ตอนที่ 35 มุ่งสู่ทางเหนือ
เด็กเฝ้ายามพาหวังเซิ่งเดินไปตามถนนเก่า หวังเซิ่งไม่สนใจสิ่งก่อสร้างเก่าและคนที่หิวตายข้างถนน เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมา สูดเต็มปอดและกล่าว
“เห้ย เจ้าหนู นายอายุเท่าไร?” เด็กเฝ้ายามมีผิวเข้ม ผอมแห้ง สูงไม่ถึง170เซนติเมตร เขามองหวังเซิ่งด้วยความอิจฉาและกล่าว“ผมอายุ16ปีครับ” “16ปี?ตอนฉันอายุเท่านาย ฉันก็เป็นทหารรับจ้างถือปืนและออกสู้กับสัตว์กลายพันธุ์แล้ว”หวังเซิ่งยิ้ม ดูเหมือนจะนึกถึงวัยเด็ก แต่เมื่อเขาอายุ16ปี เขาก็เป็นชายร่างกำยำสูงกว่า180เซนติเมตรแล้ว
เด็กเฝ้ายามรู้สึกยินดีเล็กน้อยกับคำพูดของหวังเซิ่ง เมื่อคิดๆดู นี่อาจเป็นอารมณ์ที่หาได้ยากจากชายร่างโตคนนี้“ผม....ผมเองก็เป็นสมาชิกของหน่วยรักษาความปลอดภัยของเขตปลอดภัย ผมรับผิดชอบการเฝ้าป้อมยาม ผมเฝ้ามองสัตว์กลายพันธุ์วิ่งลงมาจากภูเขาทางเหนือทั้งวันทั้งคืน แม้ผมจะไม่มีปืนแบบทหารรับจ้าง ผมก็ยังมีอาหารให้กินจนอิ่มท้อง”
“ใช่”หวังเซิ่งปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดความสุขของคนที่เติบโตในสถานที่อันตรายและแห้งแล้งอย่างเขตปลอดภัย ในถิ่นทุรกันดาร คนที่ใช้ชีวิตได้นับว่ามีความสุขสุดแล้ว
หวังเซิ่งบอกเด็กหนุ่มว่าเขากำลังหาตัวอู่ฉี เด็กหนุ่มจึงพาหวังเซิ่งเดินมาจนถึงย่านB ย่านBมีบ้านที่ดีสุดในเมือง มีอาคารทรงเก่า6ชั้น2หลังตกแต่งด้วยอิฐขาวและตะแกรงซีเมนต์อยู่ตรงกลาง อาคารข้างพวกมันเป็นเศษซากไปแล้ว แท่งเหล็กและวัสดุอื่นที่สามารถใช้ได้ถูกนำมาใช้ตลอดห้าสิบปี ของที่ใช้งานไม่ได้จะถูกกวาดทิ้ง เผยให้เห็นพื้นที่โล่งกว้างกว่า20ตารางเมตรด้านนอกอาคารสองหลัง
เพียงเมื่อหวังเซิ่งกำลังจะขึ้นชั้นสอง เสียงเท้าก็ดังจากชั้นหนึ่ง หวังเซิ่งจึงยืนรอตรงนั้น
เงาสองร่างปรากฏตรงปลายบันไดชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เปิดประตูเหล็กเดินออกมา
หยางตงเฉินสวมชุดเรียบง่าย ไม่แตกต่างจากเดิม อู่ฉีเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาแล้ว เขาแบกดาบยาวที่ห่อด้วยหนังสัตว์และกระเป๋าไว้ มีเงาสีแดงกระโดดไปมารอบเท้าเขา มันคือจิ้งจอกแดงตัวน้อยแสนน่ารัก ฉีเยวี่ย
“หัวหน้าหวัง?”อู่ฉีแปลกใจเล็กน้อย
“ไง เจ้าหนู หายดีแล้วงั้นหรอ?”หวังเซิ่งถาม
“เขาสบายดีมาก”หยางตงเฉินชี้อู่ฉี
อู่ฉียังมองหวังเซิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง“คุณช่วยผมไว้ ขอบคุณครับ”
หวังเซิ่งโบกมือ“ไม่ต้องขอบคุณ นายก็ช่วยเราไว้เหมือนกัน”
หลังจากนั้น หวังเซิ่งก็มองอู่ฉีด้วยสายตาจริงจังอีกครั้ง หลังประสบกับการต่อสู้ในอุโมงค์มา เขาก็มองเด็กหนุ่มคนนี้เป็นชายผู้ทรงพลังที่สามารถยืนได้ทัดเทียมกับเขาแล้ว
“ฉันขอพูดมันตรงๆเลยละกัน อู่ฉี ฉันกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อชวนให้นายไปกับเรา” หลังหวังเซิ่งพูดจบ เขาและหยางตงเฉินก็มองอู่ฉี อู่ฉีไม่รู้สึกแปลกใจอะไร ราวกับเขาไม่ได้ถูกชักชวน เด็กเฝ้ายามมองชายร่างใหญ่สองคนสลับกับอู่ฉีด้วยสายตาอิจฉา
“รอเดี๋ยว ผมอยากไปหาลุงอันยี่ก่อน”อู่ฉีกล่าว
หวังเซิ่งพยักหน้า
ที่ที่อันยี่อยู่ห่างไปไม่ไกล แค่อาคารอีกหลังในย่านBแห่งนี้ เด็กเฝ้ายามรอพวกเขาอยู่ชั้นล่าง
หวังเซิ่ง หยางตงเฉินและอู่ฉีเดินขึ้นบันไดไป เมื่อมาถึงประตูห้องหนึ่งของชั้นสอง หวังเซิ่งก็ทำท่าว่าเขาจะรออยู่ด้านนอก และอู่ฉีก็เดินเข้าไปกับหยางตงเฉิน
ส่วนแรกเป็นห้องนั่งเล่นว่างเปล่า ในห้องนั่งเล่น นอกจากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นน้อย ของเครื่องใช้ในยุคอารยธรรมถูกย้ายออกไปเพราะใช้งานไม่ได้ ทำให้ห้องนั่งเล่นมีพื้นที่เหลือเฟือ กำแพงเป็นสีขาวบริสุทธิ์หายาก กำแพงขาวเรียบเนียนเช่นนี้นับว่าหายากมากในเมืองเก่า
อู่ฉีเดินเข้าไปในห้องนอนและเห็นอันยี่ อันยี่นอนบนเตียงใหญ่ด้วยตาที่ปิดสนิท คลุมด้วยผ้านวมผืนหนา ร่างส่วนใหญ่เขาฝังใต้ผ้าห่ม เหลือแค่หัวและแขนสองข้างที่เผยออกมา เทป สำลียาติดรอบแผนเขาเพื่อปิดบาดแผลที่ถูกกิ้งก่าฉลามกัน ผ่านเทปใส อู่ฉีเห็นจุดสีเขียวบนแขนอันยี่ได้ผ่านเทปใส
จุดเขียวเหล่านั้นคือจุดราสีเขียวปะปนกับจุดสีม่วง มันกระจายอยู่ทั่วแขน จุดประเภทนี้สามารถเห็นได้แค่บนซากศพเน่าของมนุษย์หรือสัตว์เท่านั้น ซึ่งดูน่าเกลียดน่ากลัวมาก
“ระหว่างการรักษานาย ฉันเองก็รักษาเขาด้วย น่าเสียดาย เขาโชคร้ายและติดเชื้อไวรัส”หยางตงเฉินกล่าวจากด้านข้าง
“ลุงอันยี่กลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน?”อู่ฉีถาม ดวงตาเขาจับจ้องจุดเขียวบนแขนอันยี่ตาไม่กระพริบ
“มีสัญญาณเมื่อห้าวันก่อน ตอนนี้ไวรัสกระจายไปทั้งตัวเขาแล้ว เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”
สิ้นเสียง อู่ฉีก็รู้สึกหดหู่ เขากำหมัดโดยไม่รู้ตัวและจากนั้นก็ค่อยๆคลายมัน
“ทำไม?ไหนว่ามนุษย์เลือดบริสุทธิ์ไม่กลัวไวรัส?”เขาถาม
“ไวรัสในสายพันธุ์แพร่ระบาดแตกต่างจากไวรัสในอากาศ อาหารและน้ำ มันรุนแรงกว่ามาก หลังสู้กับไวรัสอยู่สองวัน ระบบภูมิคุ้มกันในร่างของอันยี่ก็ล้มเหลวและถูกทำลายโดยไวรัส”หยางตงเฉินอธิบาย“ฉันได้พยายามสุดความสามารถเพื่อกำจัดแบคทีเรียกลายพันธุ์ แต่อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ฉันมีก็ทำได้แค่นั้น ฉันไม่สามารถกำจัดไวรัสได้”
“หากนายมีอะไรอยากคุยกับเขา ก็รีบพูดซะเถอะ”หลังจากนั้น หยางตงเฉินก็ออกเดินไปพร้อมปิดประตู
เหลือเพียงอู่ฉีกับอันยี่ในห้อง ม่านสีเหลืองซีดปกคลุมหน้าต่างครึ่งหนึ่ง และท้องฟ้าด้านนอกก็เต็มไปด้วยเมฆสีเทาหนา เหมือนฝนกำลังจะตก อากาศด้านนอกชื้นมาก แม้จะมีหน้าต่าง อู่ฉีก็ยังสัมผัสได้ถึงความหดหู่ด้านนอก
อู่ฉีเดินไปข้างๆอันยี่ เปลือกตาเขาสั่นเล็กน้อย และค่อยๆลืมตาขึ้น
“อู่ฉี”เสียงของอันยี่อ่อนแรงมาก ไม่เข้ากับร่างกายแข็งแกร่งของเขาที่ผ่านการเสริมพันธุกรรมมา เขาเหมือนผู้ป่วยติดเตียงมาเป็นสิบปีและขาดอากาศหายใจ
“ลุงอัน หวังเซิ่งมาชวนผมให้ไปกับพวกเขา”อู่ฉีมองไปในดวงตาแสนเหนื่อยล้าของอันยี่ ไม่มีการแสดงความเศร้าเสียใจบนหน้าเขา และไม่มีอะไรในดวงตาสีดำคู่งามของเขาเลย
สำหรับคนที่กำลังจะตาย นี่เป็นใบหน้าที่เย็นชาและเลือดเย็นมาก แต่อันยี่กลับแย้มยิ้ม เขาและอู่ฉีเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน พวกเขาแค่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น การที่อู่ฉียังอุตส่าห์มาหาเขาก่อนจากไปก็นับว่าเกินพอแล้ว
“ไปกับพวกเขาเถอะ”