ตอนที่ 30 คุณชายหลาง
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
เมื่อการแข่งขันล่าสัตว์อสูรและพิธีแต่งงานกำลังใกล้เข้ามา คนหนุ่มสาวที่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์อสูรต่างก็รู้สึกประหม่าอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ กลับยิ้มแย้มอย่างมีความสุขเพราะพิธีแต่งงานที่กำลังจะจัดขึ้น
โดยเฉพาะผู้นำตระกูลหยาง หลังจากรอคอยมานานกว่าครึ่งชีวิต เขาก็ได้เห็นบุตรสาวของตนเองได้พบความสุขเสียที เช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลยในทุกวันที่ผ่านไป
และในวันนี้ ตอนเช้าตรู่ หลงเฉินติดตามหยางหลิงชิง หยางหลิงเยวี่ย และหยางอู่ไปภายใต้การนำของหยางชิงเสวียน พวกเขามุ่งหน้าไปยังประตูทางออกของเมือง ซึ่งนำไปสู่ภูเขาเดียวดาย
สำหรับคนอื่น ๆ เป็นเพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป จึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะป้องกันตนเองเมื่อเข้าสู่ภูเขาเดียวดาย และอาจจะกลายเป็นภาระให้กับผู้อื่น ดังนั้น ทั้งสองครอบครัวจึงตกลงที่จะไม่ยอมให้พวกเขาติดตามมาด้วย
เช่นนั้นแล้ว แต่ละตระกูลจึงมีคนเพียงสี่คนที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน และผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากตระกูลหยางนั้นอ่อนแอกว่าตระกูลไป๋เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การล่าสัตว์อสูรยังคงต้องอาศัยโชคอีกมาก ดังนั้นผลลัพธ์ของการแข่งขันจึงไม่แน่นอนนัก
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำตระกูลไป๋และตระกูลหยางนั้นไม่ได้ตึงเครียดเหมือนตระกูลจากเมืองอื่น ๆ สำหรับพวกเขาแล้ว ราวกับว่าการแข่งขันล่าสัตว์อสูรนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานแต่งงาน ทั้งสองตระกูลจึงมุ่งเน้นไปที่การเตรียมงานแต่งงานมากกว่า ทำให้เหล่าลูกหลานสามารถแข่งขันกันได้อย่างอิสระเพื่อสิทธิ์ในการปกครองเมืองพฤกษาหมอกเป็นเวลา ถึงยี่สิบปี
ตลอดทาง หยางหลิงเยวี่ยและหยางอู่เดินเคียงข้างกัน และมีหลงเฉินกับหยางหลิงชิงเดินตามหลังไปติด ๆ
“นี่... เจ้ามีวิธีปกป้องชีวิตตัวเองหรือยัง?”
หยางหลิงชิงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ก็แค่ตัวตลกจากตระกูลไป๋ไม่กี่คน พวกนั้นจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างไรกัน?”
หลงเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
หยางหลิงชิงทำสีหน้าระอาและเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็ได้ ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว หากตกอยู่ในอันตราย เจ้าก็ตะโกนเสียงดัง ๆ ถ้าข้าได้ยิน ข้าก็จะพยายามไปช่วยเจ้าก็แล้วกัน”
หลงเฉินพยักหน้า เขารู้สึกชอบพอน้องสาวคนนี้เป็นอย่างมาก หากพวกเขาไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน เขาอาจจะยื่นมือไปกุมมือนางไว้ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินคำพูดโอ้อวดของหลงเฉิน หยางอู่และหยางหลิงเยวี่ยก็หันมามองหลงเฉิน สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดูถูก จากนั้นพวกเขาก็รีบหันกลับไป หยางหลิงเยวี่ยมองพี่ชายของนางและเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ท่านพี่ จำที่ท่านสัญญากับข้าไว้ได้หรือไม่?”
หยางอู่พยักหน้า
“หากคนตระกูลไป๋ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ข้าจะสอนบทเรียนให้เขาเอง”
ทั้งสองพูดคุยกันด้วยเสียงที่แผ่วเบา เพื่อที่หลงเฉินและหยางหลิงชิงจะได้ไม่ได้ยินพวกเขา
พวกเขามาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว แต่หลงเฉินก็พบว่ามีคนจากตระกูลไป๋ห้าคนมาถึงก่อนนานแล้ว
คนที่เป็นผู้นำกลุ่มคือไป๋จ้านเฟิง บุตรชายคนที่สี่ของตระกูลไป๋ และอีกสี่คนที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนั้น เมื่อเห็นหลงเฉิน ไป๋ซื่อจีเยาะเย้ยและชี้มาทางหลงเฉินในทันที
หลงเฉินรู้ว่ามันคือกระบวนท่าดัชนีสวรรค์ทมิฬ
เขาไม่สนใจการยั่วยุที่เห็นได้ชัดนี้ เขาไม่มองไป๋ซื่อจีเสียด้วยซ้ำ แต่กลับมองไปที่ผู้ควบคุมการแข่งขันล่าสัตว์อสูรที่ยืนอยู่ตรงหน้าซึ่งมาจากตระกูลหลิงอู่แห่งนครหยวนหลิง
เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำขลับ และสวมผ้าคลุมบนศีรษะ รูปลักษณ์ของเขานั้นมองเห็นไม่ชัดนัก แต่ร่างกายของเขาปล่อยคลื่นพลังจาง ๆ ออกมา เป็นความรู้สึกที่หลงเฉินไม่สามารถอธิบายได้
“เมื่อเทียบกับทุกคนที่นี่ คนผู้นั้นแข็งแกร่งมากทีเดียว” เสียงของหลิงซีดังขึ้น
“แข็งแกร่งแค่ไหนรึ?”
“ข้าจะอธิบายให้คนทึ่มอย่างเจ้าเข้าใจได้อย่างไร เอาเป็นว่าแม้แต่ตาของเจ้าก็ไม่สามารถทนรับกระบวนท่าของเขาได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็แล้วกัน”
คำพูดของหลิงซีทำให้หลงเฉินขนลุกชันในทันที!
บางที ในสายตาของหลิงซี การสังหารท่านตาของเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียวนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับโลกของหลงเฉินแล้ว การที่จะสังหารผู้นำตระกูลหยางได้ คนผู้นั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานอย่างยิ่ง ด้วยกระบวนท่าเดียวงั้นรึ ช่างเป็นคนที่น่าเกรงขามจริง ๆ!
เขาจ้องเขม็งไปที่คนผู้นั้น และเขาก็มองมาที่หลงเฉินเช่นกัน ดูราวกับว่าเขากำลังประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขากลับเลิกสนใจหลงเฉินอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ หยางชิงเสวียนยกมือคารวะชายผู้นั้นและเอ่ยขึ้น
“คุณชายหลาง พวกเราพาลูกหลานตระกูลหยางมาถึงแล้ว”
“อืม เช่นนั้นก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาเดียวดายกันเถอะ พวกท่านทั้งสองไปได้แล้ว ตระกูลหลิงอู่จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมกับพวกท่านเอง”
แม้แต่หยางชิงเสวียนและไป๋จ้านเฟิงก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา ดูเหมือนว่าสิ่งที่หลิงซีพูดจะเป็นความจริง
หลงเฉินได้ยินเสียงของเขา และดูเหมือนว่าเขาจะยังหนุ่มอยู่มาก เกือบจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าควรรู้ไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมมีคนที่เก่งกว่าเจ้าอยู่เสมอ หากเจ้าซึ่งเป็นยอดฝีมือในเมืองพฤกษาหมอก เมื่อมาอยู่ในเมืองใหญ่เช่นนี้ เจ้าก็ไม่ต่างกับขยะในสายตาคนอื่นหรอกหากเทียบกันเรื่องการฝึกฝน”
คำพูดของหลิงซีทำให้เขาตระหนักว่าความรู้ของเขานั้นช่างตื้นเขินนัก แต่ก็ยังสามารถขยายขอบเขตไปได้อีกไกลโพ้น อันที่จริงแล้ว คนที่อายุเท่าเขาผู้นี้ กลับมีความแข็งแกร่งระดับสูง หลงเฉินรู้สึกนับถือในตัวเขาอย่างแท้จริง
เมื่อหยางชิงเสวียนและไป๋จ้านเฟิงจากไป คุณชายหลางก็รีบมุ่งหน้าไปยังภูเขาเดียวดายในทันที บรรดาลูกหลานตระกูลไป๋และตระกูลหยางมองหน้ากันด้วยความกลัว จากนั้นก็รีบตามไปติด ๆ
หยางอู่และหยางหลิงเยวี่ยเดินไปด้วยกันกับคนตระกูลไป๋ เมื่อหยางหลิงชิงเห็นว่าหลงเฉินถูกทิ้งไว้คนเดียว นางจึงลังเลใจและสุดท้ายก็มาอยู่เคียงข้างเขา
เวลานี้ หยางหลิงเยวี่ยกำลังพูดคุยกับไป๋ซื่อจีอย่างมีความสุข เมื่อนางเห็นหยางหลิงชิงเดินอยู่กับหลงเฉิน นางก็มีสีหน้าไม่พอใจและเอ่ยขึ้น
“หลิงชิง มานี่สิ พี่ไป๋ซื่อเฉินอยากจะทำความรู้จักกับเจ้า”
ข้าง ๆ นางคือไป๋ซื่อเฉิน การฝึกวิชาของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าไป๋ซื่อจีเสียอีก เขาส่งยิ้มอบอุ่นให้หยางหลิงชิง ภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ของพระอาทิตย์ในยามเช้า เขาดูงดงามราวเทพบุตรที่มาเยือนโลกมนุษย์ ทำให้หัวใจของหยางหลิงเยวี่ยสั่นไหว
แต่ถึงกระนั้น หยางหลิงชิงก็ไม่เชื่อคำนาง นางเอ่ยด้วยความลำบากใจ
“พี่หลิงเยวี่ย ข้ายังอยากคุยกับพี่เฉินต่อน่ะ...”
หยางหลิงเยวี่ยเสียหน้าต่อหน้าวีรบุรุษตระกูลไป๋และเริ่มไม่พอใจ เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของหยางหลิงเยวี่ย หลงเฉินจึงเอ่ยขึ้น
“หลิงชิง เจ้าไปเถอะ เผื่อพวกเขาจะไม่ยอมให้เจ้าติดตามไปด้วย”
แน่นอนว่าเขาต้องการลงมือเพียงลำพัง หากหยางอู่และหยางหลิงเยวี่ยทอดทิ้งหยางหลิงชิงคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางท่ามกลางภูเขาเดียวดายที่เต็มไปด้วยภยันตรายแห่งนี้
หยางหลิงชิงเองก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน นางมองหลงเฉินเป็นเชิงขอโทษ เมื่อนางเดินตามไป หยางหลิงเยวี่ยจึงยิ้มออกและแนะนำนางให้วีรบุรุษตระกูลไป๋ทั้งสองได้รู้จัก
หยางหลิงชิงนั้นมีเสน่ห์มากกว่าหยางหลิงเยวี่ยเล็กน้อย เช่นนั้นแล้ว ไป๋ซื่อเฉินที่ไม่ค่อยพูดค่อยจาถึงกับเล่าประสบการณ์ยี่สิบปีที่ผ่านมาให้นางฟัง
‘คิดจะเกี้ยวน้องสาวข้างั้นรึ? รอก่อนเถอะ ข้าจะตัดจ้าวโลกของเจ้าเสียเลย’
หลงเฉินคิดอย่างชั่วร้าย
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงภูเขาเดียวดายในที่สุด
คุณชายหลางหันมาและเอ่ยขึ้น
“ก่อนตะวันตกดิน พวกเจ้าต้องรีบกลับมาที่นี่เพื่อส่งมอบผลึกอสูรให้ข้าได้ตรวจสอบ”
จากนั้น น้ำเสียงของเขาพลันเย็นชาและจริงจังขึ้น
“ข้ามาจากตระกูลหลิงอู่ เช่นนั้นแล้ว จงอย่าคิดใช้เล่ห์กลใด ๆ ต่อหน้าข้า ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้าทั้งหมด ผลึกอสูรที่มาจากสัตว์อสูรที่พวกเจ้าฆ่าด้วยมือตัวเองเท่านั้นจึงจะนับได้ หากมีผู้ใดนำผลึกอสูรที่มีจำนวนมากกว่าสัตว์อสูรที่ตัวเองฆ่า คนผู้นั้นจะถูกฆ่าด้วยน้ำมือข้าเอง!”
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าสอดส่องพวกเจ้าได้อย่างไร หากพวกเจ้าต้องการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ พวกเจ้าจะลองดูก็เชิญ แต่หากพวกเจ้าต้องสังเวยชีวิตเพราะมัน จะมาโทษข้าไม่ได้ นอกจากนี้ พวกเจ้ายังสามารถฉกฉวยผลึกอสูรจากฝ่ายตรงข้ามได้ หรือแม้แต่ฆ่าพวกเขา การกระทำนี้ได้รับอนุญาตจากตระกูลหลิงอู่อย่างเป็นทางการ”
น้ำเสียงของคุณชายหลางแฝงไปด้วยพลังเวทมนตร์ที่แปลกประหลาด แม้แต่ไป๋ซื่อเฉินที่แข็งแกร่งที่สุดยังเหงื่อไหลเมื่อได้ยินเสียงของเขา
ความจริงแล้ว คำพูดของคุณชายหลางนั้นถูกย้ำเตือนโดยเหล่าผู้อาวุโสก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ พวกเขาตระหนักดีว่าตระกูลหลิงอู่นั้นแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าใช้ลูกไม้แอบแฝงใด ๆ โดยเด็ดขาด
“ก่อนหน้านี้เคยมีคนแอบฝังผลึกอสูรไว้ในพื้นที่แข่งขัน แต่ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาทุกคนถูกฆ่าตายทั้งหมด...”
“หากพวกเจ้าไม่มีอะไรจะคัดค้านก็เริ่มได้เลย เร่งมือเข้าและใช้เวลาให้คุ้มค่า!”
หลงเฉินตระหนักดีในหัวใจว่าภายใต้การจับตามองของคุณชายหลาง มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่เขาจะสามารถครอบครองผลึกอสูรได้ วิธีแรกคือฆ่าสัตว์อสูร และวิธีที่สอง คือขโมยมันมาจากฝ่ายตรงข้าม
ในเวลานี้ ไป๋ซื่อจีและคนอื่น ๆ มองหลงเฉินด้วยสายตาเย็นชาและเข้าไปในภูเขาเดียวดายเป็นพวกแรก ตามด้วยหยางอู่และคนอื่น ๆ แม้ว่าหยางหลิงชิงจะเป็นห่วงหลงเฉิน แต่นางก็จำต้องแยกไปหลังจากให้คำแนะนำกับเขาเล็กน้อย
‘สี่ชั่วยามก็เพียงพอให้ข้าจัดการกับไป๋ซื่อจี และยังขโมยผลึกอสูรจากเขาได้อีกด้วย’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลงเฉินจึงต้องการเข้าไปในภูเขาเดียวดาย แต่ทว่าคุณชายหลางกลับมายืนอยู่เบื้องหน้า เขาใช้สายตาพินิจพิจารณาและเอ่ยขึ้น
“ภายในเวลาไม่ถึงเดือน เจ้าก็สามารถบรรลุได้ถึงสี่ขั้น และยังบรรลุวิชาเกราะดาราจรัสแสงอีกงั้นรึ?”
หลงเฉินชะงักไปทันที
คุณชายหลางผู้ลึกลับรู้เรื่องของเขามากขนาดนี้ แม้แต่เรื่องเกราะดาราจรัสแสง
ขณะที่หลงเฉินกำลังจะเอ่ยถาม เขาก็พูดขึ้นในทันที
“ข้าไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาแล้ว รีบเข้าไปเถอะ ข้าเห็นคนของตระกูลไป๋มีจิตสังหารต่อเจ้า เช่นนั้นก็จงระวังตัวเอาไว้ให้ดี”
เมื่อพูดจบ ร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากสายตาของหลงเฉินพร้อมเสียงหวีดหวิวของลม ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน…
‘เขารู้กระทั่งเรื่องที่ข้าบรรลุวิชาเกราะดาราจรัสแสง และยังสนใจความเป็นความตายของข้าอีก เสียงและรูปร่างของเขาช่างคุ้นตานัก คนผู้นี้...”
หลงเฉินพลันนึกถึงเด็กหนุ่มที่มอบคัมภีร์เกราะดาราจรัสแสงกับเขา เขาเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาแน่ใจว่าต้องใช่คุณชายหลางผู้นี้อย่างแน่นอน เด็กหนุ่มที่มีใบหน้างดงามกว่าผู้หญิง แม้แต่หลงเฉินเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง!
“ในตอนนั้น ข้าเดาอยู่แล้วว่าเขาจะต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาจากตระกูลหลิงอู่ เช่นนั้นก็ไม่แปลกใจแล้วว่าเขามาที่เมืองพฤกษาหมอกทำไม นึกว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อสืบประวัติของทั้งสองตระกูลใหญ่ในเมืองพฤกษาหมอกเสียอีก และแน่นอนว่าคัมภีร์วิชาเกราะดาราจรัสแสงที่เขามอบให้ข้าก็เป็นประโยชน์อย่างมาก และครั้งนี้เขายังย้ำเตือนกับข้าอีก ดูเหมือนว่าข้า...หลงเฉิน จะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเหมือนกันแฮะ...”
ขณะที่เขาถึงเรื่องนั้นด้วยความภาคภูมิใจ เขาก็รีบเข้าไปในภูเขาเดียวกายและซ่อนตัวทันที
“ใครที่ดีกับข้า ข้าย่อมต้องตอบแทนความมีน้ำใจนั้นกลับไปเป็นร้อยเท่า หลิงซี หลิงชิง และแม้แต่คุณชายหลางผู้นี้ ทุกคนปฏิบัติต่อข้าโดยไม่มีข้อแม้อันใด ข้าจะต้องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง!”
ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นของเขา หลงเฉินจึงพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
“เมื่อมีหลิงซีอยู่ด้วย การหาตัวไป๋ซื่อจีย่อมเป็นเรื่องง่ายกว่าการที่เขาหาตัวข้า ลืมมันเสียเถอะ รอจนกว่าพวกเขาจะต่อสู้กับสัตว์อสูรจนถึงจุดที่บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ข้าจะเดินไปรอบ ๆ ภูเขาเดียวดายแห่งนี้สักพักก่อนที่จะปลิดชีวิตเขา”
“ด้วยพลังการรับรู้ที่ยอดเยี่ยมของหลิงซี หลงเฉินจึงสามารถหลบเลี่ยงสัตว์อสูรที่แปลกประหลาดเกินไปได้อย่างง่ายดาย เขาค่อย ๆ เดินลึกเข้าไปในภูเขาเดียวดาย ป่าโดยรอบค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น
“ในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาเดียวดายคืออาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูร คราวที่แล้วข้าออกมาอีกทาง ข้าจึงไม่ได้ผ่านภูเขาเดียวดายทางนี้...”
“อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกอ้างว้างเริ่มก่อตัวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเดาว่านี่คงจะใกล้กับอาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูรเต็มที...”
แต่แล้วจู่ ๆ หลิงซีก็เอ่ยขึ้นมา
“นี่... ดูเหมือนมีคลื่นพลังของใครบางคนอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก ในถ้ำแห่งหนึ่งที่ลึกลับมาก ๆ”
หลงเฉินผงะไปและร้องถาม
“ใช่คุณชายหลางหรือไม่?”
“ไม่ใช่หรอก คนคนนี้บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเก้า และดูเหมือนจะมีกลิ่นหอมแปลก ๆ ลอยออกมาด้วย ข้ารู้แล้ว... เขาจะต้องอารักขาสมุนไพรวิญญาณที่ยังไม่โตเต็มที่อยู่แน่ ๆ!”
***********************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm