ตอนที่ 29 ไป๋ซื่อเฉิน
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
เมื่อหยางหลิงชิงร้องเรียก หลงเฉินจึงนั่งลงข้าง ๆ นาง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่หลงเฉินมาถึง โต๊ะของผู้นำตระกูลหยางยังคงรักษาบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ต่อไปได้ แต่บรรยากาศทางฝั่งของหลงเฉินกลับไม่เป็นเช่นนั้น
พวกเขามองหน้ากันไปมา แต่ไม่มีใครกล้าหยิบตะเกียบของตนเอง
ผู้คนจากโต๊ะหลักสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยังคงพูดคุยและดื่มกินกันต่อไป
หลงเฉินไม่สามารถทนกับบรรยากาศเช่นนี้ได้ เขาพอใจที่จะดื่มกินกับหญิงคณิกาที่หอนางโลมหยกมรกตเสียยังดีกว่าอยู่ที่นี่
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยืนขึ้น
“ทุกคน ข้าอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนล่ะ”
เมื่อมีผู้นำของทั้ง 2 ตระกูลอยู่ที่นั่น ไป๋ซื่อจีและคนอื่น ๆ จึงไม่สามารถทำอะไรหลงเฉินต่อหน้าธารกำนัลได้ พวกเขาจึงแทบจะทนรอให้หลงเฉินออกไปไม่ไหว
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินทำกิริยาไร้มารยาทเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ดีใจที่จะได้เห็นความโชคร้ายของเขา
และเป็นไปตามที่คาด ในตอนนี้ ผู้นำตระกูลหยางหันขวับมามองหลงเฉินที่ยืนอยู่และเอ่ยขึ้น
“เฉินเอ๋อร์ อย่าเพิ่งไป มานี่สิ...”
เมื่อไม่รู้ว่าชายชราตั้งใจจะทำอะไร หลงเฉินจึงเดินไปข้าง ๆ เขา เวลานั้นทุกคนวางตะเกียบของตนเองลงแล้ว แม้แต่ผู้นำตระกูลไป๋เองก็มองหลงเฉินด้วยรอยยิ้ม
ผู้นำตระกูลหยางตบไหล่หลงเฉินและเอ่ยขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีเรื่องผิดใจกับจื้อซิงและซื่อตง เป็นความจริงรึ?”
หลงเฉินเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ข้ามิบังอาจ”
ผู้นำตระกูลไป๋หัวเราะเสียงดัง
“น้องข้า พวกคนหนุ่มสาวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังล้นเหลือ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะมีความขัดแย้งกันบ้าง ตราบใดที่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้รับอันตราย ก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเองก็เคยเป็นอย่างพวกเขามาก่อนไม่ใช่รึ? เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ซื่อตง จื้อซิง เจ้า 2 คนมานี่สิ ...”
เมื่อผู้นำตระกูลไป๋ร้องเรียก เด็กหนุ่มทั้งสองจึงเดินมาด้วยอาการสั่นเทา พวกเขายืนอยู่เบื้องหน้าหลงเฉินและไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาของเขา
ผู้ใหญ่ทั้งสองของตระกูลไป๋เห็นกิริยาน่าสงสารของพวกเด็ก ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น แต่ผู้นำตระกูลไป๋เป็นคนใจกว้าง เขาจึงเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะร่วน
“เด็กน้อยเอ๋ย ไม่ต้องตื่นตระหนกไปหรอก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเจ้าจะมีเรื่องผิดใจกันบ้าง เมื่อก่อนนั้นน้องหยางกับข้ากลายเป็นมิตรที่ดีต่อกันด้วยการต่อสู้นี่ล่ะ มานี่สิ ขอโทษกันเสีย พวกเจ้าจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
ผู้นำตระกูลหยางเองก็หัวเราะขึ้น
“ถูกแล้ว เฉินเอ๋อร์ทำให้คนอื่นบาดเจ็บ การขอโทษนั้นสามารถระบายความบาดหมางเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ตระกูลไป๋และตระกูลหยางเป็นดั่งพี่น้อง เมื่อมีเรื่องผิดใจเกิดขึ้น ทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้ด้วยดีตราบใดที่พวกเราหยิบยื่นน้ำใจต่อกัน”
คำพูดของผู้นำตระกูลหยางนั้นเจาะจงมาที่หลงเฉินโดยเฉพาะ
ผู้นำตระกูลหยางมอบผนึกมังกรให้เขา ซึ่งนับเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ หลงเฉินเองก็ไม่ใช่คนที่จะลืมตอบแทนผู้มีพระคุณ และด้วยการแข่งขันล่าสัตว์อสูรที่กำลังใกล้เข้ามา เขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะสังหารไป๋ซื่อจีให้จงได้ ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องการสร้างปัญหาใด ๆ ในเวลานี้
เช่นนั้นแล้วเขาจึงคล้อยตามไปกับผู้อาวุโสทั้งสอง เขาหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น
“ท่านตาพูดถูกแล้ว ลูกผู้ชายจะมาใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร? มาเถอะ น้องซื่อตง!”
หลงเฉินโอบกอดไป๋ซื่อตงเสียแน่นก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ และเขายังตบไหล่ไป๋ซื่อตงอีกด้วย
การกระทำที่แสนอบอุ่นของหลงเฉินทำให้ทุกคนถึงกับผงะไป และในเวลาเดียวกัน เมื่อถึงคราวไป๋จื้อซิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ดึงนางเข้ามากอดและด้วยความเร็วดุจสายฟ้า หลงเฉินก็หยิกก้นอันงามงอนของนางอย่างแรง
“ข้าต้องขออภัยที่ทำร้ายแม่นางผู้งดงามในวันนั้น ข้าขอมอบดอกไม้นี้ให้เจ้าเพื่อไถ่โทษ!”
แม้จะเป็นการหยิกที่แสนสั้น แต่หลงเฉินก็สามารถบอกได้ว่าก้นของนางนั้นรู้สึกดีกว่าหญิงคณิกาเป็นไหน ๆ เมื่อหลงเฉินปล่อยมือ เขาก็ยื่นดอกเบญจมาศป่าที่เก็บมาระหว่างทางกลับบ้าน และยัดมันใส่มือไป๋จื้อซิง
เป็นเพราะไป๋จื้อซิงหันหน้ามาทางผู้อาวุโสทั้งสอง ในสายตาของเหล่าผู้อาวุโส จึงเห็นว่าหลงเฉินเพียงโอบกอดนางเท่านั้น ขณะที่ลูกหลานตระกูลไป๋ที่อยู่โต๊ะอื่น ๆ มองเห็นว่าหลงเฉินหยิกก้นของไป๋ซื่อจีอย่างชัดเจน พวกเขาถึงกับตาค้างและตกใจในความบ้าบิ่นของหลงเฉิน
จิตสังหารปะทุออกมาจากดวงตาของไป๋ซื่อจีและไป๋ซื่อเฉินทันที
หลงเฉินรู้สึกได้ว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตา อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนใจสายตาคุกคามของไป๋ซื่อจีและไป๋ซื่อเฉิน ทันใดนั้น เขาก็เจอเข้ากับสายตาเกรี้ยวกราดของหยางหลิงชิง เขาถึงกับต้องหันไปอีกทางด้วยความกลัว
ในเวลานี้ ไป๋จื้อซิงยังคงมองหลงเฉินด้วยสายตาเหม่อลอย มือของนางยังถือดอกเบญจมาศป่าอยู่ และนางไม่คาดคิดว่าหลงเฉินจะบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ นางจึงทำอะไรไม่ถูกแม้แต่จะกรีดร้องออกมา
หลงเฉินรีบพูดกับผู้นำตระกูลไป๋และตระกูลหยาง
“ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการ เช่นนั้นแล้วข้าขอตัวก่อน”
ผู้นำตระกูลไป๋ยิ้มและเอ่ยขึ้น
“ได้ ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”
หลงเฉินเดินไปยังประตูทางออกโดยไม่สนใจสายตามากมายของผู้คนในวังหงอู่ เมื่อเห็นว่าหลงเฉินกำลังจะจากไป ไป๋ซื่อจีและไป๋ซื่อตงก็มองหน้ากันและยิ้มเยาะ
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเอง ก็อย่ามาโทษพวกเราแล้วกัน...”
ขณะที่หลงเฉินเดินออกไปจากวังหงอู่ และกำลังจะหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ เขาพลันรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหูจนทำให้หน้าตาบิดเบี้ยว เสียงเย็นชาของหลิงซีดังขึ้นข้างหู
“เจ้าคนลามก รู้สึกดีนักใช่ไหมล่ะ?”
หัวใจที่ภาคภูมิของหลงเฉินหล่นวูบในทันที เขารีบพูดประจบประแจง
“เสี่ยวซีที่รัก ข้า... ตอนนั้นข้า... ถูกแล้ว ตอนนั้นข้าแค่อยากปั่นหัวไป๋ซื่อจี มันเป็นแค่การยั่วโมโหเท่านั้นเอง...”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่รึอย่างไร? ข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีกแล้ว!”
หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากอธิบาย เขาก็เห็นหยางหลิงชิที่ตามเขามาติด ๆ เมื่อมองไปที่สีหน้าเคร่งขรึมของนาง หลงเฉินรู้ในทันทีว่าเขาต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัวอีกครั้ง
แต่กลับผิดคาด เมื่อได้ยินประโยคแรกที่หยางหลิงชิงเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้ข้าบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกแล้วนะ”
ปราณของนางหนาแน่นขึ้นมาก และเขารู้สึกว่าน่าจะเทียบได้กับปราณของหยางหลิงเยวี่ย
จะต้องเป็นโชคชะตาที่ไม่เพียงแต่พวกเขาจะเกิดในวันเดียวกันและปีเดียวกัน แต่พวกเขายังบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกพร้อม ๆ กันอีกด้วย
เมื่อเขาบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหก ความเป็นไปได้ที่หยางหลิงชิงจะตกอยู่ในอันตรายในการแข่งขันล่าสัตว์อสูรจึงมีน้อยลง ด้วยความสัตย์จริง นางเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลหยางที่หลงเฉินห่วงใย เมื่อเป็นเช่นนี้ หลงเฉินก็สามารถลงมือโดยปราศจากความวิตกกังวล
“ยอดเยี่ยมไปเลย เมื่อมีเจ้าอยู่ การฆ่าสัตว์อสูรเพื่อเอาชนะตระกูลไป๋ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้แล้วล่ะ”
หยางหลิงชิงมองดูหลงเฉินที่มีความมั่นใจอย่างแน่วแน่และเอ่ยขึ้น
“เจ้ายังหัวเราะได้อยู่อีกหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าแม้ทั้งสองตระกูลในงานเลี้ยงจะเห็นพ้องต้องกันแล้วก็เถอะ แต่ไป๋ซื่อจีและไป๋ซื่อเฉินคงไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ๆ ข้ารู้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วก็จริง แต่เจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างไรกัน?”
หยางหลิงชิงพูดด้วยความกระวนกระวายใจ เมื่อเขาเห็นท่าทางเป็นเป็นกังวลของเด็กสาวที่ห่วงความปลอดภัยของตัวเขาเอง หลงเฉินจึงทนไม่ได้ที่ทำให้นางกังวลใจและเอ่ยขึ้น
“ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นมาก แม้ยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าข้าจะเอาชนะพวกเขาได้ แต่การหนีคงไม่ใช่ปัญหาหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับพวกเขานี่นา ข้า... พี่ชายของเจ้าก็เป็นคนเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว ใช่หรือไม่? ข้าจะมาตายด้วยน้ำมือของเจ้าคนหน้าตายทั้งสองคนนั้นได้อย่างไรกัน?”
แต่หยางหลิงชิงกลับไม่คิดเช่นนั้น นางรู้ว่าผู้ที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดนั้นแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาสามารถสังหารผู้ที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงหลงเฉินที่เพิ่งจะบรรลุขั้นห้า
นางกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่แล้วนางกลับไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ สายตาของหลงเฉินจะเย็นชาขึ้นในทันที เขาตบไหล่หยางหลิงชิง
“กลับไปก่อนเถอะ แล้วข้าจะเล่าอะไรให้ฟังทีหลัง”
หยางหลิงชิงหันกลับไปก็พบว่าหยางเสวี่ยชิงยืนอยู่ข้างหลัง นางรู้ว่าความสัมพันธ์ของหลงเฉินและหยางเสวี่ยชิงนั้นค่อนข้างแปลกและไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน นางจึงเดินจากไปหลังจากที่บอกหลงเฉินให้ระวังตัวด้วยเสียงแผ่วเบา
เมื่อได้เห็นหยางเสวี่ยชิง อารมณ์รื่นเริงของหลงเฉินก็พลันหม่นหมองลงทันที
หยางเสวี่ยชิงเดินเข้ามาไม่กี่ก้าวและมองหลงเฉินอย่างพินิจพิจารณา สีหน้าท่าทีของนางไม่ได้เย็นชาเหมือนแต่ก่อน แต่ก็นับว่ายังเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดบิดาของข้าจึงเชิญครอบครัวไป๋มาในวันนี้? เพราะทั้งสองตระกูลกำลังเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่งงานของข้าในอีกสามวันหลังจากนี้ และบ่ายวันนั้นเจ้าจะต้องเข้าไปในภูเขาเดียวดาย ส่วนข้าก็จะแต่งเข้าตระกูลไป๋”
หลงเฉินรู้ดีว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ เขาได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงมองหยางเสวี่ยชิงและไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
‘หลังจากที่ข้าสังหารไป๋ซื่อจีและข่าวนั้นแพร่ออกมา คอยดูก็แล้วกันว่าท่านยังจะแต่งงานได้อีกหรือไม่...’
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ หยางเสวี่ยชิงจึงไม่ได้สนใจเขาและยังคงเอ่ยต่อไป
“หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันล่าสัตว์อสูร และมอบผลึกอสูรที่พวกเจ้าได้มาให้กับคนจากตระกูลหลิงอู่แล้ว เจ้าจงไปจากเมืองพฤกษาหมอกเสีย ข้าได้ยินว่าเจ้าได้รับผนึกมังกรมาแล้ว และยังได้รับหยกวิญญาณมาถึง 500 ชิ้น นับได้ว่าตระกูลหยางมีเมตตาต่อเจ้ามากแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะหยุดให้ถูกที่ถูกเวลา”
“และพวกเราจำต้องส่งต่อผนึกมังกรต่อไป ตอนนี้เจ้าฝากมันไว้กับข้าได้ และหลังจากที่เจ้าจากไปแล้ว ข้าก็จะคืนให้บิดาของข้าเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเสวี่ยชิง ดูราวกับว่านางจะไม่เคยปฏิบัติต่อหลงเฉินเช่นคนในตระกูลหยาง แต่ถึงกระนั้น หลงเฉินก็ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเป็นคนของตระกูลนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หลงเฉินได้ดึงความลับทั้งหมดออกมาจากผนึกมังกรแล้ว ดังนั้นของสิ่งนี้จึงไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอีกต่อไป เขาหยิบมันออกมาจากเสื้อและโยนใส่มือของหยางเสวี่ยชิง
‘ข้าได้ในสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ท่านคิดว่าข้าอย่างอยู่ที่นี่นักงั้นรึ? ข้ายังต้องออกท่องยุทธภพเพื่อค้นหาสมุนไพรวิญญาณให้เสี่ยวซีของข้า อย่างไรเสีย ข้าก็อยากจะรู้นักว่าท่านจะทำอย่างไรหลังจากที่ข้าสังหารไป๋ซื่อจีแล้ว แต่เวลานั้น แม้ว่าท่านจะอยากฆ่าข้า ท่านก็คงจะหาข้าไม่พบ...’
หลงเฉินหันหลังกลับและจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หยางเสวี่ยชิงไม่คิดว่าหลงเฉินจะตรงมาตรงไปเช่นนี้ เมื่อมองคัมภีร์ผนึกมังกรและแผ่นหลังที่ภาคภูมิของหลงเฉินขณะที่เขาจากไป นางก็หัวเราะเยาะเย้ย
“ช่างเป็นเด็กไม่รู้จักโตจริง ๆ ทนกับการยั่วยุไม่ได้เลยสักนิด เจ้าแน่ใจแล้วรึว่าจะสามารถฝึกวิชาผนึกมังกรได้อย่างชำนาญภายในเวลาไม่กี่วัน?”
ในตอนนี้ สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้น
“เขาทำให้ซื่อซวินต้องเป็นแบบนี้ ซื่อจีและคนอื่น ๆ จะต้องจัดการกับเขาในการแข่งขันล่าสัตว์อสูรที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้แน่ เขาอาจจะบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นห้าแล้วก็จริง เพียงทักษะการหล่อหลอมร่างกายในระดับกลาง เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกนั้นได้อย่างไรกัน? แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก และไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น แต่อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นลูกของข้า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าจะไปขอร้องซื่อจีเพื่อเห็นแก่เจ้าก็แล้วกัน...”
“หวังว่าเจ้าจะเข้าใจและตอบแทนข้าในครั้งนี้”
ขณะเดินไปตามทางที่ทอดยาว หลิงซีย้ำคำพูดที่หยางเสวี่ยชิงพึมพำกับตนเองให้หลงเฉินฟัง แต่หลงเฉินกลับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นี่... แม่ของเจ้าดูถูกเจ้ามากเลยนะ เจ้าไม่สนใจเลยรึ?”
หลงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มันจะทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจไปเปล่า ๆ หากใส่ใจกับเรื่องนั้น ทำไมข้าจะต้องแบกรับความเจ็บปวดทั้งที่มันไม่มีประโยชน์อะไรด้วยเล่า? แม้ว่านางจะคิดว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้น หากข้าโกรธกับเรื่องแค่นี้ ก็เท่ากับว่าข้าเป็นคนโง่อย่างแท้จริง สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือจัดการกับไป๋ซื่อจีให้สิ้นซากต่างหาก”
“ก็ได้ ข้าจะไม่สนใจกับสิ่งที่เจ้าคิด แต่หากข้าเป็นเจ้า ข้าคงร้องไห้อย่างน่าสมเพชเลยล่ะ...”
หลงเฉินหันหน้าไปมองสนามหญ้าของตระกูลหยาง ที่นี่คือที่ที่เขาอาศัยอยู่มานานหลายปี ทั้งรู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
มันคือบ้านของเขา แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดยังไม่สามารถทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้
ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกเศร้าใจ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกชินชากับมันเสียแล้ว เขาจะไม่แสดงสีหน้าโง่เง่าออกมาอย่างเด็ดขาด
“ท่านไปขอร้องเขาเพื่อข้า แต่ใครจะขอร้องข้าเพื่อเขากันเล่า...”
*****************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm