ตอนที่ 78 งานราตรี ตอนที่ 3
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
เย่เชียนเดินไปที่เปียโนและนั่งลงเขาตบไมโครโฟนจากนั้นพูดอย่างลื่นไหลว่า “ท่านแขกผู้มีเกียรติทุกท่านโปรดฟัง..เพลงที่ผมกำลังจะเล่นต่อจากนี้..ผมขอมอบให้กับผู้หญิงที่ผมรักและผมขอให้เธองดงามเฉกเช่นนี้ไปตลอดสามภพเจ็ดชั่วอายุคนและความรักของเราจะคงอยู่ตลอดกาลและไม่จะมีวันเปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันด์” เขาไม่ได้บอกว่าผู้หญิงคนนั้นที่เขาพูดถึงเป็นใครเพียงแต่กวาดสายตาอย่างช้าๆไปที่ฉินหยูจากนั้นก็จ้าวหยาแล้วก็หูวเค่อ
หญิงสาวทั้งสามนั้นอดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในภวังค์อันแสนโรแมนติกจากการแสดงออกของเย่เชียนพวกเธอแต่ละคนนั้นรู้สึกได้ว่าดวงตาของเย่เชียนนั้นกำลังจ้องมองมาที่เธอ และหัวใจของพวกเธอก็เริ่มหวั่นไหวและใจก็เต้นแรงอยู่ในอกอย่างไม่เป็นจังหวะ ฉินหยูมีความสุขในใจของเธออย่างมากแต่ด้วยนิสัยที่เป็นธรรมชาติของเธอนั้นทำให้รู้ว่าเย่เชียนพูดได้อย่างรื่นไหลเพียงใดแต่เธอก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเขาพูดความจริงจากใจหรือเปล่า ส่วนจ้าวหยาที่เป็นลูกสาวที่มีค่าของประธานบริษัทเทียนหยากรุ๊ปอย่างจ้าวเทียนห่าวนั้นไม่เพียงแต่เธอสวยและมีฐานะเท่านั้นเธอไม่ได้ขาดพรสวรรค์และความเยาว์วัยของเธอเลยดังนั้นเธอจึงเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มาก่อนจากพวกผู้ชายที่เพรียบพร้อมที่เข้ามาหาเธอและติดตามเธอ แต่เมื่อเธอได้ยินจากเย่เชียนที่สารภาพความรู้สึกของเขาต่อสาธารณะชนในครั้งนี้นั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงและทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์หลับไหลอย่างสมบูรณ์แต่เมื่อเธอนึกถึงการของพบกันครั้งแรกกับคนขี้โกงจอมฉวยโอกาสคนนี้และคิดว่าเขาทำเพื่อความสนุกไม่ได้ออกมาจากใจจริงจ้าวหยาก็ถูกดึงกลับมาในโลกแห่งคงามเป็นจริงในทันที แต่ทว่าตอนนี้หูวเค่อเหมือนล่องลอยอยู่บนนภาเธอที่อ่อนโยนและอ่อนไหวไปกับทุกสรรพสิ่งเธอทั้งเพรียบพร้อมและงดงามปานนางฟ้าแต่เธอก็ไร้ซึ่งคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับเธอและเธอที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเธอเป็นคนที่เขินอายเล็กน้อยและเธอก็ไม่เคยพบเจอใครที่เหมือนกับเย่เชียนมาก่อนในชีวิตของเธอ..แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เชียนถึงมองมาที่เธอและเรียกเธอว่าเป็นคนที่เขารักเนื่องจากวันนี้เป็นเพียงครั้งแรกที่เธอกับเขาได้พบกัน..ซึ่งเธอนั้นก็แอบเสียดายอยู่ลึกๆข้างในเล็กน้อยที่เธอเพิ่งจะเคยพบเจอกับเขา..และเธอก็คิดในใจว่าถ้าหากเย่เชียนไม่ได้รักเธอเขาก็คงจะเข้าหาเธอเพราะจ้าวหยาก็เป็นไปได้..
เย่เชียนนั้นไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งสามกำลังคิดอะไรกันอยู่ เขาเพียงพูดคำเหล่านั้นก่อนหน้านี้เพื่อความสนุกสนานและให้แขกเพลิดเพลินไปกับงานเหมือนในละครเหล่านั้นเพราะในทีวีที่มักจะมีฉากที่ชวนเคลิบเคลิ้มเหล่านี้เย่เชียนก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับสิ่งนี้เขาจึงพูดคำเหล่านั้นออกไปอย่างรื่นไหล เขาไม่ได้คาดหวังว่าผู้หญิงทั้งสามจะมีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาภายในหัวใจของพวกเธอ..
หลังจากเกริ่นนำแล้วนิ้วของเย่เชียนก็เริ่มเคลื่อนสบัดผ่านเปียโนอย่างช้าๆ หลังจากนั้นไม่นานทั้งสถานที่แห่งนี้ก็เข้าสู่ความเงียบงันมีเพียงเสียงร้องเพลงอันไพเราะของเย่เชียนและเสียงเปียโนเพียงเท่านั้นที่ดังออกมา เพลงที่เย่เชียนร้องคือเพลง ‘Li Xianglan’ ของ Jacky Chueng ท่วงทำนองที่ออกมาจากปากของเขานั้นราวกับเสียงแห่งสวรรค์ เย่เชียนบรรเลงไปด้วยความน่าหลงใหลและเศร้าโศกในคราเดียวกัน ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่โศรกเศร้าและเผยให้เห็นถึงความทุกข์ทรมาอย่างสมบูรณ์ เพลงที่เขาร้องได้นั้นมีเพียงไม่กี่เพลงและเพลงนี้ก็เป็นเพลงเดียวที่เขาสามารถบรรเลงมันด้วยเปียโนได้ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะเคยได้รับภารกิจหนึ่งที่ต้องแฝงตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงของนักธรุกิจชั้นแนวหน้าขอโลกและต้องปลอมตัวเป็นนักเปียโนและก่อนที่เขาจะออกปฏิบัติการเขาให้จางเสวโหย่วที่เป็นเจ้าของเพลงไปสอนเขาเป็นการส่วนตัวด้วยตัวเอง..
ฉินหยูและจ้าวหยาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพวกเธอไม่เคยคาดหวังว่าเย่เชียนจะเล่นเปียโนเป็นเช่นนี้และยังเล่นได้ดีขนาดนี้อีก หรือบางทีมันอาจเป็นเพียงเพราะหัวใจของพวกเธอที่เล่นตลกกับพวกเธอเองก็ได้เพราะเย่เชียนก็ไม่ได้เล่นดีถึงขั้นมืออาชีพแต่เพียงเพราะตัวของเขาเองเท่านั้นที่มีเสียงดั่งสวรรค์ที่ไพเราะดั่งต้นฉบับ ดังนั้นมันจึงปกปิดการเล่นเปียโนของเขาไปโดยสมบูรณ์และทันใดนั้นฉินหยูและจ้าวหยาต่างก็มองไปที่เย่เชียนราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พวกเธอรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าและความเคว้งคว้างที่อ้างว้างของเขาและพวกเธอรู้สึกว่าเขามีอดีตที่เจ็บปวดทรมานมามาก หูวเค่อเธอไม่รู้เกี่ยวกับเย่เชียนมากนักดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมและหลงไหลในน้ำเสียงของเย่เชียนและแล้วในที่สุดเธอก็คิดในใจว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์อย่างล้นหลามที่สามารถทำให้ฉินหยูตกหลุมรักเขาได้อย่างแท้จริง…
เหว่ยเฉิงหลงก๋รู้สึกพ่ายแพ้ในใจเพราะทักษะการเล่นเปียโนของเขากับเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่การแสดงของเย่เชียนทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก เขาจัดงานเลี้ยงในวันนี้ด้วยตัวเองเพื่อให้ฉินหยูประทับใจเท่านั้น หากคนอื่นเห็นว่าเขาไม่สามารถเอาชนะพนักงานรปภ.ธรรมดาๆได้ แล้วเขาจะมีหน้าไปพบปะกับผู้คนในอนาคตได้อย่างไร
หลังจากจบเพลงเย่เชียนก็โค้งคำนับอย่างสุภาพและสง่าผ่าเผยต่อบรรดาผู้ชมจากนั้นหญิงสาวทั้งสามก็ค่อยๆกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่เย่เชียนจะลุกจากไปเขาได้แอบสับขาตั้งและแกนเสียงของเปียโนไปสองสามครั้งการเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้ามากแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเหลือล้น ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ใช่ปรมาจารย์การต่อสู้ที่มีกำลังภายในเหมือนในนวนิยายก็ตาม แต่เขาก็มีความลับที่เป็นเอกลักษณ์ของทักษะของเขา การสัมผัสเบาๆที่ดูไม่เป็นอันตรายของเขานั้นทำให้สายเปียโนทั้งหมดในเปียโนแตกและเกือบฉีกขาด
พละกำลังนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมีแต่ต้องมีการฝึกเฉพาะเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงความแข็งแกร่งของขีดจำกัดของร่างกายตัวเองได้ เช่นการต่อสู้ทุกรูปแบบทั่วโลกนั้นแต่ละประเภทก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายที่ต่างส่วนกัน และแน่นอนพละกำลังที่แตกต่างกันออกไปมันต้องการมากกว่าแค่การฝึกฝนเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมและความเคยชิน ยกตัวอย่างเช่นหมัดหย่งชุนที่รวดเร็วและรุนแรงไปพร้อมๆกันซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำได้
“เธอร้องเพลงได้ดีมาก!” ฉินหยูชมเชยเบาๆเมื่อเย่เชียนเดินกลับมาถึงพวกเธอ
เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยนและกระซิบที่หูของฉินหยูว่า “คุณประทับใจมั้ย?..คุณอยากฟังมันเป็นการส่วนตัวมั้ยล่ะ?”
ฉินหยูจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความรำคาญเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ไม่โรแมนติกเสียจริงที่จะพูดสิ่งที่ดันทำลายบรรยากาศอันน่าอภิรมย์นี้ ในความเป็นจริงแล้วตอนนี้ฉินหยูนั้นต้องการที่จะบอกเขาและปลดปล่อยความรู้สึกที่อยู่ในใจของเธอออกมา แต่ด้วยคำพูดคำเดียวของเขา..มันจึงทำให้เธอไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดีเธอจึงทำได้เพียงแค่ปิดปากและไม่ได้พูดอะไรออกมา
เย่เชียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้และหันไปมองจ้าวหยาและยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดว่า “ตอนนี้เธอกำลังเสียใจหรอ? อย่าลืมคำสัญญาของเธอล่ะ..ถึงแม้ว่าฉันจะไม่อยากจูบเธอก็ตาม..แต่ฉันก็ต้องจำใจยอมรับมันเพื่อชัยชนะของฉัน”
จ้าวหยาพูดด้วยความโกรธเคืองว่า “การแข่งมันยังไม่จบเลยแล้วนายจะรู้ได้ยังไงว่านายจะชนะ..นายไม่มีความละอายเลยหรอ..ที่นายร้องเพลงเมื่อตะกี้นี้นายเหมือนผีที่โหยหวนเหมือนที่หมาเห่าหอนนี่ถ้าเป็นตอนดึกนายอาจทำให้ทุกคนหัวใจวายตายได้เลยนะ”
เย่เชียนหมดหนทางจนพูดไม่ออก ผู้หญิงคนนี้ปากร้ายมากและหัวรั้นจริงๆ แต่เย่เชียนเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมากเขามั่นใจว่าเขาต้องได้รับชัยชนะเขาจึงพูดกลับไปว่า “ถ้าเธออยากจะพูดแบบนั้นก็เชิญ แต่ถ้าเธอแพ้ขึ้นมาแล้วล่ะก็อย่ามาร้องไห้ให้ฉันเห็นนะ”
“ฉันจะไร้ยางอายขนาดนั้นได้ยังไง? อย่ามาไร้สาระ..ฉันบอกนายว่าทำใครก็ตามที่พ่ายแพ้คนคนนั้นก็คือลูกหมา!..หึ” จ้าวหยาพูดและหันหน้าหนีอย่างดื้อดึง
เย่เชียนรู้สึกไม่อยากจะโต้เถียงกับเธออีกต่อไปเนื่องจากผลลัพธ์ทั้งหมดกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ และเมื่อเขานึกถึงใบหน้าของจ้าวหยาที่เต็มไปด้วยความเสียใจในตอนนั้นเย่เชียนก็มีความสุขมากแทบจะทนไม่ไหว รอดูกันว่าเธอคนนี้จะยังคงฉุนเฉียวและเกรี้ยวกราดขนาดนี้ไหมเมื่อเวลานั้นมาถึง
เหว่ยเฉิงหลงหายใจเข้าอย่างลึกๆ และเดินไปที่เปียโนอย่างช้าๆ ‘เย็นไว้ๆ..ผ่อนคลาย..ไม่มีทางที่ฉันจะแพ้’ เหว่ยเฉิงหลงบอกกับตัวเองในใจ เหว่ยเฉิงหลงโค้งคำนับบรรดาแขกอย่างเคารพจากนั้นก็ค่อยๆนั่งลง หลังจากจัดเตรียมท่าแล้วนิ้วของเหว่ยเฉิงหลงก็ค่อยๆกดลงไปที่เปียโน
.
.
.
.
.
.
.
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm