เล่ม1 : บทที่ 56 – สหายเลือด
กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 56 – สหายเลือด
โนอาห์เพ่งพลังงานจิตไปยังหุ่นโครงกระดูกแต่เขากลับไม่พบอะไรผิดปกติเกี่ยวกับมันเลย ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบห้อง ห้องสะอาดมากและว่างเปล่า กำแพงดูหนากว่าส่วนอื่นๆ
‘ที่นี่น่าจะเป็นห้องลับ ซึ่งหมายความว่าสมบัติน่าจะอยู่กับโครงกระดูก’
เขาเข้าไปใกล้ๆ บัลลังก์และตรวจสอบ บัลลังก์ไม่มีอะไรพิเศษ โครงกระดูกก็เช่นกัน เว้นแต่กล่องใบหนึ่งที่อยู่ในมือโครงกระดูก โนอาห์หยิบกล่องและเปิดมันออก ภายในเขาพบตำราที่บันทึกอักษรรูนอยู่ในนั้น
เกิดความคาดหวังขึ้นภายในจิตใจของโนอาห์เมื่อเขานั่งลงบนพื้นและเปิดตำราอ่าน
‘ฝูงสัตว์บุกเข้ามายังเขตนอก พวกมันมาที่นี่ตลอดเวลา ตระกูลแอสซีของข้าถูกทำลายแต่เราต้องเดินหน้าต่อฉะนั้นข้าขึงตัดสินใจเขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมาและประทับตราลงไปเพื่อทำให้ตำราเล่มนี้เป็นข้อความส่งท้าย’
จากประโยคสุดท้ายก็บังคับให้สมองของโนอาห์นึกคำหนึ่งขึ้นมา
‘การสืบทอด!’
‘ตระกูลของข้ามีชื่อเสียงในด้านศิลาจารึกและหุ่นเชิด มันเป็นศิลปะชั้นสูงที่บรรพบุรุษของข้ารุ่นก่อนๆ สืบทอดต่อกันมา แต่พลังในการต่อสู้ของมันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของศิลปะการต่อสู้เสียอีก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เรามาที่นี่ เราต้องการคงไว้ซึ่งลูกหลานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้และศึกษาการใช้งานศิลปะของเราให้มากขึ้น’
‘ทุกอย่างเป็นอย่างไปอย่างราบรื่นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง เรากำลังก้าวหน้าและลูกหลานของเราก็แข็งแกร่งขึ้นแต่ต่อมาเรากลับปลุกให้ราชาของที่นี่ตื่นขึ้นมา’
โนอาห์ตกใจไปชั่วขณะก่อนจะอ่านต่อ
‘ราชาหลับอยู่ใต้พื้นที่แห่งนี้พร้อมกับความเข้มข้นของ “ลมหายใจ” ที่สูงมาก และโกรธสุดๆ เมื่อรู้ว่ามีผู้บุกรุกอาณาเขตของตน มันส่งฝูงสัตว์เวทมนตร์มาโจมตีเราและอัครบิดรรุ่นก่อน พ่อของข้า เสียชีวิตระหว่างปกป้องเรา’
‘เราต้องหลบซ่อนอยู่ ณ ที่นี้ แต่ราชาไม่ต้องให้สัตว์ชนิดใดก็ตามที่ไม่ใช่งูอยู่ในอาณาเขตของมัน ดังนั้นเราจึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้’
โนอาห์จินตนาการบางสิ่งที่แข็งแกร่งกว่ามังกรที่เขาเคยพบตอนเด็กและขุดความคิดลึกลงไป ถ้าอัครบิดรของตระกูลขุนนางขนาดกลางไม่อาจเอาชนะราชาได้ แล้วเขาหวังว่าจะรอดได้อย่างไรกัน?
‘เราเหาะเหินเหมือนท่านพ่อไม่ได้และทางขึ้นไปข้างบนก็อยู่อีกฟากหนึ่งของหุบเขา ตระกูลของเราคงดำเนินมาถึงจุดจบ ข้าขอส่งต่อศิลปะขั้นสูงของเราที่มานะสร้างขึ้นมาให้แก่คุณ ข้าหวังว่ามันจะช่วยให้คุณรอดไปจากที่นี่และหวังว่าวันหนึ่งคุณจะกลับมาล้างแค้นเจ้าราชานั่นให้เรา ข้าชื่อ อุรียาห์ แอสซี และนี่คือความสำเร็จตลอดชีวิตของข้า’
สายตาของโนอาห์จดจ้องไปยังหน้าถัดไป
‘ฉันใช้มันได้! ฉันใช้คาถานี้ได้!’
คาถาระบุว่า ‘คาถาการบำรุงรักษาร่างกาย อันดับขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของสหาย ไม่จำเป็นต้องมีธาตุเนื่องจากคาถาจะแข็งแกร่งขึ้นหากจับคู่กับสัตว์เวทมนตร์ที่มีธาตุเดียวกับผู้ใช้ คาถาประกอบด้วยการแกะสลักรูปสัตว์เวทมนตร์ไว้บยร่างกายผู้ใช้เพื่อสร้างสหายเลือด สหายเลือดจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับสัตว์จริงๆ หากธาตุของมันตรงกับผู้ใช้เนื่องจากมันจะถ่ายเท “ลมหายใจ” เข้าสู่ร่างกายผู้ใช้ ขั้นตอนการสร้างสหายเลือดซับซ้อนและต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดมิฉะนั้นการจารึกจะล้มเหลว’
‘เพื่อสร้างรอยจารึกบนร่างกาย ผู้ใช้ต้องจุ่มของมีคมหรืออาวุธในเลือดของสัตว์เวทมนตร์จากนั้นก็ตัดสินใจและวาดภาพลงบนร่างกาย การวาดต้องทำใต้ผิวหนังดังนั้นผู้ใช้ต้องตัดผ่านผิวหนังเพื่อไปถึงความลึกที่เฉพาะ หลังจากวาดเสร็จ ผู้ใช้ต้องกินศูนย์กลางของพลังของสัตว์เพื่อทำให้ภาพที่วาดมีชีวิต ศูนย์กลางของพลังโดยทั่วไปแล้วคือเตาไฟของสัตว์ เมื่อภาพวาดมีชีวิต ผู้ใช้จะต้องยั้งพลังงานจิตจากนั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน’
มีตัวอย่างภาพวาดที่ไปถึงมาตรฐานที่จำเป็นของคาถาและภาพส่วนใหญ่มักเป็นภาพของอสรพิษที่ตระกูลแอสซีได้ทดลองกับภาพมามากมาย
ขณะเดียวกันรอยยิ้มอันสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าของโนอาห์
‘ทำได้แล้ว! คาถาแรกของฉัน! ต้องลองดูว่าธาตุจะตรงกันไหม’
คำอธิบายของคาถาแสดงรายการข้อดีและข้อเสียอย่างต่อเนื่อง
‘สหายเลือดสามารมโจมตีเองได้และเราสามารถควบคุมมันได้ ดังนั้นประสิทธิภาพของมันจึงเหนือกว่าหุ่นเชิดปกติ ผู้ใช้จะต้องแบ่ง “ลมหายใจ” พลังงานจิตให้กับมันและใช้บางส่วนเพื่อให้อาหารมันเป็นการฟื้นฟูร่างกาย แรงกดดันในทะเลแห่งสติของผู้ใช้จะเพิ่มขึ้นตามความรู้สึกของสหายเลือดซึ่งจะถูกแบ่งปันร่วมกับผู้ใช้ สัตว์จะตายลงในทันทีหากในหัวใจของมันมี “ลมหายใจ” หล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะเป็นการดีหากผู้ใช้ฆ่ามันเองเนื่องจากมันจะง่ายกว่าในการจำกัดส่วนสุดท้ายของขั้นตอน
เลือดของสัตว์จะต้องเต็มไปด้วย “ลมหายใจ” ของผู้ใช้เพื่อการควบคุมที่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุบเขาแห่งนี้จึงมีความหนาแน่นของ “ลมหายใจ” สูง เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การสร้างการจารึกประเภทนี้ หากต้องการกำจัดสหายเลือด ให้ฆ่ามัน’
มือของโนอาห์สั่นจากความตื่นเต้นที่เขารู้สึกและรุดรีบเก็บตำราไว้ในแหวนปริภูมิ
‘ฮ่าๆ! มันสมบูรณ์แบบสำหรับฉันที่สุดแล้วในตอนนี้! แต่จะเลือกสัตว์ตัวไหนดีล่ะ? งูไฟก็อ่อนแอเกินไปแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เจออันดับสามเลยสักตัว ส่วนงูดินก็ฝูงใหญ่เกินไปสำหรับฉันที่จะไปฆ่าหัวหน้าของพวกมันมันได้แบบเงียบๆ’
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และมองไปยังทิศทางที่เขามา
‘เจ้างูมีหงอนน่าจะรอดนี่ใช่ไหม?’