้านใน
นางหม่าออกมาพร้อมกับส่งขนมปังให้เว่ยหยางชิ้นหนึ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า
“ท่านลุงกลับมาแล้ว”
โจวชิง? หลี่เว่ยหยางเลิกคิ้ว และจ้องมองนางหม่าด้วยความสงสัย
นางหม่านิ่งเงียบ และมีอาการตกตะลึง
หลี่เว่ยหยาง เด็กหญิงผู้นี้ยังเด็กมาก แต่สายตาของนางนั้น... มีบางอย่างที่มิสอดคล้องกับอายุของนางเลย
มันเหมือนสายตาของผู้ใหญ่ และเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
มิน่าแปลกใจ ที่นางหลิวมิได้ตะโกนกล่าวคำหยาบคาย หรือดุด่าในวันนี้ .
ภายในพริบตา มีรอยยิ้มสดใสเกิดขึ้นบนใบหน้าของหลี่เว่ยหยางราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิ
นางกล่าวขอบคุณนางหม่า ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม และกินขนมปังนั้นในทันที
ลำคอที่แห้งผากจนถึงจุดที่มันเจ็บมาก แต่ก็ฝืนกินมันอย่างมีความสุข
นั่นเป็นเพราะโอกาสทองในการลงโทษนางหลิวได้มาถึงแล้ว