เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ บทที่ 3 ต้องยอมรับความผิดพลาดของตนเอง
FSTB บทที่ 3 ต้องยอมรับความผิดพลาดของตนเอง
ขณะที่เจียนอีหลิงออกจากห้องและเดินขึ้นบันได เวินน่วนก็เหลือบมองเธอจากชั้นล่าง
เมื่อสายตาของพวกเธอพบกัน เวินน่วนก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเศร้าเสียใจ ดุเหมือนว่าเธอต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่เธอก็กลับลังเล
ลูกสาวเธอเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเธอตั้งแต่ยังเล็ก แต่ทว่า…
เวินน่วนเริ่มร้องไห้ในอ้อมแขนของเจียนชูชิง เธอสะอึกสะอื้น “ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของฉัน ฉันเอาใจอี้หลิงมากเกินไป…”
เจี่ยนชูฉิงทำการตลาดมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่เขาไม่เคยขมวดคิ้วแต่วันนี้เหตุการณ์นี้ทำให้เขาตาแดงก่ำ
“นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของเธอแต่เป็นความผิดพลาดของฉันเช่นกัน โชคร้ายที่มันสายเกินไปตอนนี้มันสายเกินไปที่จะสอนเซียวหลิงให้ดี” เจี่ยนชูฉิงลูบหลังภรรยาของตนเองอย่างอบอุ่นอ่อนโยน
อารมณ์ของเจี่ยนชูฉิงยังคงไม่เสถียร เขายอมรับว่าในบรรดาเด็กๆทั้ง 4 คนเขาและภรรยาชื่นชอบลูกสาวคนเล็กมากกว่าไม่ใช่เป็นเพียงเพราะว่าเด็กคนนี้อายุน้อยที่สุดแต่ยังคงเป็นเพราะเธอเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวอีกด้วย
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รักเด็กอีก 3 คนที่เหลือ ลูกคนที่ 3 ไม่สบายใจและเศร้าโศกเมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
ทั้งคู่มองดูพวกเขาด้วยความเศร้าโศกเสียใจ โทษตนเอง และลังเล
สีหน้าแบบนั้นเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับเจี่ยนอีหลิน
ในชีวิตก่อนหลังจากที่พ่อแม่เดิมค้นพบพรสวรรค์ของเจี่ยนอีหลิง พวกเขาก็ทำสัญญากลับสถาบันวิจัยและเก็บเจี่ยนอีหลิงไว้ในสถาบันวิจัย เพื่อเป็นการตอบแทนสถาบันวิจัยก็จะให้เงินจำนวนมากให้กับพ่อแม่ของเจี่ยนอีหลินทุกปี
เจี่ยนอีหลินยากที่จะได้อยู่กับพ่อแม่และยากที่จะได้พบกันสัก 2-3 ครั้ง พวกเขามักจะมองดูเธอด้วยสายตาแปลกแยกและไม่ใส่ใจ กระทั่งคำพูดของพวกเขาก็เหมือนเป็นสูตรสำเร็จคล้ายกับคำพูดที่จำเอาไว้ ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูดวงตาของคนทั้งสองนี้ ภาพสะท้อนนั้นก็ได้ตราตรึงอยู่ในจิตใจของเจี่ยนอีหลิง และได้ส่งผลกระทบกับอารมณ์ของเธออย่างไม่อาจจะอธิบายได้
บางทีในเรื่องนี้พวกเขาอาจจะไม่เลือกที่จะเชื่อเจี่ยนอีหลิง แต่ความรักที่พวกเขามีต่อเจี่ยนอีหลิงนั้นเป็นของจริง
เวินน่วนผละออกจากอ้อมกอดของสามี วิ่งขึ้นบันไดมายังด้านเจี่ยนอี้หลิง
เจี่ยนอีหลิงอายุสิบห้าปีนั้นค่อนข้างตัวเล็กกว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเล็กน้อยเพราะว่าเธอเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด
เธอมีใบหน้าบอบบางเหมือนกับตุ๊กตาตัวเล็กๆ และถึงตอนนี้เธอก็ยังมีไขมันทารกติดอยู่บนใบหน้า
ในเวลานี้ เจี่ยนอีหลิงที่มีท่าทางเฉยเมยและเงียบทำให้ยิ่งเกิดความอึดอัดภายในใจของเวินน่วน
ด้วยน้ำเสียงเย็นชาเวินน่วนดุด่าเจี่ยนอีหลิงอย่างรุนแรง “เซียวหลิง ลูกต้องยอมรับความผิดพลาดของตนเองในครั้งนี้ พ่อของลูกและแม่กำลังจะไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมพี่สามของลูก ลูกต้องไปขอโทษเขา ขอให้เขาให้อภัย สิ่งที่ลูกทำนั้นมันเกินไป ถ้าลูกไม่แก้ไข ทั้งพ่อและแม่จะไม่ให้อภัยลูก”
เวินน่วนไม่เคยเข้มงวดกับเจี่ยนอีหลิงมาก่อน
เจี่ยนอีหลิงพยักหน้า
เจี่ยนอีหลิงรู้ว่าไม่มีความหมายในการที่จะยืนยันอธิบายตัวเองในขณะนี้
หากเธอยังคงยืนกรานที่จะปฏิเสธนั่นก็จะเป็นเพียงแค่การผลักดันตัวเธอเองเข้าสู่สถานการณ์ร้ายแรงเหมือนกับเจี่ยนอีหลิงในหนังสือนิยายต้นฉบับ
ในตอนเย็น เวินน่วนได้ขอให้ป้าอันทำซุปและอาหารอีกบางอย่าง หลังจากที่บรรจุพวกมันลงไปในภาชนะเก็บความร้อน พวกเขาก็พาเจี่ยนอีหลิงไปยังโรงพยาบาล
บ้านตระกูลเจี่ยนนั้นอยู่กลางภูเขา พื้นที่แถบนี้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของผู้มีอำนาจและอิทธิพลในเมืองเหิงเหย่วน
โรงพยาบาลที่เจี่ยนหยุนหนวนอยู่นั้นอยู่ห่างจากบ้านพวกเขาหากขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมง มันเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในเมืองเหิงเหย่วน
เมื่อพวกเขาไปถึงหอผู้ป่วยใน พ่อแม่เจี่ยนก็เห็นแขนของลูกชายถูกยกห้อยไว้ด้วยโครงโลหะ ใบหน้าของเขาซีดเผือดและไร้ชีวิตชีวา พวกเขารู้สึกเต็มไปด้วยความปวดใจ
ใบหน้าของสองพี่น้อง เจี่ยนหยุ่นน่าว และเจี่ยนหยุ่นเฉิง มีความคล้ายคลึงกันประมาณ 50% ต่างล้วนหล่อเหลาและเฉียบคม
แต่หากเปรียบเทียบกันกับพี่ชายคนโต เจี่ยนหยุ่นเฉิง รูปร่างหน้าตาเจี่ยนหยุ่นน่าวจะดูอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย
ตอนนี้ใบหน้าที่ดูอ่อนวัยกว่าบ้างนี้เต็มไปด้วยความเสียใจ ในดวงตาก็เกือบเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เจี่ยนหยุ่นน่าวอายุเพียงสิบเจ็ดปีในปีนี้ และอุบัติเหตุประเภทนี้ก็ได้ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างรุนแรง
เจี่ยนหยุ่นเฉิงซึ่งนั่งอยู่ข้างเขา มีใบหน้าเคร่งเครียดและเงียบขรึม
ใบหน้าเขาปกคลุมไปด้วยความมืดหม่น
“หยุ่นน่าว แม่ขอให้ป้าอันทำอาหารที่ลูกชอบ ลูกกินมันสักหน่อยไหม” เวินน่วนก้าวไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง ขยับไปอย่างนุ่มนวล
เจี่ยนหยุ่นน่าวหันหน้าหนี
เวินน่วนรู้ว่าลูกชายของเธอไม่พอใจ
เธอยังคงปลอบโยนเขาข้างเตียงอย่างระมัดระวัง หวังว่าเขาจะเปิดใจ
เจี่ยนหยุ่นเฉิงที่อยู่ถัดจากเขาบอกเวินน่วนว่า “โม่ชืออวิ้นมาที่นี่เมื่อครู่นี้ เธอนำอาหารบางอย่างมาเลี้ยงน้องสาม”