ตอนที่ 30 ฉันชอบอยู่กับเธอ
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
กู้เฉิงเซียวกลายเป็นฮีโร่ที่โด่งดังในโลกโซเชียลในพริบตา เพียงชั่วข้ามคืนหลังจากคลิปของเหตุการณ์ครั้งนั้นถูกโพสต์ออกไป ภาพวีรบุรุษหนุ่มหล่อเท่ที่เสี่ยงชีวิตแข่งขันกับเปลวไฟและเวลาเพื่อช่วยคนก็กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ในเช้าวันถัดมาคลิปวิดีโอทุกคลิปรวมถึงภาพนิ่งทุกภาพที่เกี่ยวกับการช่วยชีวิตคนของกู้เฉิงเซียวกลับหายวับไปราวกับไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น
ไม่มีคลิป ไม่มีภาพ และไม่ว่าจะค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดใดก็ไม่เจอ มีแค่ข่าวอุบัติเหตุสั้นๆ ที่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆเลย ข้อมูลทุกอย่างของกู้เฉิงเซียวถูกบล็อกจนหมด
ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดกระแสใหม่ เป็นการคาดการณ์อย่างหลากหลายถึงเหตุผลที่มีคนจงใจทำแบบนั้น
--“ดูท่าว่าฮีโร่คนนี้จะเป็นฮีโร่ตัวจริงแน่ๆ และรัฐบาลคงกำลังปกป้องเขาด้วยการปกปิดข้อมูล”--
--“นี่เราได้เจอคนจริงแล้วนะเนี่ย ปกติคนจริงไม่ค่อยออกมาเปิดเผยตัวให้เห็นง่ายๆหรอก”--
--“แต่มันก็เร็วเกินไปหน่อย เรื่องนี้ยังแพร่ออกไปได้แค่คืนเดียวก็โดนลบไปจนหมด ดูเหมือนคนที่อยู่เบื้องหลังคงจะมีอิทธิพลไม่น้อยเลย แต่จะอะไรก็ช่าง..ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องชื่นชมในตัวฮีโร่คนนี้”--
“……”
——
สนามหญ้าข้างทางเดินยังคงเป็นสีเขียวสดใส อากาศอันอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องลงมาผ่านเหล่าใบไม้ที่ยังเหลืออยู่ประปรายบนต้น มองเห็นเป็นรูให้แสงส่องลงมาบนถนนเป็นจุดๆ มันทั้งระยิบระยับสลับกับเป็นเงามืดๆ ดูกระดำกระด่าง
เก้าอี้ยาวหลายตัวถูกวางไว้ริมทางเดินให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้นั่งพัก ฉู่โม่เฟิงจอดจักรยานของเขาไว้ด้านข้างเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งก่อนจะใช้แขนแข็งแรงปัดใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนเก้าอี้ออก “นั่งก่อนสิ” ฉู่โม่เฟิงบอกสาวน้อยข้างกาย
หลินเฉี่ยนส่ายหน้าปฏิเสธพลางหันมองถนนทั้งซ้ายและขวา เธอมองออกไปไกลจนสุดปลายทางทั้งสองด้าน “อาสองของแกยังไม่มาอีกเหรอ?”
“รถคงจะติดแหละ การจราจรในเมืองติดอย่างกับอะไรดีเธอเองก็น่าจะรู้ ฉันว่าเธอนั่งก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไรฉันยืนดีกว่า” หลินเฉี่ยนยังคงลังเลที่จะนั่งกับเขา เธอไม่ต้องการกระทำการใดๆ ที่ดูคลุมเครือเพราะมันอาจจะกลายเป็นเหมือนการให้ความหวังกับอีกฝ่าย
ฉู่โม่เฟิงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน ในเมื่อเธอยืนเขาก็จะยืนด้วย “ดูสีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลยนะ เมื่อคืนนอนไม่เต็มอิ่มเหรอ?”
หลินเฉี่ยนไม่ได้สนใจที่จะตอบคำถามของชายหนุ่มแม้แต่น้อย แถมยังส่งคำถาม ถามเขากลับไปแทน “เมื่อวานเกิดอุบัติเหตุรถชนเหรอ?”
“เธอรู้ได้ไง?”
“ก็เห็นจากอินเทอร์เน็ตเมื่อวาน คลิปเหตุการณ์ถูกแชร์ออกไปเยอะซะขนาดนั้น ภาพก็ชัดเป๊ะ ฉันมองออกนะว่าคนที่เข้าไปช่วยคนพวกนั้นคืออาสองของนาย”
ฉู่โม่เฟิงไม่ได้พยายามปกปิดมัน เขาบอกความจริงไป “ใช่ เมื่อคืนรถของอาสองก็เกือบจะชนเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วหลังจากนั้นเขาก็วิ่งไปช่วยคนเจ็บในรถอีกคันเลยบาดเจ็บกลับมาด้วยนิดหน่อยน่ะ”
“บาดเจ็บด้วยเหรอ เป็นอะไรมากไหม?” หลินเฉี่ยนถามด้วยความกังวล ‘ไปช่วยคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองก็เกือบจะเกิดอุบัติเหตุขนาดนั้นไม่กลัวตายบ้างเลยรึไง?’
“เอ่อ...ฉันก็เกือบจะตาบอดด้วยเหมือนกันนะ” ฉู่โม่เฟิงพูดพร้อมกับถอดแว่นกันแดดออก เห็นชัดว่าส่วนที่เป็นตาขาวของเขามีรอยแดงซ่านที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยในตาแตก และมันก็กินบริเวณกว้างเขาไปจนเกือบถึงลูกตาดำเลยด้วย รอยแผลนี้เกิดขึ้นตอนที่รถของเขาและอาชนเข้ากับสะพาน “ดูแย่มากเลยใช่ไหม? หมอบอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สองอาทิตย์เลยแหละถึงจะหายดี”
คำตอบของฉู่โม่เฟิงทำให้หลินเฉี่ยนมีสีหน้าเป็นกังวลมากกว่าเดิมและครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความโกรธปนอยู่ด้วย สาวน้อยรีบพูดต่อด้วยแววตาที่ติดจะหงุดหงิด “ฉันไม่ได้หมายถึงนาย ฉันหมายถึงอาสองของนายต่างหากล่ะ”
“แล้วเธอจะไปห่วงเขาทำไม? เธอรู้จักเขาเหรอ?” ฉู่โม่เฟิงงุนงง
“....ก็มันเป็นเรื่องที่คนทั้งประเทศกำลังจับตามอง ใครๆก็อยากรู้เรื่องของฮีโร่คนนี้ทั้งนั้นแหละ” หลินเฉี่ยนแทบชะงักไปกับคำถามนั้น แต่เธอก็ยังตั้งสติกลับมาและหาข้ออ้างตอบคำถามนั้นได้ทัน
“ถึงเธอจะรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่าทางดีที่สุดคืออย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด เพราะตัวตนของอาสองเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ ถึงได้มีการปกปิดข้อมูลของเขาอย่างแน่นหนาแบบนี้”
หลินเฉี่ยนอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที “ทำไมล่ะ?”
“ก็...อาสองของฉันเป็นทหารไง” ฉู่โม่เฟิงไม่อยากมีความลับกับสาวคนพิเศษของเขาจึงเล่าให้เธอฟังเท่าที่เขาเล่าได้ “ตอนนี้เขาเป็นทหารข้อมูลของเขาจึงต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับ เธอห้ามเอาข้อมูลของเขาไปบอกคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ…..แต่อย่าบอกนะว่าที่เธอบอกให้ฉันเรียกเเขามาก็เพราะอยากจะได้ลายเซ็น?”
“นี่แกเห็นฉันคนแบบนั้นเรอะ?”
“แล้วถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น เธอจะเรียกเขาออกมาทำไมล่ะ?”
“ก็...ก็เพราะว่า...เพราะว่า…” หลินเฉี่ยนเริ่มจะหาข้ออ้างไม่ได้อีกแล้ว เธอถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะพูด “เอาเป็นว่าฉันเองก็นับถือเขาก็แล้วกัน”
ฉู่โม่เฟิงยิ้มออกมาแล้วพูดด้วยความภูมิใจ “ฉันเองก็เหมือนกัน ฉันชื่นชมและยกย่องเขาตั้งแต่เด็กๆเลยล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะแก่กว่าฉันแต่พวกเรากลับเป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่า เดี๋ยวถ้าเขามาเธอไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเกร็งนะ ทำตัวสบายๆ เถอะ ถึงเขาจะดูเคร่งขรึมจริงจังมากไปหน่อยแต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนง่ายๆ ธรรมดาๆ นี่แหละ”
“…….” ‘คนง่ายๆ? ถ้าคนแบบนั้นเรียกว่าง่ายๆ ได้ งั้นคนอย่างฉันถ้าจะเรียกว่ากุลสตรีก็คงไม่แปลกละล่ะ อีกอย่างคนที่จะต้องเกร็งตอนเจอเขาไม่ใช่แค่ฉันหรอก น่าจะเป็นนายด้วยมากกว่ามั้ง’
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฮีโร่ที่พวกเรายกย่องจะเจ็บตัวง่ายๆ ได้ยังไง เขาก็มีแค่แผลถลอกนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นแหละ”
“แล้วเขาบาดเจ็บแบบนี้บ่อยๆ เหรอ?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตอนที่เขาเจ็บเขาก็ไม่เคยบอกให้คนที่บ้านรู้นักหรอก” ฉู่โม่เฟิงเห็นหลินเฉี่ยนอยากจะรู้เรื่องนั้นมากจึงถือโอกาสนี้หยอกล้อเธอเล่น “นี่ๆ เธอเป็นห่วงเขาขนาดนี้ฉันเริ่มจะหึงแล้วนะ”
“…….” หลินเฉี่ยนชะงักมองเขานิ่งก่อนจะตีหน้าขรึมพูดเสียงจริงจัง “เลิกพูดเล่นสักที เดี๋ยวอีกไม่นานนายก็ขำไม่ออกแล้ว”
“ฮ่าๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฉันจะหัวเราะ ฉันจะหัวเราะมีอะไรไหม” ฉู่โม่เฟิงยังคงเล่นต่อ
“……” แต่สาวน้อยของเขาไม่ขำไปด้วย หนุ่มหล่อจึงต้องยอมแพ้ในที่สุด “โอเคๆ ไม่แซวแล้วก็ได้”
ตอนนี้ภายในใจของหลินเฉี่ยนกำลังอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย มันทั้งซับซ้อนและผสมปนเปกันอย่างยุ่งเหยิง เมื่อมองเห็นฉู่โม่เฟิงที่ดูไร้เดียงสาจนดูโง่ เธอก็ไม่สามารถพูดความจริงออกไปได้ และในที่สุดหลินเฉี่ยนก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า เรื่องนี้เธอควรปล่อยให้กู้เฉิงเซียวเป็นคนจัดการถึงจะดีที่สุด
เวลานี้ฉู่โม่เฟิงที่อยู่ตรงหน้าเธอดูเป็นกันเอง เข้าถึงง่ายและติดดิน เขาไม่ได้ดูสูงส่งเย็นชาเหมือนที่เขาเคยเป็นก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเหมือนเป็นคนละคน ซึ่งความจริงที่ขมขื่นคือที่เขาเปลี่ยนตัวเองก็เพื่อให้เธอได้เห็นถึงความจริงใจ
‘เฮ้อ...เธอคงทำได้เพียงแค่ขอโทษเขาเท่านั้นแหละ’
หลินเฉี่ยนยืนนิ่งจนใบไม้ร่วงลงมาใส่หัวไม่รู้ตัว ฉู่โม่จึงเฟิงยกมือขึ้นเพื่อจะปัดเอาใบไม้นั้นออกจากผมของเธอ เขาก้มหน้าลงมาในจังหวะเดียวกันกับที่เธอเงยหน้าขึ้นไป และในตอนนั้นเองที่ดวงตาของพวกเขาทั้งคู่สบประสานกัน ห้วงเวลาแห่งความเงียบก่อตัวขึ้น แต่ถ้าหากจะบอกว่ามันเป็นห้วงเวลาที่พิเศษของคนสองคนก็ไม่คงไม่ใช่ หรือถ้าจะบอกว่ามันเป็นเพียงช่องว่างระหว่างบทสนทนาในตอนที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาก็อาจจะไม่ถูกเสียทีเดียว
พวกเขานั่งโต๊ะติดกันตั้งแต่อยู่ ม. 5 ตอนนั้นพวกเขายังเด็ก ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังชอบกันและกันอยู่ และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีการในการเข้าหากัน ซึ่งเมื่อพวกเขายิ่งอยากเข้าใกล้กันมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้พวกเขาห่างไกลกันออกไปมากขึ้นเท่านั้นเพราะต่างฝ่ายต่างเข้าหากันในแบบผิดๆ
ฉู่โม่เฟิงเป็นคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ขณะที่หลินเฉี่ยนกลับเป็นแค่เด็กมีปัญหาที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่เล็กๆ ฉู่โม่เฟิงเคยดูถูกดูแคลนหลินเฉี่ยน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกอิจฉาเธอในบางมุม
อันที่จริงตระกูลฉู่วางแผนที่จะให้ลูกชายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เป็นเพราะเขาได้พบกับหลินเฉี่ยน มันจึงทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะต่อต้านครอบครัวของตัวเองและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ หลังจากที่ได้พบเธอ ชีวิตของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จากชีวิตสวยหรูในเทพนิยาย กลายเป็นชีวิตเรียบง่ายแบบคนธรรมดาอย่างช้าๆ
ทันทีที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่แปลกไปของอีกฝ่ายหลินเฉี่ยนก็พูดขึ้นว่า “เลือดคั่งในตาขนาดนั้นแล้วยังจะส่งสายตาแบบนั้นอีก แกกำลังปล่อยพลังใส่ฉันเรอะ? หรือพยายามจะสะกดจิตฉันอยู่หรือไง?”
ถึงจะเป็นคำพูดที่ขัดอารมณ์ แต่ฉู่โม่เฟิงกลับไม่ได้รู้สึกโกรธ ตรงกันข้ามเขายังยิ้มกว้างออกมา จนดูเหมือนเด็กๆ ที่กำลังหัวเราะสดใสและไร้เดียงสา และ...ใช่มันละลายหัวใจใครต่อใครได้ในรอยยิ้มเดียว “หลินเฉี่ยนเธอนี่ตลกจังเลยนะ ฉันล่ะชอบอยู่กับคนแบบเธอจริงๆ”
“…….” โอ่ย…..ให้ฉันได้พักบ้างเถอะ พ่อคุณ
และในตอนนี้เองที่กู้เฉิงเซียวมาถึง เขาขับรถมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ เขาเห็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวยืนพูดคุยหยอกล้อ ยิ้มให้กันเหมือนคู่รักที่สมบูรณ์แบบ
เขาไม่เคยรู้สึกว่าการที่เขาอายุห่างกับหลินเฉี่ยนถึงแปดปีจะเป็นปัญหา แต่หลังจากที่ได้เห็นหนุ่ม-สาวอายุรุ่นราวคราาวเดียวกันยืนคู่กัน ยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก ที่ไม่ควรและไม่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกของพวกเขาได้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาแต่งงานกับหลินเฉี่ยนไปก่อนแล้ว บางทีสองคนนี้ก็อาจจะกลายเป็นคู่รักที่ดีมากกว่าที่เขากำลังคู่กับหลินเฉี่ยนอยู่ตอนนี้ก็ได้
รถเอสยูวีคันใหญ่เหมือนกำลังตอบสนองต่ออารมณ์ของเจ้าของ ล้อขนาดใหญ่ของมันบดขยี้ลงบนกองใบเมเปิลแห้งๆ เสียงดังกรอบแกรบอย่างไม่ไยดี
“อะ อาสอง!” หลังจากที่เห็นท่าทีที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ของคนเป็นอาฉู่โม่เฟิงก็เรียกเขาด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะหันไปมองหลินเฉี่ยนแล้วลากตัวเธอเข้ามายืนหลบด้านหลังเขา
ทว่าการกระทำของฉู่โม่เฟิงกลับทำให้ใบหน้าที่มืดมนของกู้เฉิงเซียวดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
เขาอยู่ในเครื่องแบบทหาร และด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ทำให้เขายิ่งดูมีสง่าราศี เมื่อเขายืนอยู่ตรงหน้าเด็กสองคน ทำให้จึงก่อให้เกิดภาพที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนวัยผู้ใหญ่ดูภูมิฐานกับเด็กวัยรุ่นก๊อกแก๊กทั่วไปได้อย่างชัดเจน
“อาสองครับ นี่เพื่อนร่วมชั้นของผมเอง หลินเฉี่ยนครับ เอ่อ...หลินเฉี่ยนนี่อาสอง ฮีโร่ในวัยเด็กของฉันเองล่ะ”
สายตาที่เสมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ข้างในของกู้เฉิงเซียวกำลังจับจ้องอยู่ที่หลินเฉี่ยน ซึ่งนั่นก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวแทบหลุดออกจากอก อย่าว่าแต่ให้คาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เลยแค่คิดจะสูดลมหายใจให้เต็มปอดเธอก็ว่ามันยากเต็มทีแล้ว
ฉู่โม่เฟิงเห็นหลินเฉี่ยนยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงสะกิดเธอเบาๆ ด้วยข้อศอก “เป็นอะไร ได้เห็นฮีโร่ตัวเป็นๆ จนช็อกไปเลยเหรอ?”
หลินเฉี่ยนถลึงตามองเขาอย่างหมดความอดทน “เอาศอกมากระทุ้งฉันทำไมเนี่ย? นี่แล้วก็เลิกผลักๆ ดันๆ ตัวฉันได้แล้วนะ”
“โอ้ โทษที แหมไม่เคยรู้ว่าเธอก็อายเป็นกับเขาด้วย ฮ่าๆๆๆๆ”
“……”
ท่าทางที่เข้ากันได้ดีของพวกเขาทั้งสองทำให้ใบหน้าของกู้เฉิงเซียวยิ่งมืดมนลงกว่าเดิมอีกหลายเท่า
.
.
.
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm