ตอนที่ 28 มังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาล
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
อันที่จริงแล้ว หลงเฉินไม่รู้เลยว่าสภาวะที่เขาเป็นในตอนนี้คืออะไร เขารีบกลับไปที่ถ้ำอย่างรวดเร็ว หลงเฉินนั่งขัดสมาธิลงและตรวจสอบร่างกายของตนเอง ขณะที่หลิงซีลอยออกมาจากกระบี่หลิงซีอีกครั้ง
สถานการณ์ที่น่าพรั่นพรึงนี้ทำให้นางหวาดกลัวจับหัวใจ ในเวลานี้ สีหน้าของนางซีดเผือดขณะที่นางมองหลงเฉินด้วยความวิตกกังวล
ในที่สุดหลงเฉินก็บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกแล้ว ดังนั้นในเรื่องปริมาณของปราณแท้จริง เขาพอจะเทียบได้กับหยางหลิงเยวี่ยและคนอื่น ๆ แต่ในเรื่องคุณภาพของปราณ เขากลับสูงกว่าถึงสี่เท่า
หากพูดอีกนัยหนึ่งในแง่ของปราณ หลงเฉินสามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งกว่าถึงสี่เท่าหากเทียบกับผู้ที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหก ซึ่งเกือบเท่ากับพลังครึ่งหนึ่งของผู้ที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ด
เมื่อผนวกกับผลของเกราะดาราจรัสแสงและความสามารถของตัวเขาเองในทักษะยุทธ์ หลงเฉินก็มีความมั่นใจอย่างมากที่จะจัดการกับไป๋ซื่อจีได้
แต่หากเขาสามารถกลายร่างเป็นสภาวะที่แปลกประหลาด ปราณของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า และความแข็งแกร่งทางกายภาพก็จะเพิ่มมากขึ้น เป็นไปได้ว่าเขาอาจต่อสู้กับผู้ที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นแปดได้เลยทีเดียว
หลงเฉินรู้สึกตกใจอยู่ลึก ๆ เพียงหนึ่งในพันส่วนของแก่นโลหิตสืบทอดก็สามารถทำให้เขาทะยานขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ หากเขาสามารถดูดกลืนแก่นโลหิตสืบทอดทั้งหมด เขาจะบรรลุถึงพลังระดับใดกัน?
จากทักษะเหนือธรรมชาติอย่างการสกัดโลหิตสลายปราณ ความลับและประโยชน์ต่าง ๆ มากมายที่ซ่อนเร้นนั้นอุดมอยู่ในแก่นโลหิตสืบทอด หากเขาดูดกลืนมาได้ทั้งหมด เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากมายสักเพียงใด?
ขณะที่หลงเฉินครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ แม้จะยังงุนงงอยู่ เขาก็เอ่ยถามหลิงซี
“เสี่ยวซี เช่นนี้ถือว่าข้าเป็นนักรบมังกรหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินที่จมอยู่ในห้วงความคิดเสียนานมีปฏิกิริยาออกมาในที่สุด หลิงซีจึงไม่รู้สึกกังวลใจอีกต่อไป นางพยักหน้าและเอ่ยตอบ
“แม้ว่าข้าจะไม่คุ้นเคยกับนักรบมังกร แต่จากการกลายร่างของเจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าน่าจะกลายเป็นนักรบมังกรแล้วล่ะ โอ... จริงสิ ข้าเคยถามเจ้าก่อนหน้านี้ว่าแก่นโลหิตสืบทอดเป็นของมังกรชนิดใด? ใช่มังกรปีศาจเงาโลหิตหรือเปล่า? ข้าเคยอ่านเจอในตำรามาก่อน ลักษณะของมังกรปีศาจเงาโลหิตเหมือนกับเจ้าไม่มีผิด”
หลงเฉินไม่รู้ว่าแก่นโลหิตที่ดูดกลืนมานี้เป็นของมังกรชนิดใด เขากำลังจะตอบว่าไม่รู้ แต่ทว่าตอนนั้นเอง คำบางคำก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขาอย่างน่าประหลาด และจิตใต้สำนึกของหลงเฉินก็เปล่งเสียงคำเหล่านั้นออกมาทีละคำ
“มังกร... วิญญาณ...โลหิต... บรรพกาล...”
เมื่อคำเหล่านี้ถูกเปล่งออกมา หลงเฉินรู้สึกราวกับเลือดในตัวกำลังพลุ่งพล่าน มันคือความภาคภูมิใจอย่างแรงกล้าที่ทำให้หลงเฉินแทบจะระเบิดออกมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้
“มังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาลงั้นหรือ?”
หลิงซีพึมพำคำเหล่านี้วนไปวนมา ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็เบิกโพลงพลางจับจ้องไปที่หลงเฉินด้วยความเหลือเชื่อ ปากของนางอ้ากว้างด้วยความตกใจ
แม้ว่าในตอนนี้นางจะดูโง่เง่า แต่ในสายตาของหลงเฉิน นางก็ยังคงความน่ารักน่าชังอยู่มาก
“เป็นอะไรไป แม่นางน้อย? เจ้าหลงใหลในตัวข้าอย่างนั้นรึ?”
หลิงซีไม่ได้ฟังคำของเขาเลยสักนิด นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เจ้า... เจ้าแน่ใจรึ ว่ามันคือมังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาล?”
ในตอนนั้นเองที่หลงเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเอ่ยอย่างจริงจัง
“ใช่... มีปัญหาอะไรรึ?”
หลิงซียังคงมองอย่างเหลือเชื่อ นางส่ายศีรษะ
“เป็นไปไม่ได้ มังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาลมีตัวตนอยู่ในตำนานเท่านั้น เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ ...”
หลิงซียังคงคลางแคลงใจ แต่หลงเฉินกลับมั่นใจว่าแก่นโลหิตที่สืบทอดมานั้นเป็นของมังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาลอย่างแน่นอน เขาเอ่ยถาม
“เสี่ยวซี บอกข้าหน่อยเถอะ หากเป็นมังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาลแล้วจะเป็นปัญหาอย่างไรหรือ?”
หลิงซีพึมพำ
“เจ้าคงยังไม่รู้ ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว ทวีปมังกรอุทิศนั้นถูกปกครองโดยเหล่าเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ มีเผ่าพันธุ์มังกรหลายล้านล้านเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ในทวีปมังกรอุทิศแห่งนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายล้านล้านเผ่าพันธุ์นั้นหมายถึงอะไร? ทวีปมังกรอุทิศนั้นกว้างใหญ่ไพศาล จึงเต็มไปด้วยเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์มากมาย และจำนวนของมังกรนั้นมากกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในวันนี้นับสิบเท่า และพวกเขาแทบทั้งหมดก็ล้วนทรงพลังอย่างยิ่ง”
“และมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มวลมังกรหลายล้านนั้นก็เป็นมังกรที่มิอาจแตะต้องได้ มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มถือกำเนิดขึ้นมา ไม่มีผู้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์คนใดเคยเทียบเคียงได้กับพวกมัน ในยุคกำเนิดโลก เมื่อทวีปอยู่ในช่วงที่เก่าแก่ที่สุด มีตำนานเล่าว่ามีสายเลือดมังกรผู้ยิ่งใหญ่สิบเผ่าพันธุ์ รวมเป็นสิบเทพมังกร พวกมันทุกตัวนั้นทรงพลังที่สุด และได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘สิบมหามังกรบรรพชน’!”
หลังจากที่หลิงซีพูดจบ นางก็เงยหน้ามองหลงเฉินและเอ่ยขึ้นช้า ๆ
“ในบรรดาทั้งสิบตัว มหามังกรบรรพชนที่กระหายเลือดและการทำลายล้างมากที่สุด คือมังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาลที่เจ้าเพิ่งเอ่ยถึง!”
หลงเฉินนิ่งอึ้งไปเพราะคำพูดของหลิงซี เขามิอาจจินตนาการได้เลยว่ามังกรตัวนั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงใด และแม้ว่าหลิงซีจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เขาก็รู้สึกเพียงว่ามังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาลนั้นเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปมังกรอุทิศ ส่วนจะแข็งแกร่งเพียงใดนั้น เขาไม่สามารถหยั่งถึงได้เลย
หลิงซีส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น
“เพราะเหตุนี้ข้าจึงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ มังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาลหายสาบสูญไปนานนับล้านล้านปีแล้ว แก่นโลหิตของมันจะมาอยู่ในคัมภีร์ลับธรรมดา ๆ เล่มนี้ได้อย่างไรกัน? ต่อให้ข้าสามารถคลายผนึกของคัมภีร์ลับเล่มนี้ได้ ...เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี...”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงซี หลงเฉินก็ยังคิดอะไรไม่ออก
‘ลืมมันเสียเถอะ ไม่ว่ามังกรนั่นจะแข็งแกร่งสักเพียงใด มันก็ยังถูกหยกมังกรสะกดเอาไว้ได้ ตอนนี้ข้าก็กลายเป็นนักรบมังกรแล้วตามคำชี้แนะของพ่อข้า และยังได้รับความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวที่เรียกว่า ‘สกัดโลหิตสลายปราณ’ ในภายภาคหน้า ความรวดเร็วในการฝึกฝนของข้าจะต้องพุ่งทะยานมากกว่านี้ และปราณแท้จริงที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ข้าจะต้องพัฒนาเพิ่มมากขึ้นอีก!’
‘อย่างไรก็ตาม ปราณแท้จริงของข้าเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่า หากข้าต้องการบรรลุขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ มันคงจะยากเย็นกว่าคนทั่วไปถึงสี่เท่าเช่นกัน หรือบางทีอาจจะถึงสิบเท่าเลยก็เป็นได้ ดังนั้นข้ายังพอใจสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้…’
หลงเฉินยืนขึ้น ประคองหลิงซีตัวน้อยไว้ในมือ
“แม่นาง ในเมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ข้าก็ไม่สนใจมังกรนั่นหรอก ข้าจะต้องมีพลังให้มากกว่านี้เพื่อปกป้องเจ้าในวันหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสมุนไพรวิญญาณอีกมากที่สามารถบำรุงวิญญาณของเจ้าได้ เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ถึงสองครั้งสองครา เวลานี้ถึงคราวที่ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าบ้างแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลงเฉิน หลิงซีจึงหายจากอาการตกใจเรื่องมังกรวิญญาณโลหิตบรรพกาล และเมื่อเห็นความแน่วแน่ตั้งใจในดวงตาของเขา นางก็เริ่มรู้สึกสับสนในใจ พลางรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเข้าใจความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้นี้ได้เลย
‘หลังจากได้เป็นนักรบมังกรและมีความสามารถศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เขาจะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะหาวิธีฟื้นฟูกายหยาบของข้าสำเร็จก็เป็นได้...’
ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลงเฉินนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จนถึงทุกวันนี้นางก็รู้ตัวเองแล้วว่าไม่สามารถละทิ้งเขาไปได้
หลังจากที่วางนางไว้บนบ่า หลงเฉินก็ยิ้ม
“เอาล่ะ พักเรื่องผนึกมังกรไว้ก่อนเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้วสำหรับการแข่งขันล่าสัตว์อสูร ดังนั้นข้าจำต้องฝึกวิชาอย่างหนักในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”
ภาพของไป๋ซื่อจีปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาของหลงเฉิน หลงเฉินกำหมัดแน่นพลางหัวเราะอย่างเย็นชา
‘ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าในครั้งนี้ ดัชนีสวรรค์ทมิฬของเจ้าหรือผนึกมังกรของข้าจะแข็งแกร่งกว่ากัน! เจ้ามั่นใจว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้อย่างนั้นรึ? เมื่อเวลามาถึง เจ้าจะต้องแปลกใจ!’
ตลอดระยะเวลาแปดวัน หลงเฉินได้ฝึกวิชาอย่างเข้มงวด จนกระทั่งคุ้นเคยกับพลังของขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหก วันนี้เขาก็ลุกขึ้นยืนในที่สุด และเตรียมตัวกลับไปที่ตระกูลหยาง
ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก เมื่อนึกถึงการแข่งขันล่าสัตว์อสูร หลงเฉินก็รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น
“9 วันก่อนหน้านี้ ข้าทำร้ายไป๋จื้อซิงและไป๋ซื่อตง และยังทำให้หยางเสวี่ยชิงต้องอับอายต่อหน้าคนอื่น เมื่อกลับไปถึงตระกูลหยาง คงจะมีบางคนต้องการหาเรื่องข้าแน่ แต่ข้า... หลงเฉิน จะหวาดกลัวไปไย?”
เป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้ว เมื่อหลงเฉินเดินเข้ามาผ่านประตูของตระกูลหยาง ทหารยามก้าวออกมาและพูดกับเขา
“นายน้อยเฉิน ท่านผู้นำตระกูลได้เชิญผู้นำตระกูลไป๋และคนอื่น ๆ ไปที่งานเลี้ยงในวันนี้ งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ท่านผู้นำบอกให้ท่านไปที่วังหงอู่ทันทีที่ท่านกลับมา”
วังหงอู่ คือสถานที่ที่ผู้นำตระกูลหยางใช้รับรองแขก
เมื่อได้ยินว่าผู้นำตระกูลเชิญผู้นำตระกูลไป๋มาด้วย และดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ ในตระกูลไป๋ก็ได้รับเชิญเช่นกัน หลงเฉินจึงรู้สึกไม่อยากไป เป็นเพราะเขารู้ว่าไป๋จ้านสงและคนอื่น ๆ จะต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
เมื่อพิจารณาถึงการแข่งขันล่าสัตว์อสูรกำลังจะเริ่มขึ้น หลงเฉินจึงไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลหยางต้องการจะทำอะไรกันแน่ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้นำตระกูลไป๋นั้นนับว่าสนิทสนมกันมาก ผู้นำตระกูลหยางและผู้นำตระกูลไป๋เป็นดั่งพี่น้องที่มีชื่อเสียงและผ่านวิกฤตเหตุการณ์ต่าง ๆ นานามาด้วยกัน และเรียกได้ว่าพวกเขาคือผู้ที่ขับเคลื่อนเมืองพฤกษาหมอกแห่งนี้
หลงเฉินมาถึงวังหงอู่อย่างรวดเร็ว ภายในเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึงและความตื่นเต้น บนโต๊ะไม้จันทน์ขนาดใหญ่ 2 โต๊ะมีเหล้าเลิศรสและอาหารอันโอชะมากมาย สาวใช้ผู้งดงามกำลังง่วนกับการเดินไปมาระหว่างโต๊ะต่างๆ
ที่โต๊ะใหญ่ ผู้นำตระกูลหยางนั่งอยู่กับคนตระกูลหยางอีกสามคน รวมทั้งหยางชิงเสวียน และอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นชายชราร่างอ้วนเตี้ย ดูซื่อบริสุทธิ์และมีเสน่ห์อย่างมาก แม้ว่าผมของเขาจะเป็นสีเทา แต่ใบหน้านั้นมีสีแดงเปล่งปลั่งราวคนหนุ่มก็ไม่ปาน
คนผู้นี้คือผู้นำตระกูลไป๋ แม้ว่าเขาจะแก่ชรามากแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อ่อนด้อยไปตามกาลเวลา และการฝึกวิชาของเขาก็อยู่ในระดับสูงสุดของเมืองพฤกษาหมอก
ด้านข้างของผู้นำตระกูลไป๋เป็นชายวัยกลางคน 2 คน ซึ่งก็คือบุตรชายคนที่สาม ไป๋จ้านสง และบุตรชายคนที่สี่ ไป๋จ้านเฟิง
ในระหว่างการประชุมตระกูล เขาเคยมาที่ตระกูลหยาง และไป๋ซื่อตงผู้ที่หลงเฉินเคยทำให้ต้องตกใจกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนก็เป็นลูกชายของไป๋จ้านเฟิง
ส่วนโต๊ะอื่น ๆ เป็นของบรรดาลูกหลาน ทางฝั่งตระกูลหยาง มีหยางอู่ หยางหลิงเยวี่ย และหยางหลิงชิง ทางฝั่งตระกูลไป๋ มีไป๋ซื่อจี ไป๋จื้อซิง และไป๋ซื่อตง และยังมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งผู้มีสีหน้าแสนเย็นชา เพียงแค่มองหลงเฉินก็สามารถรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังอันตราย
หลงเฉินจำได้ว่าคนผู้นั้นคือ ไป๋ซื่อเฉิน ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองพฤกษาหมอก และนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของเมืองพฤกษาหมอก
ในวันนี้ เหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลไป๋และตระกูลหยางเกือบทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ขณะที่ผู้นำตระกูลไป๋และตระกูลหยางกำลังหัวเราะร่วน หลงเฉินที่เดินเข้ามาอย่างกะทันหันก็ทำให้รอยยิ้มของพวกเขาหยุดนิ่งไป
ในตอนนี้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่หลงเฉิน
ผู้นำตระกูลไป๋ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไป แต่ชายวัยกลางคนทั้งสองของตระกูลไป๋กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา ขณะที่สีหน้าของอีกสองคน หยางหยุนเทียนและหยางเสวี่ยฉิงกลับเย็นชาเสียยิ่งกว่า สำหรับหยางชิงเสวียนแล้ว เขาช่างเหมือนกับผู้เป็นบิดาที่ยังมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
บรรดาลูกหลานของตระกูลไป๋ต่างสะกดกลั้นความเกลียดชังที่มีต่อหลงเฉินเอาไว้ ดวงตาของไป๋ซื่อจีที่มองหลงเฉินนั้นแฝงไปด้วยความมุ่งร้าย ในขณะที่ไป๋จื้อซิงและไป๋ซื่อตงกลับรู้สึกหวาดกลัวหลงเฉิน และสำหรับสายตาของไป๋ซื่อเฉินที่เพิ่งได้พบกับหลงเฉินเป็นครั้งแรก เขามีสีหน้าเรียบเฉย แต่ทว่าเฉียบคมราวคมกระบี่
หลงเฉินไม่ได้ปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะนัก เขาจึงทำให้เกิดบรรยากาศเช่นนี้ขึ้น ตอนนั้นเองที่ผู้นำตระกูลหยางหัวเราะออกมาดังลั่น
“เฉินเอ๋อร์ เจ้ากลับมาได้สักที เอาล่ะ ในที่สุดทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า เฉินเอ๋อร์ นั่งลงที่โต๊ะนั้นสิ!”
หลังจากที่ผู้นำตระกูลหยางพูดจบ ทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นต่างจ้องมองหลงเฉินเป็นตาเดียว
“นี่... มนุษยสัมพันธ์ของเจ้าคงแย่มากเลยสินะ มีเพียงน้องหญิงหยางหลิงชิงคนเดียวเท่านั้นเองที่ยอมรับในตัวเจ้า...”
หลิงซีโอดครวญ
*******************************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm