ตอนที่ 2 เหล้าพิษ
มีความรู้สึก ราวกับว่า มีบางสิ่งที่แหลมคมแทงเข้ามาที่บริเวณหน้าอกของนาง
ในตอนแรก รูนั้นมีขนาดเล็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไป รูนั้นก็จะใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้น จนรู้สึกเหมือนหัวใจดวงนี้กำลังจะแหลกสลายลงไปแล้ว
หลี่เว่ยหยางเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่กำลังจะสลาย และแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทั้งคู่เป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาถึงแปดปี และได้พบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมายมาด้วยกัน
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเขา เว่ยหยางเป็นเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอด
แต่เมื่อได้กลายมาเป็นจักรพรรดิ เขากลับรักจางเล่อ และต้องการที่จะขับไล่นาง ให้พ้นไปจากชีวิต
แต่ในขณะเดียวกัน ก็กล่าวว่า เขามิต้องการให้นางต้องกังวลเรื่องอาหาร และที่พักพิง
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำทั้งหมดนั้นก็เพื่อท่าน เพียงเพื่อต้องการที่จะปกป้องท่าน ข้ามิเคยใส่ใจในชีวิตของตนเองเลยแม้แต่น้อย
แต่สุดท้าย สิ่งที่ข้าได้รับกลับมาคือ คำกล่าวที่ว่า 'มิต้องกังวลเรื่องอาหารและที่พักพิง? แปดปี!
เราเป็นสามีภรรยากันมาแปดปีแล้ว
แต่สิ่งนี้ เทียบกับความงามของ
หลี่จางเล่อมิได้เลย
ชีวิตที่สะดวกสบาย? ผู้ใดต้องการกัน
การเสี่ยงอันตราย และความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ข้าต้องทน ก็เพื่อให้บรรลุสิ่งที่มีในวันนี้
แต่ท่านมอบให้กับหญิงผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย! ท่านยังต้องการให้ข้าขอบคุณพวกท่านด้วยหรือไม่”
ทัวเป่าเจิ้นทุบมือของตนเองลงบนโต๊ะอย่างแรง กาน้ำชาหล่นลงที่พื้น เขาขมวดคิ้วแน่น
"หุบปาก! นางมิใช่ผู้อื่น! จางเล่อเป็นพี่สาวของเจ้า!”
หลี่เว่ยหยางหัวเราะเยาะ
"พี่สาว? นางคือนางฟ้าที่ถูกส่งลงมาจากสวรรค์ เป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ของตระกูลหลี่ แล้วข้าล่ะ?
ข้าเป็นเพียงแค่บุตรสาวของนายหญิงที่โชคร้าย ผู้ที่เป็นบิดาของตนเองมองบุตรสาวผู้นี้เหมือนเศษดินที่อยู่บนพื้น!
หากคิดว่า ข้าเป็นน้องสาวจริง ๆ จะแย่งชิงสามีของข้าไปได้อย่างไร
นางจะชิงตำแหน่งรัชทายาท จากลูกชายของข้าไปได้อย่างไร”
เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าขาวซีดของหลี่เว่ยหยาง และการจ้องมองของเขานั้น มันช่างดุร้าย และน่าหวาดกลัว จนถึงจุดที่อาจทำให้ผู้คนลืมที่จะหายใจได้
ทัวเป่าเจิ้นเย้ยหยันเบา ๆ
“จางเล่อเป็นหญิงที่บริสุทธิ์ และมีจิตใจที่งดงาม นางมิเคยแม้แต่จะฆ่ามดด้วยซ้ำ
เจ้ามิอาจเทียบกับนางได้เลย!
สำหรับหยูลี่ เขาเป็นเด็กที่ก้าวร้าวและอกตัญญู
และกล้าที่จะกล่าวสิ่งที่หยาบคายต่อจางเล่อ เขามิมีสิทธิ์ได้เป็นรัชทายาท!”
บริสุทธิ์และจิตใจดี?
ตั้งแต่เด็ก เว่ยหยางเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และทำความดีมาโดยตลอด
แต่ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการกระทำทั้งหมดนี้ คือพี่สาวของนาง
เป็นเพียงเพราะ จางเล่อมีใบหน้าที่งดงามปานนางฟ้า งดงามพอที่จะทำใหผู้อื่นเชื่อได้ว่า หัวใจของนางเป็นเช่นภาพสะท้อนของรูปลักษณ์นั้น
หลี่เว่ยหยางต้องการที่จะหัวเราะเยาะตนเอง เสียงของชายผู้นี้ เป็นเหมือนดาบที่แทงตรงเข้าไปในหัวใจของนาง
และเลือดที่ไหลออกมานั้น เปรียบได้กับน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาอันว่างเปล่าคู่นั้น จากนั้นมันก็จะเหือดแห้งไป
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่มิอาจจะบรรยายได้
“ถูกต้อง ข้ามิสามารถเทียบได้กับจางเล่อ แต่หยูลี่เป็นผู้บริสุทธิ์ เขาเป็นเด็กที่มีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น
มีหลายสิ่งที่เขายังมิเข้าใจ เมื่อเห็นแม่ของเขาต้องเจ็บปวด และร้องไห้
นั่นเป็นเหตุผลว่า เหตุใดเขาจึงอดมิได้ที่จะกล่าวคำ ที่แสดงถึงความขุ่นเคืองใจต่อจางเล่อ
แต่ท่านใจร้ายมาก ที่ขังเขาเอาไว้ถึงสามวันสามคืน!”
ทัวเป่าเจิ้นจ้องมองเว่ยหยางอย่างไร้อารมณ์ โดยมิได้เอ่ยอันใดออกมาสักคำ
หัวใจของนางต้องแตกสลายมากยิ่งขึ้น
“หากท่านมิได้ทำเช่นนั้น ปอดของเขาก็คงจะมิติดเชื้อ และคงจะมิต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อย!
เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะคำกล่าวคำเดียวจากท่าน
ว่าเขาหยาบคายเกินไป และท่านปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น ข้าผิดหรือ?
ข้าเรียกให้ท่านหมอหลวงทุกคนมารักษาเขา
เพราะต้องการรักษาเลือดเนื้อของข้า! ท่านคิดถึงแต่เรื่องที่เกี่ยวกับ หลี่จางเล่อเท่านั้น
หยูลี่ของข้าป่วยเป็นไข้สูง และบอกกับข้าว่าเขาเจ็บปวด และทรมานมาก ท่านเข้าใจหรือไม่ว่า ข้าต้องเจ็บปวดสักเพียงใด?
หากทำได้ ข้าจะยอมใช้ชีวิตข้า แลกกับชีวิตของบุตรชายที่มีค่าของท่าน
ท่านมีหลี่จางเล่อ แต่หยูลี่มีเพียงข้าผู้เดียว!
ในขณะนั้นหยูลี่กำลังอยู่ในช่วงระหว่าง ความเป็นและความตาย เหตุใดต้องไปหาหลี่จางเล่อ และดูแลนางด้วย?
ในตอนนี้ ข้ามิต้องการอันใดแล้ว
สิ่งที่ต้องการมีเพียงอย่างเดียวคือ ขอให้หยูลี่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
ข้าเกลียดหลี่จางเล่อ ข้าเกลียดนางแทบตาย ข้าเกลียดที่มิสามารถสับนางออกเป็นชิ้น ๆ ได้!”
“นังบ้า!”
ทัวเป่าเจิ้นมีความรู้สึกโกรธมาก แววตานั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ และเหยียดหยามหญิงผู้นี้ ผู้ที่กำลังอยู่ต่อหน้า เขากล่าวว่า
“หากต้องการที่จะเกลียด ก็เกลียดข้าสิ! นางมิได้ต้องการที่จะเข้าวัง แต่เป็นข้าเอง ที่บังคับให้นางเข้าวังมา
เพื่อต้องการที่จะให้นางได้เป็น 'จักรพรรดินี'
นางเป็นผู้ที่ไร้เดียงสา และมีน้ำใจมาก นางมีน้องสาวที่ชั่วร้าย และน่ากลัวอย่างเจ้าได้อย่างไรกัน”
เขาเดินเข้าไปหาหลี่เว่ยหยาง ด้วยความรวดเร็ว และดึงผมของนางอย่างรุนแรง
“ข้าจะมิให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน!
ข้าต้องการให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานไปช้่วชีวิต! ทหาร! ตัดขาของนังหญิงผู้นี้ทิ้ง แล้วโยนร่างนางเข้าไปในวังเย็น!”
จากนั้นเว่ยหยางก็เห็นแต่สิ่งที่เป็นสีเหลือง พระราชวังนั้นมืด
อึมครึมและมีความหนาวเย็นเป็นอย่ามาก
นี่หรือ! วังเย็นที่ผู้คนกล่าวถึง
และสิ่งที่เป็นสีเหลืองนั้น ทำให้ทุกอย่างมืดมิดลง มันสว่างยิ่งกว่าแสงเทียนที่ส่องทะลุโลกทั้งใบ
นางรู้ทันทีว่า เป็นราชโองการของจักรพรรดิที่จะปลดจักรพรรดินี ขันทีกำลังจะประกาศราชโองการ
ที่นี่คือ ที่ไหนสักแห่ง ที่มีดวงตาคู่หนึ่ง ซึ่งดูเหมือนลูกศรพิษ และต้องการที่จะยิงทะลุหัวใจของนาง
จิตวิญญาณได้หายไปแล้ว มันว่างเปล่า ความคิดทั้งหมดหายไปจากหัว
ยกเว้นคำสองคำนั้นคือ การแก้แค้นและความเกลียดชัง ที่ยังคงอยู่
นางมิได้ยินเสียงอันใดอีกเลย
วิญญาณที่ถูกทำลายของเว่ยหยางได้โบยบินไปยังที่ใดสักแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
ทัวเป่าเจิ้น ท่านโหดเหี้ยม โหดเหี้ยมที่สุด!
ในตอนนี้ หัวใจเหมือนกำลังจะหยุดเต้น นางนอนลงบนพื้น และเขาก็มิได้ละสายตาไปจากนางเลย
เขายกเท้าขึ้น และถีบนางอย่างไร้ความปราณี การถีบครั้งนี้มิเพียงเป็นการทำร้ายร่างกายเท่านั้น
แต่เป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณของเว่ยหยางด้วย
หลี่เว่ยหยางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
นางเคยกล่าวว่า นางชอบ
ภูมิทัศน์ของเมืองเจียงหนาน
ในวันนั้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว นางต้องการไปที่เจียงหนาน เพื่อชื่นชมทิวทัศน์ ดื่มชารสดี และฟังบทเพลงพื้นบ้านที่ไพเราะที่สุด
จากนั้นจะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลก
ทัวเป่าเจิ้นยังได้กล่าวว่า
เขาจะจดจำคำกล่าวเหล่านั้นไปตลอดชีวิต
และคงเป็นเพราะ เขาจดจำได้ จึงใช้วิธีนี้ลงโทษนาง
เว่ยหยางกล่าวว่า ต้องการที่จะเดินทางไปทั่วโลก เขาจึงตัดขาของนางทิ้ง
นางบอกว่า ต้องการที่จะเป็นจักรพรรดินี เขาจึงปลดนาง และโยนนางเข้าไปในวังเย็น
ทัวเป่าเจิ้น เจ้ามันช่างร้ายกาจ และเหี้ยมโหดเกินมนุษย์!
ภายใต้หลังคาของวังเย็น
หลี่เว่ยหยางหรี่ตาลงเล็กน้อย
หลังจากนั้น ทัวเป่าเจิ้นได้แต่งตั้ง หลี่จางเล่อขึ้นเป็นจักรพรรดินี และแต่งตั้งบุตรชายของนาง ให้เป็นองค์รัชทายาท
ตลอดชีวิตของผู้คนเหล่านั้น พบแต่ความสุขสบาย มีเกียรติยศ และอำนาจล้นแผ่นดิน
ในขณะที่หลี่เว่ยหยางถูกลืมเลือน และถูกทอดทิ้งให้ต้องโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
การมีชีวิตอยู่ เป็นเพียงการอดทน เพื่อรอลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น
เว่ยหยางสัญญากับตนเองเอาไว้ว่า จะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าหลี่จางเล่อ จะต้องอยู่ไปอีกนาน อยู่ให้นานกว่าหลี่จางเล่อ!
จากนั้นประตูของวังเย็นได้ถูกเปิดออก หลี่เว่ยหยางมองเห็นแสงจาง ๆ ผ่านรอยแตกของ
ประตูนั้น
“หลี่เว่ยหยาง คุกเข่ารับราชโองการ!”
คุกเข่า เช่นนั้นหรือ? คิดก่อนที่จะกล่าวหรือไม่? ขาของนางด้วน จะคุกเข่าได้อย่างไรกัน?
หลี่เว่ยหยางมิเข้าใจในสิ่งที่ชายผู้นั้นกล่าว น้ำเสียงของเขาแหบมาก แต่ยังแหลมติดหู
นางถูกผู้ใดบางคน ลากออกไปที่บริเวณทางเดินของห้องโถง
“ฝ่าบาทมีราชโองการ: จักรพรรดินีหลี่ที่ถูกปลด มิมีคุณธรรม และมิได้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป
เป็นเพราะ นางสาปแช่งจักรพรรดินี องค์ใหม่ทั้งกลางวันและกลางคืน จึงประทานเหล้าพิษ เพื่อเป็นการลงโทษ!”
และยังกล่าวต่ออีกว่า
“มเหสีหลี่ อย่าได้กล่าวโทษผู้อื่น จักรพรรดินีมีความรู้สึกหวาดกลัว กระสับกระส่าย และกระวนกระวายใจ นอนมิหลับทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน
จักรพรรดิ์สอบถามโหรหลวง และได้ทำนายว่า ชะตาของท่านแรงเกินไป และเป็นภัยต่อจักรพรรดินี
จึงสมควรที่จะอำลาโลกใบนี้!”
เหล้าพิษ แน่นอนว่ามันต้องเป็นเหล้าพิษ!
ชีวิตของนาง เสียเวลาไปกับการเป็นภรรยาที่ดี และทำทุกอย่างเพื่อเขา นางเป็นจักรพรรดินีที่ดี
ในสนามรบ เว่ยหยางมิเคยสนใจสุขภาพของตนเองเลย นางเดินทางไปชายเเดนบ่อยครั้ง เพื่อให้กำลังใจเหล่าทหาร
เมื่อเกิดภัยธรรมชาติ นางบริจาคเงิน และทองคำให้กับประชาชนในทันที
แม้ว่าทัวเป่าเจิ้นจะโกรธนาง แต่ก็ช่วยชี้ให้เขาเห็น และช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของเขา
เว่ยหยางปฏิบัติต่อบรรดาสาวใช้ และเหล่าขันทีในวัง ด้วยความเมตตากรุณา
แต่ในตอนนี้ เกิดอันใดขึ้นกับนาง?
เมื่อต้องพบกับความโชคร้าย มิมีผู้ใดแม้สักคน จะมาคอยช่วยเหลือนาง
หลี่เว่ยหยางหัวเราะเหมือนคนเสียสติ
“ทัวเป่าเจิ้น,หลี่จางเล่อ พวกเจ้าทำได้ดี! พวกเจ้าปฏิบัติต่อข้าได้ดีมาก!
ในชาติหน้า ข้า 'หลี่เว่ยหยาง' ขอสาบานว่า จะมิก้าวเข้าวัง และจะมิเป็นจักรพรรดินีเด็ดขาด!”
ขันทีอาวุโสมองไปยังจักรพรรดินีหลี่ที่ถูกปลด ด้วยความสงสาร และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ลากนางลงมา”
เสียงของหลี่เว่ยหยางดังออกไปหลายลี้ น้ำเสียงนั้นสั่นสะท้าน และเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน
เสียงนั้นฟังดูเหมือนคำสาป ที่มิมีที่สิ้นสุดเต็มไปทั่วทั้งวัง ทำให้เกิดความกลัวในจิตใจของผู้คน . . .