ตอนที่ 33 บาดแผล
วินาทีที่จิตสำนึกตื่น เขาก็สามารถรับรู้โลกรอบตัวได้อย่างเลือนราง ทุกตารางนิ้วของโลกนี้เป็นสีแดง จุดสีส้มขาวเปล่งแสงบิดเบี้ยว เปลี่ยนแปลงไม่หยุดในโลกสีแดง เว้นแต่แสงสีแดง ไม่มีอะไรคงอยู่เป็นเวลานาน
โลกประเภทนี้คงอยู่เป็นเวลานาน และทันใดนั้น โลกสีแดงก็เริ่มมีอุณหภูมิ มีลมกระโชกแรง อุณหภูมิของอากาศสูงมาก ซึ่งร้อนกว่า100องศา ทุกครั้งที่มันพัด มันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดเหมือนโดนไฟเผา ความเจ็บปวดกระแทกกับจิตสำนึกที่ยังสับสน และสุดท้าย จิตสำนึกที่สับสนก็เริ่มกระจ่างชัด
ท่ามกลางความยุ่งเหยิง ชิ้นส่วนความทรงจำนับไม่ถ้วนปรากฏตรงหน้า เหมือนเศษกระดาษ เชื่อมต่อกันเป็นเหมือนสายใยเครือข่ายนับไม่ถ้วน ขอบของเศษกระดาษเชื่อมต่อกันเพื่อสร้างเป็นกระดาษขาวสมบูรณ์แบบ แต่ก็จำเป็นต้องขยับและจัดเรียงเศษกระดาษให้เป็นระเบียบตามเส้นเครือข่าย นี่เป็นเรื่องยากมากสำหรับเจ้าของจิตสำนึก
ในเวลาเดียวกัน ความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามา มันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กดทับเหมือนมหาสมุทรกว้าง แรงกดดันดูเหมือนจะบดขยี้กระดาษและเครือข่ายของความทรงจำนี้ ทำให้เจ้าของจิตสำนึกถูกผลักกับไปยังคุกมืดไร้สิ้นสุด
เมื่อจิตสำนึกนี้มาถึงขอบเหว แสงสีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏออกจากอากาศในโลกสีแดงนี้ มันเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์สดใส ขับไล่อากาศร้อนออกไป มีผมสีน้ำตาลแดงยาวสลวยในแสงสีขาว พร้อมด้วยรอยยิ้มน่ามอง แต่เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าส่วนอื่นนอกจากสองสิ่งเหล่านี้ได้ ถึงกระนั้น จิตสำนึกนี้ก็ได้รับพลังมหาศาลจากใบหน้าที่มองไม่เห็นของหญิงสาวผู้นี้ พยายามอย่างหนักเพื่อต่อต้านความเจ็บปวด และจากนั้นก็ใช้พลังเพื่อประกอบชิ้นส่วนความทรงจำเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
หลังชิ้นส่วนความทรงจำประกอบเข้าด้วยกัน จิตสำนึกนี้ก็เหมือนคนที่พุ่งขึ้นจากใต้น้ำ หยดน้ำในภาพฝันยังติดอยู่ในวิสัยทัศน์เลือนรางและค่อยๆไหลจากบนลงล่าง เจ้าของจิตสำนึกนี้ได้สูดหายใจเป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่เขาเข้าใจหลังชิ้นส่วนความทรงจำเรียงร้อยกันก็คือ เขาเป็นใคร
ฉันคืออู่ฉี และฉันยังไม่ตาย
กระดาษความทรงจำที่ถูกปะติดปะต่อหายไป สายใยเครือข่ายหายไป โลกสีแดงและอากาศร้อนหายไป วิสัยทัศน์จริงเริ่มจากแสงสีขาวพร่ามัว การรับรู้แสงฟื้นคืน การรับรู้สีฟื้นคืนและในที่สุดเพดานสีเทาก็ทักทายเขา
เหลือเพียงความเจ็บปวด อู่ฉีรู้สึกถึงมันเล็กน้อย เขาได้รับเสียงตอบรับจากกล้ามเนื้อและกระดูกทุกส่วนในตัวเขา
เขาจำได้ ในรังสายพันธุ์แพร่ระบาด เมื่อยักษ์จอมทำลายกำลังจะปล่อยรังสีความร้อนที่สามารถทำลายได้ทั้งกลุ่มทหารรับจ้างปืนดำ เขาได้กระโดดขึ้นไปบนตัวคล้ายเตาหลอม แทงดาบยาวใส่หน้ามัน แต่ก็ไม่รู้ส่วนที่เหลือ
การเอาชีวิตรอดคือกฏข้อแรกของการลงมือทำอะไรก็ตาม และการกระทำทั้งหมดต้องวนรอบเป้าหมายสุดท้ายอย่างการเอาชีวิตรอด นี่คือสิ่งที่พี่สาวรั่วหรงเฝ้าสอนเข้าซ้ำๆ มันฝังลึกลงในกระดูกเขา แต่ตอนนั้น เขากลับกระโจนออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว พุ่งเข้าไปในเตาหลอมต้องห้าม
สำหรับเหตุผล มันอาจเพราะเขาไม่อยากเห็นกลุ่มทหารรับจ้างปืนดำกับกลุ่มทหารรับจ้างของเขตปลอดภัยต้องตายอีก และไม่อยากหนีไปลำพัง
สิ่งที่อู่ฉีกังวลก็คือ ต่อให้เขาละทิ้งคนอื่น เขาก็ยังเอาชีวิตรอดได้เงียบๆ สำหรับคนอื่น พวกเขาอาจหนีออกจากอุโมงค์ได้บ้าง แต่ก็ต้องหลงทางในภูเขาและจากนั้นก็ตายในปากของสัตว์กลายพันธุ์ แต่สำหรับเขา การเข้าภูเขาอีกลูกไม่ได้หมายถึงลูกแกะที่เข้าปากเสือ แต่เหมือนปลาได้ลงน้ำ
อู่ฉีคำนวณว่าโอกาสที่เขาจะตายคือ101%หลังขึ้นไปบนตัวยักษ์จอมทำลาย
เขาจะถูกเปลี่ยนเป็นมนุษย์ถ่านหินและตายอย่างที่ควรจะเป็น แต่ตอนนี้เขากลับรอดชีวิต ซึ่งพูดได้ว่ามันเป็นปาฏิหาริย์
อู่ฉีส่งเสียงครางเบาๆ พบว่าทั่วตัวเขาถูกห่อด้วยผ้าพันแผลสีขาว ภายใต้ผ้าพันแผล มียาเย็นๆทาทั่วตัว มันต้องเป็นยาสำหรับแผลเผาไหม้ ร่างยังขยับได้ ไม่ได้พิการแต่อย่างใด ดังนั้นอู่ฉีจึงใช้พลังที่เหลือในร่างเพื่อลุกขึ้นนั่ง
จากนั้นอู่ฉีถึงเห็นห้องทั้งหมด นี่คือห้องนอนทั่วไปในยุคอารยธรรม มีเฟอร์นิเจอร์วางอยู่ในที่ที่ควรจะวาง ยกเว้นรอยแตกบนกำแพงสีเหลืองและกระถางต้นไม้ข้างหน้าต่างที่แห้งเหี่ยวมานานหลายปี มันบ่งบอกถึงอายุของห้องนี้
นี่ไม่ใช่ห้องที่อู่ฉีเคยเช่าในเขตปลอดภัย
ประตูไม้เก่าสีเหลืองพลันเปิด คนๆหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังประตู มันคือโจวฉิง
โจวฉิงไม่ได้สวมชุดทหารรับจ้าง แต่กลับเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อผ้าธรรมดา ใบหน้าเขาดูซูบผอมกว่าตอนก่อนออกเดินทาง และสามารถเห็นรอยคล้ำใต้ตาเขาได้
ในความเป็นจริง เขาเอาแต่เฝ้ากังวลถึงอู่ฉีตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยาที่ทาบนตัวและผ้าพันแผลส่วนใหญ่ก็ถูกเปลี่ยนโดยเขา
“ผมหลับไปนานแค่ไหน?”อู่ฉีถาม การรอดชีวิตนับเป็นปาฏิหาริย์ อู่ฉีไม่คิดว่าเขาแค่งีบหลับไป
“สามคืนสี่วัน มันดีแล้วที่นายฟื้นขึ้นมา”มุมปากของโจวฉิงยกขึ้นเล็กน้อย แต่ทั้งหน้ายังแสดงความหดหู่ เห็นได้ชัดว่าภายใต้แรงกดดันของบางสิ่ง มันยากที่เขาจะมีความสุขได้
อู่ฉีไม่สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆของโจวฉิง เขาสามารถตรวจพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของสัตว์ได้ แต่ไม่มีการรับรู้ความรู้สึกของมนุษย์ เขาเหลือบมองซ้ายขวาก่อนกล่าว“ดาบผมอยู่ไหน?ฉีเยวี่ยอยู่ไหน?” โจวฉิงกล่าว“รอสักครู่”
สองนาทีต่อมา โจวฉิงก็นำดาบยาวของอู่ฉีเข้ามาในห้อง จากนั้นเงาสีแดงเพลิงคุ้นเคยก็กระโจนขึ้นมา ทิ้งตัวบนท้องของอู่ฉี
อู่ฉีจุก แต่ก็ทำได้แค่ฝืนยิ้ม รับดาบยาวมาจากโจวฉิง ดาบยาวไม่ได้ถูกทำลายโดยลาวา มันยังเป็นเหล็กเย็นเหมือนเดิม ต่อให้แสงแดดจะส่องบนดาบ ตัวดาบก็ยังเย็นไม่เปลี่ยน
อู่ฉียกมือขึ้นลูบฉีเยวี่ย ลูบขนนุ่มนิ่มแสนอบอุ่นของมันผ่านผ้าพันแผล ฉีเยวี่ยหลับตาพริ้ม ส่งเสียงพึงพอใจ ปากมันฉีกยิ้มกว้างเหมือนมนุษย์
โจวฉิงส่งถาดอาหารที่มีชามสองชามใหญ่และช้อนให้ ชามหนึ่งเป็นข้ามต้มผัก อีกชามคือซุปข้นร้อน ซึ่งดูเหมือนจะถูกต้มจากเนื้อกระป๋อง
อู่ฉีหิวมาก เมื่อเขาเห็นอาหารตรงหน้า เซลล์ทั้งหมดบนตัวเขาก็ดูเหมือนจะถ่ายพลังไปที่มือ พยายามคว้าพวกมันมาเขมือบ