ตอนที่ 26 ผมคิดว่าผมตายแล้วซะอีก
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
“ขึ้นรถ มัวรออะไรอยู่?!” ความโกรธถูกเขียนอยู่ชัดเจนบนใบหน้าของกู้เฉิงเซียวแบบไม่ต้องสาธยาย ปกติตอนที่เขาไม่โกรธก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่พอเขาโกรธขึ้นมามันทำให้เขาดูน่ากลัวมาก...อาจจะมากยิ่งกว่าเจอมัจจุราชเลยก็ได้
หลินเฉี่ยนรู้สึกขนลุกไม่หยุด เธอหันหน้าไปอีกทางเพื่อเตรียมใส่เกียร์หมาวิ่งหนี แต่จู่ๆ ฉู่โม่เฟิงก็พูดขึ้น “โอ้....”
โอ้? โอ้อะไร!
หลินเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพบว่าฉู่โม่เฟิงเดินไปข้างรถเพื่อพูดกับกู้เฉิงเซียวที่อยู่ด้านใน “อาสองรอแป๊บนึงได้ไหม?”
อะ...อาสอง?
หลินเฉี่ยนกลายเป็นหินไปอย่างสมบูรณ์อีกครั้งในทันที
“ไม่ได้!” กู้เฉิงเซียวมองคนทั้งคู่ อานุภาพความโกรธของเขาพุ่งปะทะทั้งหลานชายของตัวเองและหลินเฉี่ยนด้วย “เร็วเข้า ฉันรีบ!”
“แล้วรถผม......”
“ยกไปไว้หลังรถ!”
ฉู่โม่เฟิงเห็นว่าใบหน้าอาสองของเขาเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว เขาจึงยอมฟังแต่โดยดี ท่าทางราวกับเจ้าชายของหนุ่มหล่อที่แสดงต่อหน้าหลินเฉี่ยนได้หายไปหมดแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้เฉิงเซียวเขากลายเป็นเพียงหนุ่มน้อยน่ารักธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
ในตอนนี้หลินเฉี่ยนรู้สึกเหมือนเท้าของตัวเองหนักสักสิบตันได้ ขาของเธอแข็งค้างขยับไปไหนไม่ได้ สายตาของเธอถูกตรึงให้มองอยู่แต่ในรถคันใหญ่ ไหล่น้อยๆของเธอสั่น สาวน้อยรู้สึกราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
เธอเคยขอไม่ให้บอกเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเขาให้กับคนในมหาลัยรู้ และเขาก็ทำได้จริง เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่เขาไม่เรียกเธอ ไม่พูดกับเธอและไม่ได้มาหาเธอ!
เขาและเธอไม่ต่างจากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน แต่สายตาของเขากลับดูเหมือนจะกินเธอได้ยังไงยังงั้น
ฉู่โม่เฟิงนำรถจักรยานของเขาใส่หลังรถแลนด์โรเวอร์แล้วเดินกลับมาด้านหน้า ก่อนที่เขาจะขึ้นรถเขาก็หันมากระซิบข้างหูหลินเฉี่ยนว่า “เธอกลับไปคิดให้ดีๆล่ะ ฉันจะรอ”
“…….” ‘ฮืออออ ดวงถึงฆาตแล้ว….วันตายของฉันใกล้จะถึงแล้วนายรู้บ้างไหมเนี่ย?’
ยังไม่ทันที่ฉู่โม่เฟิงจะปิดประตูรถได้สนิท กู้เฉิงเซียวก็กระชากเกียร์และกระทืบคันเร่งจนจมมิดลงไปทันที แลนด์โรเวอร์พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าหวาดเสียวกระแสลมแรงพัดเอาใบเมเปิลแห้งบนต้นร่วงลงมาจำนวนมากพร้อมกับอีกส่วนบนพื้นก็ถูกพัดจนปลิวกระจายขึ้นมาด้วย…
การควบคุมรถของกู้เฉิงเซียวรวดเร็วและแม่นยำ เขาใช้เวลาเพียงสองวินาทีในการกลับรถก่อนจะหักเลี้ยวขวา เขาหมุนพวงมาลัยแล้วเหยียบคันเร่งโดยไม่เบรก รถพุ่งออกไปราวกับลูกธนูพุ่งออกจากสายธนู แลนด์โรเวอร์หายลับตาไปปล่อยให้หลินเฉี่ยนยืนอึ้งอยู่ใต้ต้นเมเปิล
…..
หลินเฉี่ยนยังคงยืนอยู่ที่เดิม แม้ว่ารถจะผ่านไปไกลแล้ว และถึงจะมีใบเมเปิลแห้งที่ยังคงร่วงโรยลงจากต้นเป็นเสมือนเกาะป้องกัน แต่ทว่าเธอก็ยังรู้สึกได้ถึงจุดพายุนับแสนจากกู้เฉิงเซียวกำลังพุ่งเข้าใส่ตัว…..การมาถึงของเขารวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัวและจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ร่ำลาเช่นกัน
หลินเฉี่ยนที่ยังคงยืนตกใจอยู่นั้นเหงื่อชุ่มไปทั่วทั้งแผ่นหลัง...ให้ตายเถอะดูเหมือนเธอต้องไปซื้อโลงศพมาเตรียมไว้แล้วสิ
รถแลนด์โรเวอร์คันโตออกมาพ้นเขตมหาวิทยาลัยและกำลังแล่นไปตามท้องถนน ในที่สุดกู้เฉิงเซียวก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ทำไมไม่ตั้งใจเรียน ไปมัวมั่วมัวยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นทำไม?”
ในฐานะของอา การที่เขาจะสนใจการเรียนของหลานชายถือเป็นเรื่องปกติ
“ผมไม่ได้มั่วซะหน่อย ผมชอบเธอ ผมกำลังตามจีบเธออยู่” ฉู่โม่เฟิงตอบกลับไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์และท่าทางของอีกฝ่ายเพราะเขาคิดว่ามันเป็นนิสัยส่วนตัวของกู้เฉิงเซียวอยู่แล้วที่มักจะจริงจังและนิ่งขรึมอยู่ตลอด
คำตอบนั้นทำให้กู้เฉิงเซียวโกรธมากซะจนรถที่เขากำลังขับอยู่ส่ายไปมาอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วจีบติดรึยัง?” เขาถามโดยพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธทั้งหมดของตัวเองไว้อย่างยิ่งยวด
มันช่างเป็นคำถามที่เจ็บปวดยิ่งนักสำหรับฉู่โม่เฟิง เด็กหนุ่มรู้สึกหัวเสียขึ้นมาทันที นัยน์ตาเขามีแววขมขื่น เขาส่ายศีรษะก่อนจะตอบ “เธอปฏิเสธ”
‘เฮ้อ...โล่งอกไปที’
“แต่ผมว่าเธอเองก็ชอบผมเหมือนกัน”
รถเอียงวูบและเบี่ยงออกไปจากเลนเดิมอีกครั้งหนึ่ง
“ตอนนี้นายยังเรียนอยู่ นายควรจะสนใจเรื่องเรียนเป็นหลัก” ถ้าฉู่โม่เฟิงตั้งใจฟังมากพอ เขาน่าจะสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของอาสองของเขากำลังสั่นอยู่เล็กน้อย “ในเมื่อเธอปฏิเสธแล้ว นายก็ต้องตัดใจแล้วหันกลับไปตั้งใจเรียนซะ”
โชคร้ายที่ฉู่โม่เฟิงไม่ได้เข้าใจบางสิ่งบางอย่างที่แฝงอยู่ในคำเตือนของคนเป็นอาเลย และเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำความเข้าใจมันด้วย เขายังคงอยู่ในอาการไม่สบอารมณ์อยู่เหมือนเดิม
กู้เฉิงเซียวเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบกลับ ความขุ่นเคืองของเขาก็เข้มข้นขึ้น “ได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
“อาครับ ถ้ามันเลิกชอบกันได้ง่ายๆ มันก็แปลว่าไม่ได้ชอบจริงๆน่ะสิ ความรู้สึกแบบนี้อาไม่เข้าใจหรอก”
“……..” กู้เฉิงเซียวเงียบสนิทไปทันที ‘นี่กำลังเยาะเย้ยฉันงั้นเหรอ? นี่กำลังเยาะเย้ยฉันใช่ไหม!’
“ผมนั่งเรียนโต๊ะติดกับเธอตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วผมก็ชอบเธอมาตั้งแต่ตอนนั้น เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่ผมรู้จัก ถึงแม้ว่าเธอจะทำตัวบ้าบอ ไม่สมกับเป็นผู้หญิง แต่เธอก็ยังน่ารัก” ฉู่โม่เฟิงกำลังจมอยู่ในความทรงจำสีชมพูของตัวเองจนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าดำคล้ำเคร่งเครียดที่เหมือนกับจะระเบิดได้ทุกเมื่อของกู้เฉิงเซียว “แต่ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวก็เลยไม่กล้าที่จะบอกความในใจกับเธอ แต่พอตอนนี้ผมไปบอกชอบเธอ แต่เธอกลับคิดว่าสมองผมมีปัญหาซะงั้น”
“…….” ‘นี่ฉันกำลังรู้สึกปวดใจอย่างนั้นเหรอ? เป็นไปได้ยังไงกัน?’
“เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นจริงๆนะ เธอไม่ได้เข้าหาผมเพราะรู้ว่าผมมาจากตระกูลยิ่งใหญ่อะไร เธอจะชอบใครก็ตามที่เธอรู้สึกชอบ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอย่างอื่น นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมชอบเธอมากที่สุด อาสองครับ อาเข้าใจความหมายที่ผมพูดไหม?”
“…….” กู้เฉิงเซียวกดข่มความโกรธที่ปะทุไม่หยุดของเขาไว้อย่างสุดความสามารถ ตอนนี้คงมีแต่พวงมาลัยรถอย่างเดียวเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวนั้นรวมทั้งเสียงคำรามในใจที่ดังจนแทบทะลุออกมาของเจ้าของ เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่-เข้า-ใจ”
“ไม่แปลกหรอกครับที่อาไม่เข้าใจ เพราะอาแทบจะไม่ได้เข้าใกล้เพศตรงข้ามเท่าไหร่”
“…….” พวงมาลัยของรถแลนด์โรเวอร์แทบจะหลุดออกมาแล้วในตอนนี้
แล้วจู่ๆ ฉู่โม่เฟิงก็ทำท่าราวกับเขาได้ทำการตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เขาพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ผมไม่มีทางยอมแพ้หรอก ขอแค่ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความจริงใจของผม ผมเชื่อว่าเธอจะต้องรับรักผมแน่”
วินาทีนั้นเอง กู้เฉิงเซียวก็หักพวงมาลัยอย่างกะทันหัน ฉู่โม่เฟิงไม่ทันตั้งตัว...เขายังไม่ทันจะได้หาที่ยึดเกาะก็เกิดเสียง ‘ปัง!’ ดังขึ้นซะก่อน รถคันใหญ่ที่มีคนสองคนอยู่ข้างในผสานงานเข้ากับเสาของสะพานข้ามทางรถไฟ
อะดรีนาลีนในร่างของฉู่โม่เฟิงพลุ่งพล่าน หัวของเขาเจ็บแปร๊บ เด็กหนุ่มอยู่ในอาการมึนงงจากการปะทะที่รุนแรง
ตอนที่รถชนเข้ากับเสาของราวสะพาน กู้เฉิงเซียวเองก็มึนไปชั่วขณะ ถุงนิรภัยภายในรถเด้งออกมาเพื่อป้องกันแรงกระแทก ระบบป้องกันอุบัติเหตุของรถราคาแพงเปิดการทำงานขึ้นมาโดยสมบูรณ์...ซึ่งสิ่งแรกที่กู้เฉิงเซียวนึกถึงคือความปลอดภัยของหลานชายเขา..ฉู่โม่เฟิง
“เสี่ยวเฟิง ตื่นๆ เสี่ยวเฟิงเป็นอะไรไหม? เสี่ยวเฟิง...เสี่ยวเฟิง...เสี่ยวเฟิง?”
ฉู่โม่เฟิงได้สติขึ้นมาจากอาการช็อก เขากะพริบตาสองครั้งช้าๆ ในตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หน้าอก ตาทั้งข้าง และศีรษะ
กู้เฉิงเซียวรีบถอดเข็มขัดนิรภัยออกทันที เขาขยับเบาะ ปลดถุงลมนิรภัยแล้วดันตัวเองออกไปด้านหลังก่อนเพื่อลดความอึดอัดก่อนจะหันกลับไปดูหลานชาย “เสี่ยวเฟิง?”
ฉู่โม่เฟิงหน้าซีดเผือด ปากของเขากำลังสั่นอยู่ ตาของเขามีเลือดไหลออกมา ลมหายใจของเขาถี่รัว อาการของเด็กหนุ่มดูไม่ดีนัก
“เสี่ยวเฟิง ได้ยินที่ฉันพูดไหม?” กู้เฉิงเซียวยังคงเรียกชื่อหลานชายพร้อมกับสำรวจดูส่วนหัวและลำตัวของเขา
ฉู่โม่เฟิงเปล่งเสียงแหบพร่าออกมาแผ่วๆ “ดะ...ได้ยิน...”
มันแค่แผ่วเบาเท่านั้นแต่ยังไม่ได้อ่อนแรง
กู้เฉิงเซียวรู้สึกโล่งใจขึ้นเขารีบถอดเข็มขัดนิรภัยให้อีกฝ่ายก่อนที่จะดันถุงลมนิรภัยออกให้ “หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ยาวๆ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างดีขึ้นบ้างไหม?”
ฉู่โม่เฟิงรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก บางทีอาจจะเป็นเพราะถูกถุงนิรภัยกดทับตัวอยู่เลยทำให้เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย
เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะสูดอาการบริสุทธิ์ที่อยู่รอบๆ เข้าไปหอบโตหลายๆ ครั้ง เขายังคงมึนคงอยู่บ้าง “อาสอง...ผมนึกว่าผมจะตายซะแล้ว”
กู้เฉิงเซียวลูบหัวคนเป็นหลานพร้อมกับปลอบใจ “จะตายง่ายๆได้ไงเล่า”
“เฮ้อ~ เรื่องร้ายๆก็ผ่านมาแล้วหลังจากนี้ก็คงจะต้องมีแต่เรื่องดีๆแน่--ผมต้องจีบหลินเฉี่ยนให้ติดให้ได้!”
“……”
ตอนนั้นเองเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ใกล้เข้ามา เจ้าหน้าที่ตำรวจเคาะกระจกหน้าต่างของรถอย่างรีบร้อนพร้อมกับส่งเสียงถาม “คนข้างในเป็นอะไรไหมครับ?”
กู้เฉิงเซียวที่เรียกสติตัวเองกลับมาได้แล้วเปิดประตูเดินลงจากรถ “หลานผมบาดเจ็บเล็กน้อย คิดว่าคงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก รถโรงเรียนที่อยู่ด้านหน้าไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
ในเวลาเดียวกันกับที่รถของกู้เฉียงเซียวเซอยู่บนถนน ได้มีอุบัติเหตุของรถโรงเรียนเกิดขึ้นด้านหน้าเขากะทันหัน ถ้าหากว่าตอนนั้นประสาทสัมผัสที่รวดเร็วของกู้เฉิงเซียวไม่รู้สึกถึงความผิดปกติได้ทัน หรือเขาตัดสินใจหักพวงมาลัยหลบไม่ทันการณ์ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คงยากจะจินตนาการได้
.
.
.
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm