เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ บทที่ 15: นางเอกโม่ชืออวิ้น
บทที่ 15: นางเอกโม่ชืออวิ้น
วันหยุดเจ็ดวันที่เจี่ยนอีหลิงได้รับมานั้น ห้าวันผ่านไปในชั่วพริบตา ระหว่างช่วงเวลานี้เจี่ยนอีหลิงยุ่งมาก
นอกจากการรับมือฉินชวนที่มาทุกวันแล้ว เจี่ยนอีหลิงก็ยังต้องใช้อุปกรณ์สื่อสารอย่างเช่นคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือบ่อยครั้งเพื่อสื่อสารกับคนที่ไม่รู้จักอีกหลายคน
มีสองสิ่งที่เจี่ยนอีหลิงจะต้องทำในตอนนี้ก็คือ หนึ่ง รักษาแขนของเจี่ยนหยุ่นน่าว และป้องกันไม่ให้เขาตกอยู่ในโลกอันมืดมนในอนาคต ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ไม่เสถียรส่งผลต่อเธอและอาจจะทั้งตระกูลเจี่ยน
สอง ก็คือการค้นหาเทปบันทึกภาพที่หายไป ในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมา เจี่ยนอีหลิงได้สืบสวนและรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ตรงที่เจี่ยนหยุ่นน่าวได้เกิดอุบัติเหตุ แต่ว่าเทปบันทึกภาพได้หายไปโดยไร้ร่องรอย
ตระกูลเจี่ยนไม่ได้พบเห็นปัญหานี้ และพวกเขาก็ถึงกับไม่รู้ว่ามีกล้องคอยตรวจจับที่ระเบียงที่ซึ่งอุบัติเหตุได้เกิดขึ้น เพราะว่าคำบอกเล่าของเจี่ยนหยุ่นน่าวนั้นเพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา
เจี่ยนอีหลิงคนเดิมก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับกล้องตรวจจับ และเธอก็ลังเลที่จะพูดให้มากขึ้นในการอธิบายให้กับตระกูลของเธอฟัง
ด้วยจิตใจอันดื้อรั้น เธอได้ตะโกนใส่คนในตระกูลว่า “ใช่ หนูทำ พ่อแม่จับหนูไปขังได้เลย หรือไม่ก็ตัดมือหนูไปชดเชยให้กับเขาก็ได้”
ในวันนี้เจี่ยนหยุ่นเฉิงตั้งใจที่จะให้เจี่ยนอีหลิงได้พัก จากนั้นจะได้พาเธอไปเยี่ยมเจี่ยนหยุ่นน่าวที่โรงพยาบาล
เมื่อออกไปข้างนอก เจี่ยนอีกหลิงถือกระเป๋าใบเล็กๆ ซึ่งพองแน่นราวกับว่ามีสิ่งต่างๆบรรจุไว้ในนั้นมากมาย
เจี่ยนหยุ่นเฉิงเห็นเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย เป็นเรื่องปกติสำหรับกระเป๋าเป้ของเด็กผู้หญิง
ทันทีที่เจี่ยนหยุ่นเฉิงขับออกไปจากบ้านตระกูลเจี่ยน เขาก็เห็นโม่ชือวิ้นรอรถโดยสารประจำทางอยู่ที่ข้างถนน
วันนี้เป็นวันหยุด และโม่ชืออวิ้นก็อยู่บ้านในวันหยุด
เธอถือกล่องอาหารเที่ยงซึ่งดูเหมือนว่าจะเตรียมไว้ให้เจี่ยนหยุ่นน่าว
ตระกูลเจี่ยนอยู่ในพื้นที่พักอาศัยระดับกลาง มีรถประจำทางไม่กี่คันที่นี่ และมีเพียงไม่กี่รอบเท่านั้นในแต่ละวัน
เจี่ยนหยุ่นเฉิงหยุดรถและเลื่อนกระจกหน้าต่างลง
“ขึ้นมา”
เจี่ยนอีหลิงที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังได้เห็นโม่ชืออวิ้นเป็นครั้งแรก เธอก็เหมือนกับที่อธิบายไว้ในหนังสือนิยายต้นฉบับ เธอทั้งสวยและชวนมอง
ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสีพีช(ชมพูอมส้ม) ดูโดดเด่นและให้ความรู้สึกสนิทสนม
แตกต่างจากเจี่ยนอีหลิง เพราะว่าใบหน้าของเธอบอบบางละเอียดอ่อนจนเกินไป ประกอบกับบุคลิกที่แข็งแกร่งและดื้อรั้นของเธอ ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดเข้ากับเธอได้ยากทันทีที่ได้เห็น
“นายน้อย ฉันจะไปด้วยตัวเอง…” โม่ชืออวิ้นปฏิเสธคำเชิญของเจี่ยนหยุ่นเฉิงอย่างระมัดระวัง
เสียงของเธอหวาน นุ่มนวล และสุภาพ
“เราก็กำลังจะไปที่โรงพยาบาลด้วยเหมือนกัน และฉันก็ไม่ต้องการให้น้องชายของฉันกินอาหารเย็นชืด” เจี่ยนหยุ่นเฉิงกล่าวตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม
เมื่อได้ยินสิ่งที่เจี่ยนหยุ่นเฉิงพูด โม่ชืออวิ้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ดังนั้นเธอจึงขึ้นไปบนรถ
เมื่อตอนที่เธอจะขึ้นไปบนรถ โม่ชืออวิ้นก็เห็นเจี่ยนอีหลิงนั่งอยู่ที่เบาะหลัง และเบาะข้างตัวของเจี่ยนอีหลิงก็กองเต็มไปด้วยเสื้อผ้า ซึ่งพวกเขาเตรียมที่จะนำไปให้กับสองคนที่อยู่ที่โรงพยาบาล
มีเพียงที่นั่งข้างคนขับที่ยังคงว่างอยู่ โม่ชืออวิ้นจึงจำเป็นที่จะต้องนั่งตรงที่นั่งคนขับ
ระหว่างทาง เจี่ยนหยุ่นเฉิงได้คอยสังเกตการแสดงออกของเจี่ยนอีหลิงที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังจากกระจกมองหลัง
เรื่องนี้เกิดขึ้นต้นตอมาจากโม่ชืออวิ้น ถ้าเจี่ยนอีหลิงได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นเธอก็ไม่ควรที่จะแสดงสีหน้าโกรธเมื่อเผชิญหน้ากับโม่ชืออวิ้น
เจี่ยนหยุ่นเฉิงไม่เห็นความโกรธของเจี่ยนอีหลิง เธอมองอยู่แต่โทรศัพท์มือถือของเธอเอง ไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังถูกเฝ้ามองและเหมือนกับว่าเธอไม่ได้แม้จะสังเกตเห็นว่ามีโม่ชืออวิ้นอยู่บนรถด้วย
เจี่ยนหยุ่นเฉิงค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของเจี่ยนอีหลิง
จากนั้นเจี่ยนหยุ่นเฉิงก็ถามโม่ชืออวิ้นเรื่องเกี่ยวกับเจี่ยนหยุ่นน่าวสองสามอย่าง
เจี่ยนหยุ่นเฉิงนานครั้งที่จะได้กลับบ้านในช่วงเวลาที่ผ่านมาสองปีนี้ และบางครั้งก็ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับน้องชายของเขามากเท่ากับโม่ชืออวิ้น
โม่ชืออวิ้นตอบคำถามเขาทุกคำถาม และพวกเขาก็พูดคุยกันได้ค่อนข้างดี