ตอนที่ 35 มีทายาทในเร็ววัน
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
หยางหลิงชิงเองก็รู้ว่าหลงเฉินเพิ่งได้รับมอบผนึกมังกรไปราวสิบห้าวันเท่านั้น
เมื่อครั้งที่พวกเขาอยู่ที่ตลาดจอมยุทธ์ หยางหลิงชิงเคยรู้สึกว่าการที่หลงเฉินได้ผนึกมังกรไปช่างเป็นเรื่องเสียเปล่า เหตุเพราะหลงเฉินบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรเพียงขั้นห้าเท่านั้น
ด้วยทักษะยุทธ์ของหลงเฉิน หากเขาใช้เพียงแค่ผนึกมังกร หยางหลิงชิงก็คงไม่ตกตะลึงถึงเพียงนี้ แต่เขากลับสามารถใช้ผนึกมังกรลึกล้ำได้อีกด้วย
ในบรรดาคนตระกูลหยาง มีคนเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถใช้ผนึกมังกรลึกล้ำได้ ซึ่งก็คือผู้นำตระกูลหยาง หยางชิงเสวียน และหยางเสวี่ยชิง แต่เมื่อหลงเฉินสามารถใช้ผนึกมังกรลึกล้ำได้ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งจะบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหก ซึ่งด้อยกว่าหยางเสวี่ยชิงถึงสองขั้น!
และความสามารถนี้ก็ทรงพลังเสียยิ่งกว่าดัชนีที่สองของดัชนีสวรรค์ทมิฬที่ไป๋ซื่อเฉินฝึกฝนมาเสียอีก
เวลานี้ ภายใต้การโจมตีของยมโลกเก้าโคจร แม้ว่าคลื่นพลังของคู่ต่อสู้จะรุนแรงอยู่บ้าง ทว่าไป๋ซื่อเฉินยังคงไม่รู้ว่าหลงเฉินปลดปล่อยกระบวนท่าผนึกมังกรลึกล้ำออกมา
เมื่อผนึกมังกรลึกล้ำสำเร็จเสร็จสิ้น เงาร่างของมังกรศักดิ์สิทธิ์เก้าตัวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหลงเฉินก็ก่อร่างเป็นคลื่นพลังรุนแรงซึ่งเปล่งประกายสีแดงของพลังปราณรูปทรงมังกรโลหิต และพุ่งเข้าใส่ดัชนีที่สองของดัชนีสวรรค์ทมิฬในทันที คลื่นพลังที่ระเบิดออกมานั้นทรงพลังกว่าตอนที่หลงเฉินสู้กับไป๋ซื่อจีหลายเท่า
ความสามารถในการใช้ผนึกมังกรลึกล้ำของหลงเฉินนั้น แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปอย่างหยางหลิงชิงก็มองออกว่ามันทรงพลังยิ่งกว่ายมโลกเก้าโคจรของไปซื่อเฉินมากนัก สำหรับยมโลกเก้าโคจร ไป๋ซื่อเฉินกลับไม่เก่งกาจพอและไม่สามารถควบคุมมันได้มั่นคงนัก จึงเป็นเรื่องยากที่จะใช้กระบวนท่านี้เพราะไป๋ซื่อเฉินเองก็ยังไม่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นแปด
ทว่าหลงเฉินนั้นต่างออกไป เขาใช้ผนึกมังกรลึกล้ำได้สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าหยางชิงเสวียนเสียอีก แรงขับเคลื่อนที่น่าตกตะลึงผนวกกับกลิ่นคาวของมังกรกระหายเลือดจากร่างของเขาพลันคละคลุ้งออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับคลื่นพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
ด้วยสายตากังขาของไป๋ซื่อเฉิน เงาร่างมังกรศักดิ์สิทธิ์ที่หมุนวนได้ทำลายกระบวนท่ายมโลกเก้าโคจรที่ไม่สมบูรณ์นักของเขาจนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ เขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปยิ่งกว่าไป๋ซื่อจีเสียอีก
คลื่นพลังรุนแรงของมังกรพุ่งเข้าใส่จนสีหน้าของเขาซีดเผือดขณะที่เขาพยายามหลบหนีอย่างลนลาน แต่อย่างไรก็ตาม การโจมตีอันทรงพลังนั้นก็พุ่งชนไหล่เข้าอย่างจัง!
ไป๋ซื่อเฉินกระอักเลือดออกมาและชนเข้ากับก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ทันใดนั้น ก้อนหินก้อนใหญ่ก็พลันแหลกละเอียด แผ่นหลังของไป๋ซื่อเฉินเต็มไปด้วยบาดแผลจากก้อนหิน
‘เป็นไปไม่ได้!’
ดวงตาของไป๋ซื่อเฉินเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง เขาไม่เชื่อว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้!
เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหลงเฉินอย่างชัดเจนแล้ว และมันไม่ควรจะเป็นไปได้ที่หลงเฉินสามารถปล่อยพลังต่อสู้ที่รุนแรงถึงเพียงนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้า และความเจ็บปวดสาหัสบริเวณหน้าอกและไหล่ซ้ายบอกให้เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา เขาพ่ายแพ้ให้กับหลงเฉินในกระบวนท่าเดียว!
‘นั่นมันผนึกมังกรลึกล้ำ! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! หลงเฉินจะแข็งแกร่งพอที่จะฝึกวิชาผนึกมังกรลึกล้ำได้อย่างไรกัน?’
ขณะที่เขาระบายออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด เขาก็เห็นว่าหลงเฉินยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
เมื่อไป๋ซื่อเฉินเห็นรอยยิ้มนั้น เขาก็พลันรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดไป๋ซื่อตงและไป๋จื้อซิงถึงได้หวาดกลัวหลงเฉินนัก
แม้จะมีพลังหลงเหลืออยู่ในร่างกายไม่มากนัก แต่ไป๋ซื่อเฉินก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ได้ง่าย ๆ ขณะที่เขากำลังพยายามลากสังขารที่บาดเจ็บสาหัสและหันหลังหนี น้ำเสียงเรียบเฉยของหลงเฉินก็ดังขึ้น
“ในเมื่อเจ้าต้องการข่มเหงน้องสาวของข้า เช่นนั้นแล้วข้าก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ ขออภัยด้วยที่ต้องทำร้าย ‘น้องชาย’ ของเจ้า”
ทันใดนั้นเอง หลงเฉินก็กระทืบเข้าที่หว่างขาของไป๋ซื่อเฉินเต็มแรง ทำให้สีหน้าของเขากลายเป็นสีม่วง เส้นเลือดในดวงตาปูดโปนออกมาขณะที่เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าสมเพชและล้มลงกับพื้น เขาขดตัวงอราวกับกุ้งและดิ้นไปมาพร้อมกับร่างกายสั่นเป็นเจ้าเข้า
ในตอนนั้น หยางหลิงชิงเดินออกมา และเมื่อนางเห็นว่าไป๋ซื่อเฉินกำลังเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส นางก็รีบถามขึ้นด้วยความตื่นตกใจ
“พี่เฉิน ท่านทำอะไรเขาน่ะ? เหตุใดเขาถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากพ่ายแพ้ข้ากระมัง จริงสิ หลิงชิง เรารีบไปจากภูเขาเดียวดายเถอะ ไป๋ซื่อจีและคนอื่น ๆ ถูกข้าจับตัวไว้หมดแล้ว หากพวกเขาจะสู้กับตระกูลหยาง เราจะใช้ลูกหลานของพวกเขาเป็นตัวประกันและกลับไปที่ตระกูลไป๋ หากพวกเขากล้าแตะต้องท่านตาและคนอื่น ๆ ทุกคนที่พวกเขาฆ่า เราก็จะฆ่าคนของตระกูลไป๋ด้วยเช่นกัน!”
เมื่อพูดถึงคนตระกูลหยางที่อยู่ในบ้านตระกูลไป๋ หยางหลงชิงจึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก เวลาผ่านไปนานมากแล้ว และพระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า หากพวกเขาไม่รีบกลับไป ผู้นำตระกูลหยางและคนอื่น ๆ จะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
แม้ว่าสิ่งที่หลงเฉินพูดจะแลดูเป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตราย ทว่ามันก็เป็นเพียงทางเดียวที่จะช่วยพวกเขาได้!
ลำพังตัวนางเอง หยางหลิงชิง นางคงไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ แต่เมื่อมีหลงเฉินคอยช่วยเหลือ นางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
ในหัวใจของนาง หากหลงเฉินสามารถเอาชนะไป๋ซื่อเฉินและสร้างปาฏิหาริย์ได้ถึงเพียงนี้ แล้วจะมีสิ่งใดที่เขามิอาจทำได้กันเล่า?
การที่หลงเฉินจับตัวไป๋ซื่อจีไว้ได้ ไม่ทำให้หยางหลิงชิงแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
เพื่อมิให้เสียเวลาอีกต่อไป หลงเฉินจึงลากคอไป๋ซื่อเฉินไปโดยไม่สนใจความเจ็บปวดของเขา จากนั้น หลงเฉินและหยางหลิงชิงก็เดินไปหาหยางอู่และคนอื่น ๆ ความจริงแล้วสถานที่ทั้งสองอยู่ไม่ไกลกันนัก และเมื่อมีเรื่องเร่งด่วนถึงเพียงนี้ ความเร็วของทั้งสองจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบริเวณที่โล่งซึ่งหยางอู่และคนอื่น ๆ อยู่ เมื่อหลงเฉินโยนไป๋ซื่อเฉินที่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดลงกับพื้น หยางอู่และหยางหลิงเยวี่ยต่างก็นิ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเผชิญหน้ากับหลงเฉิน พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจับใจและคิดไปถึงสิ่งที่พวกเขาเคยพูดและกระทำไว้จนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้
เมื่อหลงเฉินสำรวจดูก็พบว่าทั้งไป๋จื้อซิงและไป๋ซื่อตงนั้นยังคงไม่ได้สติ ส่วนไป๋ซื่อจียังมีสติอยู่ ทว่าบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้ และไป๋ซื่อเฉินก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ไป๋ซื่อเฉินกลัวว่าเขาจะไม่สามารถล่วงเกินหยางหลิงชิงในวันข้างหน้าได้ เพราะเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว
หลงเฉินเงยหน้าขึ้นมองหยางอู่ที่ยืนอยู่และเอ่ยขึ้น
“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
หยางอู่มองดูสภาพน่าสมเพชของคนทั้งสองที่อยู่บนพื้น เมื่อเทียบกับตัวเขาเองแล้ว บาดแผลบนร่างกายของเขานับได้ว่าเล็กน้อยนัก
ในบรรดาลูกหลานตระกูลหยาง ผู้ที่เก่งกาจที่สุดได้แปรเปลี่ยนเป็นหลงเฉินอย่างน่าตกใจ
หลงเฉินยกไป๋ซื่อเฉินและไป๋ซื่อจีขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พวกเราต้องรีบลงเขาและไปที่บ้านตระกูลไป๋ทันที ท่านพาสองคนนั้นไปเป็นตัวประกัน หลิงชิงจะอธิบายเหตุผลให้ท่านฟังระหว่างทาง!”
หลงเฉินเอาชนะไป๋ซื่อจีและไป๋ซื่อเฉินได้ในคราเดียว และเขายังช่วยญาติทั้งสองไว้อีก หยางอู่และหยางหลิงเยวี่ยจึงไม่กล้าคัดค้านใด ๆ
ผู้หญิงอย่างหยางหลิงเยวี่ยที่ได้กลิ่นปัสสาวะจากตัวของไป๋ซื่อตงย่อมรู้สึกรังเกียจเป็นธรรมดา จึงเป็นหน้าที่ของหยางอู่ที่ต้องเป็นฝ่ายจับตัวไป๋ซื่อตงเป็นตัวประกัน
พวกเขาลงเขาไปอย่างรวดเร็ว และระหว่างทาง หลิงชิงได้เล่าทุกอย่างให้หยางอู่และหยางหลิงเยวี่ยฟัง
หยางอู่นิ่วหน้า
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? คนตระกูลไป๋ช่างชั่วช้าเสียยิ่งกว่าเดรัจฉาน แต่หลิงชิง น้าสามเป็นพวกนั้นด้วยจริงหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่? จากที่ข้ารู้จักน้าสาม ข้ารู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้เลย!”
หยางหลิงเยวี่ยมักจะใช้เวลาอยู่กับหยางเสวี่ยชิง นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
“ข้าก็คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ น้าสามดีกับข้ามาก ครั้งก่อนที่ข้าใช้หยกวิญญาณในการบรรลุของเขตชีพจรมังกรขั้นหก นางก็เป็นคนให้มันกับข้าเอง”
หยางหลิงชิงส่ายศีรษะด้วยความปวดใจและเอ่ยขึ้น
“ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ไป๋ซื่อเฉินพูดออกมา...”
เมื่อพูดถึงหยางเสวี่ยชิง ทั้งสามคนต่างเงยหน้าขึ้นมองหลงเฉินซึ่งวิ่งนำอยู่ด้านหน้า พวกเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากร่างของเขาที่รุนแรงขึ้นและไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความหรอก เมื่อพวกเราไปถึงบ้านตระกูลไป๋พวกเราก็จะรู้เองนั่นแหละ”
เสียงของหลงเฉินดังมาจากข้างหน้า แม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะราบเรียบ ทว่าทั้งสามคนที่อยู่ข้างหลังต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจของเขา
--------------------------
วันนี้เป็นวันสำคัญของเมืองพฤกษาหมอก
ในเมืองนี้มีตระกูลใหญ่สองตระกูล และตระกูลทั้งสองก็กุมชะตากรรมของทั้งเมืองเอาไว้ วันนี้เป็นวันสำคัญของตระกูลไป๋และตระกูลหยาง จึงเป็นธรรมดาที่จะเป็นวันสำคัญของคนทั้งเมืองพฤกษาหมอกด้วยเช่นกัน
การแข่งขันล่าสัตว์อสูรที่น่าตื่นเต้นนับเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ และเรื่องน่ายินดีที่สุดก็คือการแต่งงานของทั้งสองตระกูล อีกทั้งเป็นการแต่งงานครั้งแรกระหว่างทั้งสองตระกูลอีกด้วย
ลูกชายคนที่สามของตระกูลไป๋ ไป๋จ้านสง ได้สูญเสียภรรยาไปเมื่อครั้งที่นางให้กำเนิดทารกทั้งสอง ไป๋จ้านสงทนทุกข์ใจมานานหลายปีและเฝ้ารอหยางเสวี่ยชิงมาโดยตลอด ในที่สุดนางก็เป็นหม้าย พวกเขาจึงได้แต่งงานกัน
ในสายตาคนนอก เรื่องนี้อาจจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่สำหรับไป๋จ้านสงมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะบรรลุเป้าหมายนี้
เมื่อมีงานเลี้ยงใหญ่โตของตระกูลไป๋และตระกูลหยาง เป็นธรรมดาที่จะมีผู้คนมากมายมาร่วมงาน เมื่อผู้ที่มีชื่อเสียงจากเมืองพฤกษาหมอกและเมืองโดยรอบมาถึง พวกเขาก็อยู่ในห้องโถงเดียวกันและดื่มกินอย่างมีความสุข คู่แต่งงานทำพิธีคารวะฟ้าดินและเจ้าสาวก็ถูกส่งตัวเข้าห้องหอเรียบร้อยแล้ว ในระหว่างนั้น ไป๋จ้านสงผู้เป็นเจ้าบ่าวกำลังดื่มสุราอยู่กับแขกที่เหลือ
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้าขอดื่มเพื่อคารวะพวกท่านทุกคน!”
“พี่ไป๋ ความสามารถในการดื่มของท่านช่างกว้างใหญ่ราวมหาสมุทร!”
“ข้าขอให้พี่ไป๋และน้องเสวี่ยชิงครองคู่ไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”
“ขอให้มีทายาทในเร็ววัน!”
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด!”
ทุกคนต่างสรวลเสเฮฮาและพูดคุยกันอย่างออกรส ในเวลานั้นเอง ทหารยามก็เข้ามากระซิบข้างหูไป๋จ้านสง จากนั้นเขาก็รินเหล้าอีกจอกและพูดกับแขก
“ทุกท่าน วันนี้เป็นวันนี้เป็นวันแต่งงานของข้า ดังนั้นได้โปรดดื่มกินกันตามสบาย ข้าขอตัวไปดื่มกับพ่อตาเสียหน่อย!”
หลังจากการทักทายของแขกเหรื่อที่มีความสุข ไป๋จ้านสงก็เดินไปตามทางเดินและมาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งมีโต๊ะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แต่กลับมีคนผู้คนไม่มากนักนั่งอยู่ที่โต๊ะ คือคนของตระกูลหยางและตระกูลไป๋
เหตุเพราะเหล่าลูกหลานที่ไปเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์อสูร จำนวนคนจึงไม่สามารถเทียบได้กับคนที่อยู่ด้านนอก ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เมื่อไป๋จ้านสงเดินเข้ามา ผู้นำตระกูลหยางและคนอื่น ๆ กำลังดื่มกินกับผู้นำตระกูลไป๋อย่างมีความสุข แต่ในเวลานี้ ไป๋จ้านสงเดินเข้ามาและปิดประตูเงียบ ๆ ทหารยามจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างลับ ๆ และเฝ้าประตูไว้ ทำให้ไป๋จ้านสงรู้สึกโล่งใจ เขาหัวเราะอย่างร่าเริงขณะเดินมาหาผู้นำตระกูลหยางพลางเอ่ยขึ้น
“ท่านลุงหยาง ไม่ใช่สิ ท่านพ่อตา ข้าขอดื่มให้กับท่านในวันนี้!”
ไป๋จ้านสงรับรองแขกที่อยู่ด้านนอกเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาก็มีเวลาเข้ามาที่นี่ ผู้นำตระกูลหยางจึงรู้สึกดีใจและรีบดึงตัวไป๋จ้านสงลงมานั่งข้าง ๆ เห็นได้ชัดเจนว่าผู้นำตระกูลหยางมีความสุขจนล้นปรี่ เขาดื่มเหล้าไปมากและในเวลานี้ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ เขาดึงไป๋จ้านสงเข้ามาและเอ่ยขึ้น
“ย้อนกลับไปตอนที่เจ้าเกิด ข้ายืนเฝ้าอยู่นอกประตูพร้อมกับพ่อของเจ้า พูดตามตรง ข้าน่ะ ตื่นเต้นพอ ๆ กับพ่อของเจ้าก็ว่าได้ จากนั้นพ่อของเจ้ากับข้าก็เห็นพ้องต้องกันให้เจ้าแต่งงานกับลูกข้า เพราะเจ้าทั้งสองช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้น โชคชะตาก็มักจะเล่นตลกกับชีวิต เสวี่ยชิงจึงแต่งงานกับหลงฉิงหลาน แต่แล้วในวันนี้ พวกเจ้าก็ได้แต่งงานกันในที่สุด ข้ามีความสุขกับพวกเจ้ายิ่งนัก!”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ผู้นำตระกูลหยางก็รู้สึกมึนงงและอ่อนแรงลงฉับพลัน เขาหัวเราะ
“ข้าคงจะแก่และไม่เอาไหนเสียแล้ว ดื่มเหล้าไม่เท่าไรก็รู้สึกเมามายถึงเพียงนี้!”
ไป๋จ้านสงตบไหล่ผู้นำตระกูลหยางพลางหัวเราะร่า
“ถูกต้องแล้ว ท่านน่าจะตาย ๆ ไปเสีย ตระกูลหยางของท่านเองก็เช่นกัน และในท้ายที่สุด เมืองพฤกษาหมอกจะต้องเป็นของตระกูลไป๋ของพวกเรา!”
******************************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm