ตอนที่ 32 จ้าวเทียนห่าว
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
“ฆาตกรรมน่ะ..ฉันบังเอิญิยิงผิดตัวไปฆ่าตัวประกันในภารกิจหนึ่งของฉัน แต่กองบัญชาการกลับไม่เคยทำการสอบสวนและทำการไต่สวนฉันเลย แต่ในฐานะพลแม่นปืนแล้วความผิดพลาดครั้งหนึ่งก็เท่ากับความผิดพลาดชั่วชีวิตของสไนเปอร์ ฉันทำได้แค่ขอให้พวกเขาปลดประจำการฉันเท่านั้น” การแสดงออกของฟูจุนเฉิงเปลี่ยนไปอย่างมืดมนต์ในขณะที่เขาค่อยๆอธิบายอย่างช้าๆ
เย่เชียนจ้องมองอย่างว่างเปล่า เขาไม่คาดหวังว่าตำแหน่งของฟูจุนเฉิงในกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าจะเป็นถึงสไนเปอร์เพราะในกองกำลังพิเศษของกองทัพแล้วพลซุ่มยิงเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งและมีผลกระทบต่อภารกิจอย่างมากมายรวมถึงความได้เปรียบในสงครามจนนำมาซึ่งชัยชนะไม่ว่าจะเป็นสงครามความขัดแย้งหรือการทำภารกิจลับต่างๆ สไนเปอร์จะต้องไม่ผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เย่เชียนจึงพยักหน้าอย่างเงียบๆและไม่ได้พูดอะไรมาก
“นายล่ะ? นายสังกัดหน่วยไหน?” ฟูจุนเฉิงถาม
เย่เชียนดูว้าวุ่นใจเล็กน้อยและไม่แน่ใจว่าจะตอบว่าอะไรดี เมื่อเทียบกับกองทัพแล้วตำแหน่งของเย่เชียนก็คือผู้บังคับบัญชาสูงสุดแต่เขาก็มิอาจเปิดเผยตัวตนได้เขาจึงยิ้มเบาๆและตอบว่า “หน่วยที่ผมสังกัดอยู่ไม่ได้ผูกขาดกับประเทศใดๆ!”
ฟูจุนเฉิงจ้องมองอย่างว่างเปล่าเขามองว่าเย่เชียนเป็นคนคาดเดายากแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “หลังจากฉันถูกปลดฉันก็มาทำงานนี้และออกตามหาครอบครัวของคนที่ฉันพลั้งฆ่าไป ฉันไม่เคยคาดหวังให้พวกเขายกโทษให้ฉันเลยแต่พวกเขากลับยกโทษให้ฉัน ถ้ามันไม่ใช่เพราะฉันชีวิตของพวกเขาก็จะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
“ครอบครัวเขามีใครบ้าง?” เย่เชียนถาม
“ภรรยาและลูกชายตัวน้อยของเขาที่เพิ่งจะอายุเพียงหกขวบเขายังเรียนอนุบาลอยู่เลยมันเป็นเพราะฉันเองเธอถึงได้กลายเป็นแม่ม่ายและเด็กคนนั้นเขาต้องเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีพ่อ” ฟูจุนเฉิงพูดอย่างละอายใจ
เย่เชียนตบไหล่ของเขาเบาๆแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อชีวิตอยู่บนเส้นด้าย ผมชื่นชมเธอจากใจจริงๆที่เธอยกโทษให้คุณก็เพราะเธออยากให้คุณอภัยให้ตัวเอง และผมคิดว่าเธอคงไม่ต้องการให้คุณโทษตัวเองไปตลอดชีวิต”
เมื่อพูดถึงภรรยาและลูกชายของตัวประกันฟูจุนเฉิงก็เศร้าใจจนไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเขาได้แต่ยิ้มและพูดว่า “เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมาก”
เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยและหันไปมองหน้าเขาราวกับว่าเย่เชียนเพิ่งรู้อะไรบางอย่างแต่ก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ที่ฟูจุนเฉิงได้ดูแลแม่ม่ายและลูกชายของเธอและตอนนี้พวกเขาทั้งสามก็คงจะรักกันมากขึ้นทำให้ความรู้สึกที่เลวร้ายค่อยๆกลายเป็นความรักที่แท้จริง เขาได้ทำหน้าที่ของพ่อแทนชายผู้ล่วงลับไปแล้วและชายผู้นั้นก็คงจะอภัยให้ฟูจุนเฉิงในสิ่งที่เขากระทำเพื่อชดใช้และดูแลครอบครัวของตนอย่างลูกผู้ชาย
“นี่อพาร์ทเม้นท์ของฉัน ฉันอาศัยอยู่ที่ชั้นสี่ เข้ามาก่อนสิ?” ฟูจุนเฉิงถามเมื่อพวกเขามาถึงที่หน้าประตูห้องของเขา
เย่เชียนเงยหน้าขึ้นมองแสงที่สว่างที่สาดไปทั่วทุกมุมของห้องแล้วเห็นผู้หญิงอายุประมาณสามสิบกำลังมองออกไปข้างนอกหน้าต่างพร้อมสีหน้าและท่าทางของความกังวล แต่เมื่อเธอเห็นฟูจุนเฉิงดวงตาและรอยยิ้มที่ดูโล่งใจก็เผยออกมาทั่วใบหน้าของเธอ เธอเป็นภรรยาของตัวประกันคนนั้นสินะเย่เชียนสงสัยในใจ
“ไม่เป็นไร คุณควรเข้าไปเถอะตอนนี้เธอต้องเป็นห่วงคุณอย่างแน่นอน” เย่เชียนยิ้มไปด้วยพูดไปด้วย
ฟูจุนเฉิงยิ้มพร้อมตอบกลับว่า “’งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้”
จ้าวเทียนห่าวไม่ได้คาดหวังว่าในวันงานมหกรรมโลกเวิลด์เอ๊กซ์โปในครั้งนี้ที่เมืองทั้งเมืองกำลังใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดอย่างสูงเช่นนี้ ศัตรูของเขาจะกล้าส่งนักฆ่ามาเยือนเขาเยี่ยงนี้ และคู่แข่งที่จะเข้าร่วมการประมูลการปฏิรูปเมืองใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนั้นมีไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยบริษัท แต่ผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริงนั้นมีเพียงแค่สามหรือสี่บริษัทเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งนักฆ่าคนนี้มาก็ตามแต่จ้าวเทียนห่าวก็จะไม่ยอมแพ้กับเรื่องนี้เป็นอันขาด
เขาหันหน้าไปและสังเกตุว่าเหมือนมีคนสะกดรอยตามเขาอยู่ หัวใจของเขากำลังรวบรวมความกล้า ในทันใดนั้นเองคนคนนั้นก็ชักปืนขึ้นมายิงเขาในทันทีแต่ทว่าเขาโชคดีที่เขาดันก้มลงไปหยิบของบางอย่างขึ้นมาจากพื้นเขาคิดชั่ววูบว่าหากเขาไม่ก้มไปเก็บของแล้วล่ะก็เขาจะต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน..
เมื่อไม่นานมานี้เขาพึ่งจะเดินออกมาจากโรงแรมเพื่อสูดอากาศหลังจากการประชุมกับหัวหน้าแผนกวิศวกรรมโยธาของเมืองนี้อย่างเคร่งเครียด
หลังจากแยกย้ายกับฟูจุนเฉิงแล้วตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วและในตอนกลางคืนนั้นถนนสายเล็กๆนี้ก็ห่างไกลมากและใกล้กับย่านสลัม ไม่ว่าจะรถยนต์ส่วนตัวหรือแม้กระทั่งรถแท็กซี่ก็ค่อยไม่ผ่านนัก เย่เชียนจึงไม่มีทางเลือกนักนอกจากต้องกลับบ้านด้วยการเดินเท้า..
นักฆ่าคนนี้ถ้าไม่ได้มาจากเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปก็มาจากบริษัทยักใหญ่ในเครือภาคตะวันตกหรือไม่ก็จากตู้เหลียนเฉิงกรุ๊ปหรืออาจจะเป็นองค์กรน่านฟ้าก็เป็นได้ จ้าวเทียนห่าวขมวดคิ้วขณะที่เขาคิดว่าใครจะเป็นผู้ว่าจ้างนักฆ่าคนนี้ ซึ่งองค์กรน่านฟ้าเป็นองค์กรอาชญากรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย พวกนั้นมีส่วนร่วมในธุรกิจใต้ดินและในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพวกเขาพยายามหันไปทำตามกฎหมายมากขึ้น อุตสาหกรรมการบริการเกือบจะทั้งหมดได้รับการผูกขาดโดยองค์กรน่านฟ้า เพราะฉะนั้นมีโอกาสอย่างมากที่นักฆ่าคนนี้จะถูกส่งมาโดยองค์กรน่านฟ้า เพราะกลุ่มบริษัทจากแดนตะวันตกก็เพิ่งจะเติบโตและยิ่งใหญ่ได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ทว่าเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปที่เน้นธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาคารขนาดใหญ่หลายแห่งและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐเป็นจำนวนมากซึ่งตัวของเหว่ยตกเซียนนั้นเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มที่โดดเด่นแต่ก็มีเจตนาที่ชั่วร้ายแอบแฝงเช่นกันฉะนั้นความน่าจะเป็นของการว่าจ้างครั้งนี้ก็เป็นไปได้สูงมากที่จะมาจากเขา
โครงการปฏิรูปเมืองใหม่นั้นมันสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างล้นหลาม และด้วยความสามารถทางการเงินของเทียนหยากรุ๊ปในปัจจุบันแล้วนั้นมันสามารถทำให้จ้าวเทียนห่าวไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้เลย ด้วยตำแหน่งและความสามารถของจ้าวเทียนห่าวแล้วเขาก็สามารถที่จะถอนตัวออกจากโครงการนี้ได้อย่างสบายๆ แต่เขาก็ไม่สามารถกลืนน้ำลายตัวเองได้และไม่จำเป็นที่จ้าวเทียนห่าวจะต้องสั่นคลอนไปกับการยั่วยุต่างๆหรือภัยคุกคามต่างๆเช่นนี้
แต่เมื่อเขานึกถึงจ้าวหยาลูกสาวของเขาเองจ้าวเทียนห่าวก็ลังเลและค่อนข้างหนักใจ จากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วฝ่ายตรงข้ามก็คงไม่คิดที่จะหยุดจนกว่าเขาจะตายอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากพวกนั้นคิดที่จะทำร้ายลูกสาวของเขาด้วยแล้วล่ะก็ เขาก็คิดและตัดสินใจว่าเขาจะต้องหาคนมาคุ้มกันจ้าวหยาและต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างยิ่งและซื้อไม่ได้ด้วยเงินเพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการไว้ใจ ดังนั้นเขาจึงต้องรอดไปให้ได้เพื่อไปหาบอดี้การ์ดให้จ้าวหยาลูกสาวของเขา...
บริษัทเทียนหยามีแผนกรักษาความปลอดภัยเป็นของตนเอง พวกเขาไม่ได้ขาดบุคลากรเช่นนั้นอย่างแน่นอน และไม่ต้องพูดถึงเย่เชียนและเพื่อนร่วมงานของเขาที่ทำงานเป็นหน่วยลาดตระเวนตรวจดูอาคารเพียงแค่นั้นเลย เพราะเขาไม่ได้รู้จักกับคนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เขากำลังนึกถึงทหารผ่านศึกผู้มากความสามารถหรือบางคนที่สำเร็จจากโรงเรียนฝึกศิลปะการต่อสู้
ในครั้งนี้นักฆ่าทำไม่สำเร็จ และแม้จ้าวเทียนห่าวจะต้องขอบคุณโชคชะตาก็ตามแต่เขาก็กำลังคิดที่จะเรียกบอดี้การ์ดของเขาแต่ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เนื่องจากเขาไม่เห็นบอดี้การ์ดของเขาเลยแม้แต่คนเดียวและจ้าวเทียนห่าวก็ตะหงิดใจมาสักพักหนึ่งแล้วว่าพวกเขาไปไหนกันหมด
เมื่อเขาฉุกคิดขึ้นได้เขาก็วิ่งรีบหนีและทิ้งโทรศัพท์ของเขาไปเพราะกลัวว่าจะถูกสะกดรอยตามจากสัญญาณโทรศัพท์ได้ จ้าวเทียนห่าวจึงคิดว่าเขาควรพึ่งตนเองเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ตอนนี้ที่เขาจะทำได้ ถ้าหากเขายังสามารถรอดจนไปถึงบริษัทในเครือเทียนหยากรุ๊ปได้ล่ะก็เขาและคนที่บ้านก็จะปลอดภัย เพราะเขาเชื่อว่านักฆ่าคนนี้จะไม่สามารถบุกเข้ามาได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วบริษัทเทียนหยากรุ๊ปนั้นก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกระจายๆไปตามบริษัทในเครือเป็นจำนวนมาก
ทันใดนั้นจ้าวเทียนห่าวก็เห็นว่ามีคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา คนนั้นสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าดังนั้นจ้าวเทียนห่าวจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ แต่จ้าวเทียนห่าวก็มั่นใจได้ว่าคนคนนี้ต้องเป็นคนที่ชักปืนมายิงเขาอย่างแน่นอน เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่านักฆ่าคนนี้นี้จะสามารถเข้าถึงตัวเขาได้เช่นนี้ และเขาก็คิดว่าบอดี้การ์ดของเขาคงจะตายกันไปหมดแล้วและเขาก็สิ้นหวังและรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากและบอดี้การ์ดเหล่านั้นจะได้รับการชดเชยอย่างดีจากบริษัทเทียนหยากรุ๊ปแต่ในท้ายที่สุดแล้วเงินจำนวนมากแค่ไหนนั้นก็ไม่สามารถที่จะแลกกับชีวิตของคนๆหนึ่งได้เลย บอดี้การ์ดเหล่านั้นตอนนี้ได้ตายเพราะเขาและทำให้จ้าวเทียนห่าวรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
นักฆ่าคนนั้นได้คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกๆวินาที แต่หัวใจของจ้าวเทียนห่าวนั้นไม่ได้หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อยเขาไม่ได้กลัวความตายเลยและเขาก็ไม่พร้อมที่จะตายตอนนี้ด้วยเช่นกัน
.
.
.
.
.
.
.
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm