ตอนที่ 28 รีบหย่าซะเถอะ!
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
ยังไม่รอให้กู้เฉิงเซียวพูดอะไร หัวหน้าฝ่ายดับเพลิงก็พูดขึ้นมาว่า “หัวหน้ากู้ มือคุณเจ็บที่มือนี่ครับ...คุณหมอหู่! คุณหมอหู่!”
กู้เฉิงเซียวจับแขนเขาไว้ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เดี๋ยวผมไปโรงพยาบาลเองได้ครับ”
“ได้ยังไงกันล่ะครับ?”
“ไม่ต้องทำให้มันยุ่งยากหรอก คนเจ็บเยอะขนาดนี้หมอก็คงจะยุ่งมากแน่ๆ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอทุกอย่างผ่อนคลายลงกู้เฉิงเซียวถึงรู้สึกถึงอาการปวดตุบๆที่หัวเข่า ซึ่งมันคงจะมาจากการกระแทกกับรถตอนเกิดอุบัติเหตุ
ลุงตำรวจจราจรก้มหน้าลงมองมือตัวเอง หลังจากอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ‘ให้ตายเถอะนี่มันหัวหน้ากู้จริงๆ’ “เอ่อ หะ หัวหน้ากู้...ผม...ผม...”
กู้เฉิงเซียวส่งยิ้มจริงใจให้กับคุณลุงตำรวจจราจรแล้วพูด “พี่ชาย คุณกล้าหาญมากนะครับ ผู้บังคับบัญชาของคุณคือใคร? เดี๋ยวผมจะช่วยพูดให้”
ลุงตำรวจยิ้มเจื่อนๆ ออกมา “ไม่เป็นไรเลยครับหัวหน้ากู้ มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำเพื่อประชาชนอยู่แล้ว”
ฉู่โม่เฟิงเดินฝ่าฝูงชนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์และเจ้าหน้าที่ที่มาคอยให้ความช่วยเหลือเข้ามา เมื่อครู่ระหว่างที่กู้เฉิงเซียวกำลังช่วยคนที่อยู่ในรถที่ไฟลุกไหม้เขาก็เดินไปช่วยพาเด็กๆบนรถโรงเรียนออกมา ตอนที่เขาเห็นอาสองเสี่ยงตายเข้าไปช่วยคนอื่นโดยไม่ห่วงชีวิตของตัวเอง เขาก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมขึ้นมาไม่ได้
“อาครับ อาสอง อาเป็นอะไรไหม?”
“ฉันไม่เป็นไร กลับไปไม่ต้องเล่าให้ใครฟังนะ”
“ครับ เข้าใจแล้ว”
กู้เฉิงเซียวไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุนานนัก เขาเพียงแค่อยู่รอทักทายหัวหน้าทีมช่วยเหลืออีกนิดหน่อยก่อนจะขับรถออกไปพร้อมกับฉู่โม่เฟิง
ระหว่างทางที่พาหลานชายไปส่งที่บ้านกลับได้เจออุบัติเหตุขึ้นอย่างไม่คาดฝัน แถมยังทำลูกเขาบาดเจ็บ ไม่ว่ายังไงก็จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ของเขารู้ ดังนั้นวันนี้กู้เฉิงเซียวเลยต้องอยู่กินข้าวที่บ้านของฉู่โม่เฟิงเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ชายและพี่สะใภ้ฟังจะได้สบายใจ
“เสี่ยวหลี่ขับรถระมัดระวังหน่อยนะ ยังไงก็ต้องส่งอาเฉิงให้กลับบ้านอย่างปลอดภัย” แม่ของฉู่โม่เฟิงกำชับกับคนขับรถ เธอและสามีลงความเห็นว่าจะต้องให้คนไปส่งกู้เฉิงเซียวเพราะไม่ต้องการให้เขาขับรถหลังผ่านเหตุการณ์ขวัญหนีดีฝ่อแบบนั้นมา
“อาเฉิง โชคดีนะ ถ้าว่างๆก็แวะมาอีกนะ” พี่ชายของกู้เฉิงเซียวเอ่ยลาน้องชาย
กู้เฉิงเซียวโบกมือลาครอบครัวฉู่ และเลื่อนกระจกรถยนต์ขึ้น
ตอนนี้สีดำสนิทเหมือนหมึกปากกาฉาบทาท้องฟ้านอกตัวรถไปหมดแล้ว ภายใต้ราตรีกาลที่ไร้ดาวนี้ ดวงจันทร์กลมมนลอยเด่นชัดสว่างไสวอยู่ด้านบน
เขาก้มหน้าลง ใบหน้าเยือกเย็นของเขาดูจริงจังและเคร่งเครียด หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กดโทรหาหลี่ปู้เหยียน
รอสายอยู่ไม่นานนักหลี่ปู้เหยียนก็รับสาย ในเมื่อเป็นเบอร์หัวหน้าโทรมา เขาจึงไม่กล้าชักช้า “สวัสดีครับหัวหน้า”
“อืม เลิกงานรึยัง?”
“……..” หลี่ปู้เหยียนไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไร เพราะคนที่สั่งให้เขาติดตามคุณผู้หญิงของเจ้านายก็คือเจ้านายของเขาเอง แต่คนเป็นเจ้านายกลับถามเขาว่าเลิกงานรึยัง!? ‘เอ๊ะ หรือนี่จะเป็นการแกล้งถามเพื่อจับผิดเขา?’ “ยังครับ ยังจับตามองคุณผู้หญิงอยู่ครับ”
กู้เฉิงเซียวเก็บซ่อนความกระวนกระวายเอาไว้และถามต่อด้วยเสียงนิ่ง “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
...มันเป็นลักษณะการพูดและโทนเสียงในแบบเดียวกับที่เขามักจะใช้ตอนที่สั่งให้ลูกน้องตามเฝ้าผู้ต้องสงสัยไม่มีผิด... ทำเอาคนเป็นลูกน้องต้องจริงจังตามไปด้วย
หลี่ปู้เหยียนรีบตอบ “รายงานหัวหน้า หลังจากที่คุณผู้หญิงกลับถึงหอก็ไม่ออกมาข้างนอกอีกเลยครับ แล้วการที่เราจะแอบเข้าไปก็เป็นไปไม่ได้ หรือถ้าจะให้เฝ้าสอดแนมอยู่แถวหน้าหอหญิงนานเกินไปก็จะผิดสังเกต ตอนนี้พวกเราเลยไม่รู้สถานการณ์ด้านในเลย ปฏิบัติการตอนนี้ถือว่าไม่ง่ายเลยครับ”
“......” แต่สิ่งที่เขาได้รับมาจากปลายสายมีแค่ความเงียบ
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย หลี่ปู้เหยียนก็เหงื่อตกและเริ่มคิดเอาว่าหัวหน้าของเขาคงจะไม่พอใจกับงานที่เขาทำ เขาจึงรีบเสนอ “เอ่อ...เราควรจะให้คนปลอมเป็นผู้หญิงเข้าไปดูด้านในดีไหมครับ?”
“ไม่ต้อง” กู้เฉิงเซียวพูด “เลิกงานได้ กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว”
“ครับหัวหน้า!” ‘ฟู่~ สงสัยเมื่อเช้าจะก้าวขาออกจากบ้านถูกข้างแฮะโชคถึงได้เข้าข้างแบบนี้ ว่าแต่… วันนี้หัวหน้าเป็นอะไรหว่า รึจะกินยาผิดซอง?’
หลี่ปู้เหยียนไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อจากนั้น เขาอยู่กับกู้เฉิงเซียวมาหลายปีแล้วและรู้ดีว่าสิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุดคือการถามซอกแซกให้มากความ สีหน้าและอารมณ์ของผู้เป็นนายก็เหมือนสภาพอากาศในแต่ละวันของพวกเขา ถ้ามันสงบก็เหมือนวันที่ฟ้าใสลมฝนสงบแต่ถ้าวันไหนหัวหน้าอารมณ์ไม่ดีละก็ วันนั้นคือวันที่พวกเขาทั้งหน่วยถูกพายุซัด ในช่วงหลายวันมานี้สีหน้าของหัวหน้าดูไม่ดีเท่าไหร่นัก พวกเขาเลยรู้สึกเหมือนว่ากำลังเอาชีวิตรอดในเรือลำน้อยที่ลอยคลอในมหาสมุทรท่ามกลางพายุเฮอริเคนทุกๆ วัน
หลังจากวางสายไป กู้เฉิงเซียวก็ยังไม่ได้ว่างโทรศัพท์ในมือลง นิ้วโป้งของเขาไล้วนไปรอบๆ หน้าจอโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขากำลังหมุนวนพลิกกลับไปมา เหมือนหลอดด้ายที่พันไว้ลวกๆ มันยุ่งเหยิงและดูไม่สบายนัก
-- “อาเฉิง แม่ได้ยินมาจากย่าว่าหลินเฉี่ยนแท้งลูกแล้ว ได้เวลาเหมาะเลย หลังจากนี้ลูกจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร รีบหย่าเถอะ” แม่เขาพูด --
-- “รีบหย่าตอนนี้เลย!” พ่อเขาพูด --
-- “อาเฉิง...ย่าพูดยังไงพ่อแม่ก็ไม่ฟัง ย่าจะกลับก่อนล่ะ เอาเป็นว่าเธอดูแลเสี่ยวเฉี่ยนให้ดีๆแล้วกันนะ” ย่าเขาพูด --
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ กู้เฉิงเซียวก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที อันที่จริงเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่พ่อแม่เขาพูดมากเท่าไหร่ แต่สาวน้อยคนนี้สร้างปัญหามากเกินไป นี่ถ้าผู้ใหญ่รู้เรื่องนี้อย่าว่าแต่พ่อแม่เขาเลย แม้แต่คุณย่าก็ต้องโกรธมากแน่ๆ และเขาเองก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นคุณย่าอาจจะเป็นคนแรกที่ไล่หลินเฉี่ยนออกไป
เขากำลังคิดหาวิธีที่จะปกป้องและช่วยเหลือเธอ แต่เธอกลับสร้างปัญญาจนทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากมากกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้มันก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่เคยเข้าใจอีกฝ่ายเลย ไม่รู้จักตัวตนของแม่สาวน้อยคนนี้สักนิด
เมื่อคิดแบบนั้น กู้เฉิงเซียวจึงตัดสินใจโทรหาหลี่ปู้เหยียนอีกครั้ง “ก่อนฟ้าสว่างฉันขอข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเธอ”
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ให้คนสืบหาข้อมูลเบื้องลึกของหลินเฉี่ยนเพราะเขาอยากจะให้เกียรติเธอ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ ดูเหมือนว่าก็คงจะไม่จำเป็นต้องให้เกียรติกันอีกแล้ว
——
หลังจากหลินเฉี่ยนกลับมาถึงหอพัก รูมเมทของเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอมากกว่าปกติ เพราะปกติคุณชายเฉี่ยนก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
สำหรับเรื่องข่าวลือ คนที่ไม่เชื่อเธออยู่แล้วก็คงไม่เชื่อ ซึ่งเธอก็จะไม่เสียเวลาอธิบาย ส่วนคนที่เชื่อเธอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากมายอีกเหมือนกัน ในเมื่อไม่มีรูทเมทคนไหนเอ่ยถึงเรื่องนี้ เธอก็จะไม่พูดมันขึ้นมา
สิบนาทีก่อนที่ไฟจะดับลง จู่ๆ รูทเมทของเธอ ‘จู้ฟ่านฟ่าน’ ก็ถามขึ้น “คุณชาย ออกไปหามื้อดึกกินกันดีไหม?”
หลินเฉี่ยนลงตัวลงนอนแล้ว ตวัดสายตามองอีกฝ่ายด้วยหางตา “อ้วนขนาดนี้ยังจะกินดึกๆ อีก? มื้อเย็นก็น่าจะกินแล้วนี่ ยังจะหิวอยู่อีกเร๊อะ? ไอ้หมูอ้วน!”
จู้ฟ่านฟ่านมีฉายาว่า ‘ยัยหมูจอมเขมือบ’ เธอเป็นสาวน้อยตัวอ้วนกลม สำหรับเธอบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าการกินข้าวแล้วล่ะ ถึงจะอ้วนขึ้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงจะกลมยังไงเธอก็ยังน่ารัก น้ำหนักขึ้นนิดๆหน่อยๆจะเป็นไรไป
ถึงหลินเฉี่ยนจะว่าให้เธอแบบนั้นแต่สาวตัวกลมกลับยังคงยิ้มแฉ่งโดยไม่มีท่าทีขุ่นเคือง แถมยังพูดกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ก็ฉันเห็นเธออารมณ์ไม่ดีนี่นา ก็เลยชวน ฉันจะบอกเธอให้นะ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้ดีไปกว่าการกินของอร่อยๆ อีกแล้วล่ะ”
“นี่คือหวังดีกับฉันถูกมะ?”
“ใช่….อ่า….พูดใหม่...ก็ ‘อาจจะ’ ใช่” จู้ฟ่านฟ่านพูดด้วยหน้าเจื่อนนิดๆ แต่ก็ยังยิ้มแฉ่งตบท้าย
“งั้นก็ขอบใจเธอมากนะยัยอ้วน แต่ฉันไม่ไปล่ะ ไฟใกล้จะดับแล้ว” หลินเฉี่ยนตัดรอนเพื่อนสาวตัวไม่เล็ก
ยัยหมูตัวกลมของเพื่อนๆ จึงเริ่มอู๊ดอี๊ด “เป็นไรเนี่ย? ก่อนหน้านี้ถึงหอจะดับไฟแต่เธอก็ไปได้ตลอดนี่ ตอนนี้ไฟยังไม่ดับซะหน่อย”
แล้วจู่ๆหลินเฉี่ยนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันอยากจะเป็นเด็กดีเธอมีปัญหาอะไรไหม?”
คำพูดนั้นทำให้จู้ฟ่านฟ่านช็อกในทันที สาวตัวกลมอ้าปากค้างกว้างจนสามารถยัดลูกเทนนิสทั้งลูกเข้าไปได้ นี่มันน่าตกใจซะยิ่งกว่าการได้ยินข่าวว่าหลินเฉี่ยนได้รับบาดเจ็บจากการชกต่อยจนเข้าโรงพยาบาลซะอีก!
ในเวลานั้นเองรูมเมทอีกคนซ่งอี๋คนที่กำลังสไลด์มือถืออยู่บนเตียงก็พูดขึ้นอย่างเพ้อๆ “โหยยย คนนี้โคตรหล่อเลย เท่กว่าในทีวีอีก!”
“อะไรอ่ะ?”
“ก็วันนี้มีอุบัติเหตุใหญ่ขึ้นน่ะสิ พึ่งจะช่วงค่ำๆนี่เอง พวกเธอลองดูความรุนแรงของอุบัติเหตุนี่นะ ในข่าวบอกว่า มีรถคันนึงเกิดประกายไฟจนไฟไหม้รถด้วย แต่ก่อนที่มันจะระเบิดก็มีพลเมืองดีเสี่ยงชีวิตมาช่วยชีวิตคนสี่คนบนรถนั้นออกมาได้”
“แต่! นั่นยังไม่พอ...ที่สำคัญกว่านั้นคือพลเมืองดีคนนี้เป็นหนึ่งในผู้ประสบเหตุเพราะเขายอมให้ตัวเองบาดเจ็บโดยการหักให้รถชนสะพานเพื่อป้องกันไม่ให้รถตัวเองพุ่งชนรถโรงเรียนจากด้านหลัง เท่ป่ะล่า?”
“แล้วเพราะว่าช่วงเวลาตั้งแต่ตอนเกิดเหตุชนจนถึงตอนที่ไฟลุกไหม้กินเวลาแค่สองนาที เลยมีคนใช้มือถือถ่ายคลิปกับรูปไว้เยอะแยะ แล้วก็พากันแชร์ลงเน็ต..เป็นเรื่องราวของฮีโร่ตัวจริงที่ช่วยชีวิตคนจริงๆ”
“ดูสิๆ นี่เหมือนกับพวกฮีโร่ในหนังเลยอ่ะ พวกเธอรีบดูเร็ว มีตั้งหลายคลิป ตอนนี้เรื่องนี้เป็นกระแสใหญ่โตในโลกโซเชียลแล้ว”
เป็นธรรมดาที่สาวๆ จะชื่นชอบประเด็นใหญ่ประเด็นดังแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งเรื่องเผือกๆ ก็ขอให้บอก ดังนั้นพอ ซ่งอี๋ เล่าจบ จู้ฟ่านฟ่าน ผานพานพานและแน่นอน หลินเฉี่ยนทุกคนหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อเสิร์ชหาข้อมูลข่าวนั้นทันที
หลังจากเปิดเข้าไปดูข่าวนั้น...และยิ่งดูมากเท่าไหร่ หลินเฉี่ยนก็ยิ่งใจเต้นแรง แรงขึ้นและแรงขึ้น….ทว่ามันกลับต่างจากความรู้สึกตื่นเต้นและคลั่งไคล้ในตัวฮีโร่หนุ่มหล่อของรูมเมทคนอื่นๆของเธอ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลินเฉี่ยนคือความรู้สึกเต็มตื้นในใจมันเป็นความซาบซึ้งลึกๆ แบบแปลกๆ...ก่อนจะกลายเป็นความหลงใหลจากใจจริง
อาาาา...ราวกับทุกเซลล์ในร่างกายกำลังลุกไหม้ ความรู้สึกร้อนพุ่งขึ้นจากปลายเท้าขึ้นสู่สมอง
เขา...คนนั้น....รูปร่างแบบนั้น...หน้าตาแบบนั้น….ไม่ผิดแน่….เป็นคนอื่นไม่ได้ด้วย…..เธอจำได้ดี….นั่นคือ ‘สามีของเธอ’ คนที่เคยร่วมนอนหลับบนเตียงเดียวกับเธอ
.
.
.
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm