ตอนที่ 31 ผลกระจัดวิญญาณ
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
แม้ว่าภูเขาเดียวดายจะมีขนาดกว้างใหญ่ บริเวณถิ่นพักอาศัยที่ใกล้ที่สุดก็มีเพียงเมืองพฤกษาหมอกเท่านั้น และภายในเมืองนี้ก็มีผู้ฝึกยุทธ์เพียงสองคนที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเก้า ซึ่งก็คือผู้นำตระกูลไป๋และผู้นำตระกูลหยาง ดังนั้น เมื่อมีผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ระดับเดียวกันปรากฏตัวขึ้นที่นี่ หลงเฉินจึงแปลกใจเล็กน้อย
“เสี่ยวซี แล้วสมุนไพรที่ยังไม่โตเต็มที่นั่นมันทำไมรึ?”
“สมุนไพรจำต้องใช้เวลาในการเติบโต และจะเก็บเกี่ยวได้หลังจากที่โตเต็มที่ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกมันมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย ตรงนี้อยู่ห่างไปสักหน่อย หากข้าเข้าไปใกล้กว่านี้ได้อีกนิด ข้ามั่นใจว่าข้าจะต้องจำสมุนไพรพวกได้นั้นแน่”
ยังเร็วเกินไปที่จะสังหารไป๋ซื่อจี นอกจากนี้ หลงเฉินที่เติบโตมาด้วยความละโมบโดยธรรมชาติ เขาจะไม่ยอมปล่อยสิ่งล้ำค่าพวกนี้ไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้จักขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเก้าเป็นอย่างดี เขาจึงย้ำเตือนตนเองว่าต้องระวังตัวให้มาก เพราะการจะรับมือกับผู้ที่บรรลุเส้นชีพจรมังกรสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
หลงเฉินย่องไปตามสุมทุมพุ่มไม้ และหลังจากปีนเนินเขาไปอีกหลายลูก เขาก็เห็นหุบเขาลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า ภายในหุบเขานั้นเต็มไปด้วยหมอกและความชื้นในอากาศก็สูงมาก เขาไม่สามารถหายใจได้เต็มที่เลยเมื่อมาถึง
“หยุดก่อน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิงซีเอ่ย หลงเฉินก็ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังต้นไม้โบราณสูงใหญ่ที่ไม่รู้จัก เวลานั้น หลิงซีค่อย ๆ สำรวจเข้าไปในหุบเขาลึก ข้างในนั้นมีถ้ำขนาดใหญ่ที่ซึ่งมีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งย่ำไปมา สิ่งที่หลิงซีเอ่ยถึงก่อนหน้าล้วนเกิดขึ้นที่นั่น
“ข้าไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ข้าแน่ใจว่ามันเป็นสมุนไพรระดับลึกล้ำ”
“สมุนไพรระดับลึกล้ำ?”
“เหนือระดับอำพันขึ้นไปคือระดับลึกล้ำ สำหรับเมืองพฤกษาหมอกของเจ้า สมุนไพรที่อยู่ในระดับลึกล้ำนั้นมีราคาสูงลิ่ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดในเมืองพฤกษาหมอกก็อาจจะไม่พอซื้อสมุนไพรระดับลึกล้ำได้ด้วยซ้ำ”
หลิงซีเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่หลงเฉินกลับตกใจอย่างมาก
เขารู้ว่ายังมีจอมยุทธ์ที่บรรลุระดับเหนือกว่าขอบเขตชีพจรมังกร คุณชายหลางที่ลึกลับก็น่าอยู่ในระดับนี้ เช่นเดียวกับสัตว์อสูรระดับอำพันที่ยังมีสัตว์อสูรที่ทรงพลังยิ่งกว่า เช่น อสูรหมาป่ากลืนจันทรา เป็นต้น
ไม่ว่าจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพร หรือทักษะยุทธ์ ต่างก็มีระดับขั้นที่สูงขึ้นด้วยกันทั้งนั้น
โดยทั่วไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ในระดับต่าง ๆ จะจับคู่กับทักษะยุทธ์ในระดับเดียวกัน และพวกเขาก็สามารถจัดการกับสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับของตนเอง แต่สำหรับสมุนไพรแล้ว ยิ่งมีระดับสูงเท่าไรก็ยิ่งดี และสมุนไพรในระดับลึกล้ำก็มีประโยชน์อย่างมากสำหรับยอดฝีมือในขอบเขตชีพจรมังกร
สำหรับตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลในเมืองพฤกษาหมอก ผู้ใดสามารถครอบครองสมุนไพรนี้ได้ ย่อมกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
ด้วยคำแนะนำของหลิงซี หลงเฉินจึงเข้าไปใกล้มากขึ้น ขณะที่เขาเข้าไปใกล้ถ้ำแห่งนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังรุนแรงแผ่ออกมาจากใครบางคนซึ่งนั่งเงียบ ๆ อยู่ไม่ไกล เขากลั้นหายใจและไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า
ในตอนนี้ หลิงซีส่งเสียงประหลาดใจออกมาข้างหูของหลงเฉิน ฟังดูคล้ายกับเสียงยุงก็ไม่ปาน
“ไม่คิดเลยว่าจะมีสมบัติล้ำค่าอย่างผลไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผลถึงสามผลอีกด้วย!”
“เปลือกของผลไม้เหล่านี้ยังเป็นสีเขียว อย่างไรก็ตาม ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นับได้ว่าโตเร็วนัก เท่าที่ข้าสังเกต ทั้งสามผลจะสุกเต็มที่ในเวลาแปดหรือเก้าวันนี้แล้วล่ะ”
เมื่อหลิงซีมองเห็นชนิดของสมุนไพรอย่างชัดเจน และยังสามารถระบุเวลาที่ผลไม้เหล่านี้จะสุก หลงเฉินจึงรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไป
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเตรียมตัวจากไป แต่ทว่าในตอนนั้น ชายลึกลับที่เฝ้าอารักขาผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็พลันลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในหุบเขาลึก
หลงเฉินเหงื่อแตกพลั่กทันที
ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ได้ถูกพบตัวโดยคนผู้นั้น แต่โชคชะตาก็กลั่นแกล้งเขาเกินไป เขาเพียงบังเอิญเจอเข้ากับชายลึกลับที่ยืนขึ้นเพื่อยืดเหยียดร่างกายและสำรวจสถานการณ์ภายนอกเท่านั้น
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ด้วยความแข็งแกร่งของขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเก้าของผู้เฝ้าอารักขาถ้ำ หากหลงเฉินเข้าไปใกล้ถ้ำมากกว่านี้อีก เขาจะต้องถูกพบตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
และหากหลงเฉินถูกพบตัวในระยะใกล้เช่นนี้ เขาจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่นอน
หลงเฉินตัดสินใจอย่างรวดเร็วก่อนที่ผู้เฝ้าอารักขาจะสังเกตเห็น เขาก็พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูงสุดและรีบตรงไปยังทางเข้าหุบเขาทันที จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหลบในพุ่มไม้
“นั่นใคร!”
คนผู้นั้นตกใจและรีบพุ่งออกไป ความเร็วของผู้ที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเก้านั้นรวดเร็วอย่างมาก หลงเฉินรู้สึกได้ถึงสายลมรุนแรงที่พัดมาจากด้านหลัง
พุ่มไม้ทั้งพุ่มระเบิดกระจายขณะที่คลื่นพลังรุนแรงพุ่งตรงมายังหลงเฉิน เขาเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถสลัดคนผู้นั้นออกไปได้อยู่ดี
“คนผู้นี้ต้องการคุ้มกันผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องกลัวว่าจะมีใครล่อลวงเขาให้ออกห่างจากผลไม้นั่นแน่ ๆ!”
ความคิดดี ๆ ผุดขึ้นในใจของหลงเฉินแม้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ก่อนจะรีบเอานิ้วใส่เข้าปากและผิวปากดังลั่น
เป็นไปตามคาด เมื่อเสียงผิวปากดังขึ้น ชายลึกลับก็ขมวดคิ้วทันที เมื่อเห็นว่าตนเองยังอยู่ห่างจากหลงเฉินมาก เขาจึงมองหลงเฉินอย่างไม่เต็มใจก่อนจะหันหลังกลับไป
ในเวลาเดียวกัน หลงเฉินเองก็หันกลับไปมองชายลึกลับผู้นั้น เขาเป็นชายชราที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้นำตระกูลหยาง แม้จะแก่ชราแต่เขาก็ยังแข็งแกร่งและมีสายตาที่เฉียบคม
ไหวพริบของหลงเฉินในยามคับขันทำให้หลิงซีชื่นชมในตัวเขาอย่างมาก ในช่วงเวลาวิกฤติ มีผู้คนไม่มากนักที่จะคิดหาทางเอาชีวิตรอดได้เช่นนี้
ขณะที่หลงเฉินกำลังหนีออกไปด้านนอก เขาเอ่ยถามขึ้น
“เสี่ยวซี ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าพูดถึงมันมีประโยชน์อย่างไรหรือ?”
“จะว่าไป สำหรับเจ้าแล้วมันมีประโยชน์มาก ๆ เลยล่ะ ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสมุนไพรชนิดแรก ๆ ของระดับลึกล้ำ หากเจ้ากินมันเข้าไปเมื่อบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเก้า เจ้าจะสามารถใช้พลังของผลไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อรวบรวมปราณในร่างกายให้กลายเป็นแก่นมนุษย์ในตันเถียนของเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะสามารถบรรลุขอบเขตแก่นศักดิ์สิทธิ์”
“ขอบเขตแก่นศักดิ์สิทธิ์?”
ตั้งแต่หลงเฉินเดินมาตามเส้นทางสายนี้ เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับการฝึกยุทธ์เลย แต่ในที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้ว่าระดับขั้นที่สูงกว่าขอบเขตชีพจรมังกรนั้นเรียกว่าขอบเขตแก่นศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงแล้ว การที่จะบรรลุขอบเขตนั้นได้ไม่ใช่การทะลวงเส้นชีพจรมังกรทั้งเก้าอีกต่อไป แต่เป็นการควบแน่นปราณในร่างกายให้กลายเป็นแก่นมนุษย์ต่างหาก
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินยังไม่เข้าใจ หลิงซีจึงเอ่ยขึ้นอย่างเสียมิได้
“ขอบเขตแก่นศักดิ์สิทธิ์ แบ่งเป็น 3 แก่น ซึ่งก็คือแก่นมนุษย์ แก่นปฐพี และแก่นสวรรค์ แต่ละแก่นยังถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้น ซึ่งก็คือ ขั้นเริ่มต้น ขั้นกลาง และขั้นสมบูรณ์ เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะพอเข้าใจได้ว่าระดับแก่นศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกแบ่งแยกย่อยออกเป็นขั้นที่แตกต่างกันถึง 9 ขั้น อีกอย่าง คุณชายหลางที่เจ้าพูดถึงน่ะ เป็นจอมยุทธ์ระดับแก่นสวรรค์เชียวนะ”
หลงเฉินซึมซับความรู้ใหม่อย่างเร่งด่วนซึ่งตัวเขาก็เป็นคนที่ฉลาดมากอยู่แล้ว ขอบเขตชีพจรมังกรเองก็มีทั้งหมด 9 ขั้น เช่นเดียวกับ 9 ขั้นในขอบเขตแก่นศักดิ์สิทธิ์ และความแตกต่างระหว่างขอบเขตแก่นมนุษย์ขั้นแรกกับระดับแก่นสวรรค์ขั้นสมบูรณ์นั้น เทียบได้กับความแตกต่างระหว่างขอบเขตชีพจรมังกรขั้นแรกกับขั้นเก้าเลยทีเดียว
นั่นเป็นเหตุผลที่หลิงซีพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าเหตุใดผู้นำตระกูลหยางจึงไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของคุณชายหลางได้แม้ชั่วครู่
คุณชายหลางผู้นี้ช่างน่าเกรงขามจริง ๆ หลงเฉินเข้าใจลึกซึ้งถึงความจริงที่ว่าในยุทธภพนี้ย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ
อย่างไรก็ตาม หลงเฉินก็ไม่หมดกำลังใจ เขามีพ่อผู้ลึกลับ และหลิงซีเองก็ทั้งลึกลับและช่วยเขาได้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น หยกมังกรลึกลับและแก่นโลหิตสืบทอดซึ่งอาจจะมาจากมังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาล สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก!
ทั้งหมดนี้ ยังทำให้เขาได้เรียนรู้ความสามารถที่ท้าทายสวรรค์อย่างการสกัดโลหิตสลายปราณ เขาจึงเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เขาจะสามารถไปถึงระดับเดียวกับคุณชายหลางได้อย่างแน่นอน
และสิ่งที่ทำให้หลงเฉินคิดไม่ตก คือสรรพคุณของผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ลูกนั้น
“พูดอีกนัยหนึ่ง หากตระกูลหยางได้ทั้งต้นของผลไม้ศักดิ์สิทธิ์มา ยอดฝีมือถึงสามคนในตระกูลของเจ้าก็จะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตแก่นศักดิ์สิทธิ์ได้ นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลของเจ้าที่จะปกครองเมืองในรัศมีหนึ่งร้อยลี้”
คำพูดของหลิงซีทำให้หลงเฉินรู้สึกตื่นเต้น นอกจากนี้ ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นสมบัติล้ำค่า หากผู้นำตระกูลหยางล่วงรู้ เขาจะต้องตื่นเต้นอย่างมากเลยทีเดียว
หลงเฉินรู้ว่าผู้นำตระกูลหยางติดอยู่ที่ขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเก้ามาเป็นเวลานาน ตราบใดที่เขาครอบครองผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและอายุขัยของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน ราวกับย่นระยะทางสู่สวรรค์ในชั่วข้ามคืน
“เหลือเวลาเพียงแปดถึงเก้าวันกว่าผลไม้จะสุกได้ที่ แต่ตอนนี้ข้ายังอยู่ระหว่างการแข่งขันล่าสัตว์อสูร ภารกิจแรกที่ข้าต้องทำคือสังหารไป๋ซื่อจี และไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ควรจะบอกเรื่องผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ให้ผู้นำตระกูลหยางรู้ ข้าค่อยตัดสินใจทีหลังก็แล้วกัน”
หลิงซีพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“ไม่กี่ชั่วยามก่อนที่ผลไม้จะสุก จะมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น ภายในรัศมีจะมีเพียงผู้ที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นแปดหรือขั้นเก้าในเมืองพฤกษาหมอกเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ และมันจะกระตุ้นให้เกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างแน่นอน ต่อให้เจ้าไม่บอก หัวหน้าตระกูลหยางก็ต้องรู้เรื่องเข้าอยู่ดี และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือใครมาก่อนย่อมได้ก่อน”
เขาไม่รู้มาก่อนว่าจะเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้น หลงเฉินจดจำทุกสิ่งไว้ในหัวใจ จากนั้นเขาก็หันมองเข้าไปในป่า แสงเย็นเยียบค่อย ๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตาของเขา
“เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน เมื่อไป๋ซื่อจีต่อสู้กับสัตว์อสูรคงต้องใช้เวลาพอสมควร ข้าจะไปสังหารเขาเสียเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ หลงเฉินก็รีบมุ่งหน้าไปยังอีกฟากหนึ่งทันที
หลังจากเขาไปได้ไม่นาน หลงเฉินก็เงยหน้าขึ้นเพียงเพื่อจะพบว่าคุณชายหลางกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้เบื้องบน
“คนตระกูลไป๋กำลังจะฆ่าคนตระกูลหยางสามคนนั้น ข้าขอแนะนำว่าเจ้าควรรีบไปช่วยพวกเขาเสียเดี๋ยวนี้”
ดวงตาของหลงเฉินกระตุก เขาเกือบคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป
‘ไป๋ซื่อเฉินและคนอื่น ๆ ต้องการฆ่าหยางอู่กับพวกที่เหลืออย่างนั้นรึ? เกิดอะไรขึ้น? ตอนที่เข้ามาที่นี่ พวกเขาดูสนิทสนมกลมเกลียวกันนัก ช่างน่าขันที่พวกเขากลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว’
คุณชายหลางย่อมไม่โกหกพกลม สิ่งที่เขาพูดจะต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน
ต่อให้เขาไม่คิดจะสนใจหยางอู่และหยางหลิงเยวี่ย แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉิยต่อหยางหลิงชิงได้โดยเด็ดขาด
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลิงชิงละก็ พวกชั่วชาติตระกูลไป๋ก็ต้องตายเช่นเดียวกัน!”
คุณชายหลางชี้ทางและเอ่ยกับหลงเฉิน
“พวกเขาอยู่ตรงนั้น รีบไปเถอะ”
หลงเฉินมองเขาด้วยความซาบซึ้ง และหลังจากกล่าวคำขอบคุณ เขาก็เร่งความเร็วถึงขีดสุดและพุ่งไปยังทิศทางที่คุณชายหลางบอก
คุณชายหลางพลันขมวดคิ้วและมองตามร่างของหลงเฉินที่จากไป จากนั้นก็พึมพำกับตนเอง
“แปลกจริง! ทำไมเขาถึงมีคลื่นพลังของนักรบอสูรบนร่างกายได้? กลิ่นอายนั้นราวกับกิ้งก่าโลหิตใต้ดิน ไม่ใช่สิ น่าจะคล้ายคลึงกับราชากิ้งก่าโลหิตใต้ดินเสียมากกว่า”
ทิวทัศน์รอบตัวพุ่งผ่านหูของเขาอย่างต่อเนื่อง และยิ่งหลงเฉินเข้าใกล้มากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดตระกูลไป๋ถึงต้องการสังหารพวกเขา หลงเฉินรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลไป๋และตระกูลหยางนั้นแน่นแฟ้นยิ่งนัก และคงเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาลหากไม่เกิดเรื่องผิดใจระหว่างกัน หากมีใครคนใดคนหนึ่งสังหารอีกฝ่ายขึ้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาย่อมพังทลายลงและจบลงด้วยความตายเท่านั้น
‘เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต่างปรารถนาสิทธิ์ในการปกครองเมืองในเวลาอีกยี่สิบปีข้างหน้างั้นรึ? แต่พวกเขาก็กำลังจะแต่งงานกันนี่นา’
แม้ว่าเขาจะเฉลียวฉลาดอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในตอนนี้ เสียงของการต่อสู้เริ่มดังให้ได้ยินมาจากข้างหน้า สายตาของหลงเฉินพลันเย็นชาขึ้นราวกับเสือที่กำลังล่าเหยื่อในป่าและเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว
พื้นที่โล่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า และผู้ที่กำลังต่อสู้อยู่คือหยางหลิงเยวี่ยและไป๋ซื่อจี ซึ่งทั้งคู่เคยเกี้ยวพาราสีกันมานานแล้ว
เมื่อหลงเฉินกวาดตามอง เขาก็เห็นหยางอู่ล้มลงกับพื้น ใบหน้าของเขาซีดเผือด เลือดไหลทะลักออกจากมุมปาก หยางอู่จ้องเขม็งไปที่ไป๋ซื่อจีด้วยความเกรี้ยวกราด ในขณะเดียวกัน ไป๋จื้อซิงและไป๋ซื่อตงอยู่ข้าง ๆ หยางอู่ และจับตัวหยางอู่ที่กำลังบาดเจ็บไว้
ไป๋ซื่อจีกำลังกลั่นแกล้งหยางหลิงเยวี่ย เขาสามารถทำร้ายนางได้หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ลงมือ เขาทำเพียงฉีกทึ้งเสื้อผ้าออกจากร่างของนางทีละน้อย ๆ
จนกระทั่งตอนนี้ เสื้อผ้าของหยางหลิงเยวี่ยเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ จนนางเกือบจะเปลือยกายเต็มที ในตอนนี้ นางร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า สายตาของนางเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง
“ไป๋ซื่อจี เจ้านี่มันชั่วช้าจริง ๆ!”
เมื่อเห็นว่าไป๋ซื่อจีกำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่หน้าอกของนาง หยางหลิงเยวี่ยดุด่าเขาด้วยความสิ้นหวังทั้งหมดที่มี
*************************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm