ตอนที่ 23 จิตสังหาร
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
หลงเฉินบอกได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของผู้ใด
หยางเสวี่ยชิงนั่นเอง
เมื่อเขาได้ยินเสียงของหยางเสวี่ยชิง ไป๋ซื่อซวินผงะไปชั่วครู่ จากนั้นก็มองหลงเฉินด้วยสายตาเคียดแค้น เมื่อนั้นเองที่ดัชนีสวรรค์ทมิฬในมือของเขาค่อย ๆ จางหายไป
หลงเฉินเองก็ไม่ได้ใช้วิชาผนึกมังกรอีกครั้ง
“ท่านน้า พวกเราอยู่ที่นี่...”
เมื่อได้ยินเสียงของหยางเสวี่ยชิง หยางหลิงชิงที่กำลังร่ำไห้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางร้องเรียกออกมาด้วยความประหลาดใจ
เดิมทีแล้ว หยางเสวี่ยชิงสังเกตเห็นไป๋ซื่อจีก่อน นางมองไป๋ซื่อจีด้วยความกังวล แต่เมื่อนางได้ยินเสียงของหยางหลิงชิง นางจึงเห็นว่าคนที่กำลังเผชิญหน้ากับไป๋ซื่อซวินแท้จริงแล้วคือหลงเฉิน สีหน้าอ่อนโยนของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที
หลงเฉินยิ้มเยาะ เขาชื่นชมความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าของนาง แต่ก็รู้สึกสมเพชที่นางมองลูกชายของผู้อื่นด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน แต่กลับมองลูกชายของตนเองด้วยใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง
หลงเฉินไม่ต้องการทนกับความรู้สึกเช่นนี้ และไม่ต้องการเห็นหยางเสวี่ยชิงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยไป๋ซื่อซวินอีกด้วย ดังนั้น เมื่อหยางเสวี่ยชิงปรากฏตัวขึ้น เขาจึงเดินออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ช้าก่อน!”
เสียงเย็นชาของหยางเสวี่ยชิงดังขึ้นข้างหูของเขา
หลงเฉินหันกลับมาและเอ่ยถาม
“ข้ารู้สึกแปลกใจจริง ๆ ว่าทำไมนายหญิงตระกูลไป๋ผู้นี้ถึงเรียกข้า? เป็นเพราะข้าทำร้ายเศษสวะตระกูลไป๋ 2 คนนี้ใช่หรือไม่? ถูกแล้ว ข้าเป็นคนทำร้ายเจ้าสวะพวกนี้เอง ท่านจะทำเช่นไรกับข้างั้นรึ?”
คำพูดของหลงเฉินทำให้หยางหลิงชิงที่กำลังตื่นเต้นเพราะการปรากฏตัวของหยางเสวี่ยชิงกลับกลายเป็นหดหู่ นางจ้องมองหลงเฉินด้วยสายตาเลื่อนลอย จากนั้นก็มองไปยังหยางเสวี่ยชิงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม โดยที่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แรงปะทะจากคำพูดของหลงเฉินทำให้หยางเสวี่ยชิงหายใจได้ลำบากยิ่ง ต่อหน้าผู้คนมากหน้าหลายตา หลงเฉินทำให้นางต้องอับอาย เมื่อมองท่าทีที่เรียบเฉยของเขาแล้ว นางจึงรู้สึกฉุนเฉียวอย่างมาก
ถึงกระนั้น นางก็รู้ดีว่าชื่อเสียงในเมืองพฤกษาหมอกของนางไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เหตุเพราะการแต่งงานใหม่ที่กำลังจะมาถึง หากนางทำอะไรหลงเฉินที่นี่ รังแต่จะทำให้เกิดเสียงนินทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตระกูลไป๋และตระกูลหยางเลยสักนิด
เช่นนั้นแล้ว หยางเสวี่ยชิงจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของหลงเฉิน และหันกลับไปพูดกับไป๋ซื่อจี
“ซื่อจี ข้าต้องขอโทษเจ้ากับตระกูลไป๋สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วยนะ จริงหรือไม่ที่หลงเฉินทำร้ายคนของตระกูลไป๋ 2 คนนั้น?”
ไป๋ซื่อจีพยักหน้า
“เขาทำร้ายจื้อซิงและซื่อตง ข้ากำลังจะชี้แนะว่าเขาไม่ควรสร้างเรื่องบาดหมางเพราะเห็นแก่มิตรภาพระหว่างตระกูลทั้งสอง ไม่คิดเลยว่าท่านจะมาที่นี่ ท่านน้าหยาง ข้าเชื่อในตัวท่าน ท่านพาเขากลับไปเสียเถอะ”
เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเด็กมีเหตุผล หยางเสวี่ยชิงจึงรู้สึกพอใจอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋ซื่อจียังทำได้ดีในการฝึกวิชา เขาบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดด้วยวัยเพียง 20 ปี นับเป็นความสำเร็จที่น่าเหลือเชื่ออย่างที่สุด
ดังนั้น นางจึงพยักหน้าและเอ่ยขึ้น
“ฝากคารวะท่านพ่อของเจ้าด้วย เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของเจ้าและขอโทษพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ท่านน้า รักษาตัวด้วย”
หลงเฉินทำได้เพียงรู้สึกรังเกียจเมื่อเขาเห็นทั้งสองแสร้งทำดีและจริงใจต่อกัน
ด้วยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหยางเสวี่ยชิง เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงจบลงทั้งอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งความแข็งแกร่งของไป๋ซื่อจี และความกดดันที่เขาได้รับจากดัชนีสวรรค์ทมิฬ ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจของหลงเฉินอย่างชัดเจน
‘ข้ายังไม่เคยมีโอกาสรับมือกับดัชนีสวรรค์ทมิฬเลยสักครั้ง หากข้าเจอเขาในการแข่งขันล่าสัตว์อสูรตามลำพังโดยที่ไม่มีใครมองอยู่ละก็ ข้าคงตายแน่ ๆ!’
หยางเสวี่ยชิงและไป๋ซื่อจีมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน เมื่อหลงเฉินเห็นเช่นนั้น ในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่จู่ ๆ เขาจะคิดอะไรขึ้นมาได้
‘การแข่งขันล่าสัตว์อสูรจัดขึ้นในวันเดียวกันกับงานแต่งงาน หากข้าจัดการไป๋ซื่อจีได้ ตระกูลไป๋ก็ต้องไว้ทุกข์ และเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดงานแต่งงานได้สำเร็จ!’
ในช่วง 3 วันนี้ หลงเฉินครุ่นคิดหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ในเมื่อการแข่งขันล่าสัตว์อสูรจัดขึ้นในวันเดียวกันกับงานแต่งงาน เขาก็ต้องการสร้างความโกลาหลขึ้น และหยุดพวกเขาไม่ให้แต่งงานกัน แต่เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะทำการใหญ่เช่นนั้น ไม่เพียงแต่ตระกูลไป๋ แต่ตระกูลหยางเองก็ต้องการกำจัดคนไร้ค่าเช่นเขาด้วยเหมือนกัน
ในอดีต หลงเฉินเห็นกับตาตนเองว่าไป๋จ้านสงลักพาตัวหญิงคณิกาจากหอนางโลมหยกมรกต เมื่อเขาตามไป เขาก็พบว่าไป๋จ้านสงขายหญิงสาวเหล่านั้นให้กับกลุ่มคนที่มีจุดสีแดงตรงหว่างคิ้ว
เขาได้เล่าเรื่องนี้ให้หยางเสวี่ยชิงเมื่อครั้งก่อน แต่นางก็ไม่เชื่อในคำพูดของเขา
หลงเฉินคิดอยู่เสมอว่าคนตระกูลไป๋นั้นมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ หากหยางเสวี่ยชิงแต่งงานไปจริง คงไม่มีใครคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาได้
และในตอนนี้ เขาก็คิดหาทางแก้ไขได้ในที่สุด
เขามองไป๋ซื่อจีที่กำลังพูดคุยกับหยางเสวี่ยชิงอย่างสุภาพนอบน้อมด้วยสายตาที่เย็นชา
‘ทางเดียวก็คือต้องฆ่าไป๋ซื่อจีให้ได้ ข้าทำร้ายลูกชายของบ้านนี้ไปแล้วคนหนึ่ง และหากฆ่าอีกคน พวกเขาจะยังแต่งงานกันได้อยู่อีกหรือ?’
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฆ่าไป๋ซื่อจี คือระหว่างการแข่งขันล่าสัตว์อสูร อย่างไรก็ตาม หากจะทำให้สำเร็จลุล่วงนั้น หลงเฉินจำต้องก้าวข้ามขีดจำกัดครั้งใหญ่ และหญ้าวิญญาณนิมิตที่เขาเพิ่งได้มาก็คือตัวแปรของเรื่องนี้
เมื่อเขาตัดสินใจได้ หลงเฉินก็ไม่ต้องการอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป และเมื่อเห็นว่าหลงเฉินเดินออกไปแล้ว หยางหลิงชิงจึงรีบตามเขาไปติด ๆ
ตอนนั้นเอง หยางเสวี่ยชิงก็เพิ่งสนทนากับไป๋ซื่อจีเสร็จ
แม้ว่าภายนอกนางจะดูใจดีมีเมตตา แต่ในใจลึก ๆ กำลังรู้สึกเดือดดาลอย่างมาก แต่เพราะมีคนจำนวนมากเฝ้ามองอยู่ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไล่ตามเขาไป แต่ในเมื่อหลงเฉินทำให้นางต้องอับอายต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เมื่อกลับไปที่ตระกูลหยาง นางจะไม่ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขแน่นอน
“ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้าไว้ด้วยการขัดขวางไป๋ซื่อจี แต่เจ้ากลับตอบแทนความเมตตาของข้าเช่นนี้ มิหนำซ้ำ ยังทำให้ข้าเสียหน้าอีก เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ!”
“เจ้ายังแข็งแกร่งไม่พอ แต่กลับทะเยอทะยานเหลือเกิน เจ้าคิดว่าจะเอาชนะทุกคนที่เจ้าต้องการได้งั้นรึ? ไป๋ซื่อจีไม่ใช่ใครที่เจ้าจะสู้ได้หรอกนะ...”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของหยางเสวี่ยชิง จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากตลาดจอมยุทธ์แล้ว หยางเสวี่ยชิงก็เห็นหยางหลิงชิงรออยู่ นางมองหยางหลิงชิงและถามขึ้นเบา ๆ
“แล้วเขาล่ะ?”
หยางหลิงชิงประหม่าเล็กน้อยขณะที่นางพูดตอบ
“ต... ตอนที่พี่เฉินออกมา เขาเจอเข้ากับใครบางคน ก็เลยบอกให้ข้ากลับบ้านไปก่อน จากนั้นเขาก็ไล่ตามคนคนนั้นไป ข้าเองก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน...”
“ไล่ตามใครบางคนไปงั้นรึ?”
หยางเสวี่ยชิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา
“ก็คงเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นล่ะ เขาคงกลัวจะถูกลงโทษเสียมากกว่า คิดอะไรแบบเด็ก ๆ ไปได้ คนตระกูลหลงนี่เก่งเรื่องการตบตาจริง ๆ ...”
หยางหลิงชิงกัดริมฝีปาก นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป
ความจริงแล้ว ตอนที่นางเห็นว่าหลงเฉินพบใครบางคนเข้า เขาก็รีบวิ่งไล่ตามไปทันทีและคนคนนั้นก็วิ่งหนี แต่ในสายตาของหยางเสวี่ยชิง มันกลับกลายเป็นข้อแก้ตัวเสียอย่างนั้น
นางอยากจะเถียง แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างหลงเฉินและหยางเสวี่ยชิง นางจึงตัดสินใจที่จะเงียบปากไว้
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ ๆ หยางเสวี่ยชิงก็เอ่ยขึ้น
“ชิงเอ๋อร์ เล่ารายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ข้าฟังซิ”
เมื่อหยางหลิงชิงได้ยินว่าในที่สุด นางก็มีโอกาสพูดแทนหลงเฉิน นางก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความสัตย์จริง นางเฝ้ารอให้หยางเสวี่ยชิงคลายสีหน้าเย็นชาลง และชื่นชมหลงเฉินบ้างสักหน่อย แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อหยางเสวี่ยชิงได้ยินเรื่องราวทุกอย่างแล้ว นางกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“โอ้? เขาเอาชนะคนที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกได้ถึง 2 คนเชียวรึ? หึ... ถึงกระนั้นก็เถอะ หากต้องสู้กับคนที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ด เขาจะไม่อ่อนหัดเกินไปที่ตอบโต้หรืออย่างไร?”
ขณะที่หยางหลิงชิงเฝ้ามองร่างที่กำลังจากไปของหยางเสวี่ยชิง นางเม้มริมฝีปากและเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดหลงเฉินถึงไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันอันรุนแรงจากไป๋ซื่อจีก็ตาม...
หลังจากวิ่งไปตามถนนหลายเส้น หลงเฉินก็คว้าคอคนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าได้ทัน หลงเฉินปัดมีดที่ชายคนนั้นพยายามจะใช้โจมตี และกระแทกกับห้องน้ำด้วยเสียงดังสนั่น กลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งในอากาศ ความแข็งแกร่งของเขากดชายผู้นั้นไว้จนติดผนัง เขาหวาดกลัวเสียจนไม่สามารถขยับตัวได้
ก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาเดินอยู่ในตลาดจอมยุทธ์ หลงเฉินบังเอิญชนไหล่เข้ากับชายคนนี้ ซึ่งสะพายกระบี่เล่มหนึ่งไว้บนหลัง
ในตอนนั้น หลงเฉินไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่เคยพยายามลอบสังหารเขาก็ใช้มีดแบบนี้ ทั้งการบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นสอง และรูปร่างหน้าตาที่เขาเห็นก็คล้ายคลึงกับคนพวกนั้น เช่นนั้นแล้ว เขาจึงอยากลองตรวจสอบดู เขาไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อเขาเริ่มไล่ตาม เขาจะหันกลับมาและออกตัววิ่งทันที ด้วยเหตุนี้ หลงเฉินจึงมั่นใจว่าชายคนนี้คือนักฆ่าที่หลบหนีไปได้
หลังจากที่ไล่ตามเขาไปได้พักหนึ่ง หลงเฉินก็จับเขาได้ที่นี่ เขาลดเสียงลงและเอ่ยขึ้น
“ข้าจะไม่เสียเวลาเสวนากับเจ้า บอกมาว่าใครเป็นคนบงการเจ้าให้มาฆ่าข้า มิเช่นนั้น เจ้าตายแน่”
หลงเฉินแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว นักฆ่าผู้นี้จึงสูญสิ้นความหวัง แต่เมื่อเขาได้ยินว่ายังพอมีช่องว่างในการเจรจาต่อรอง เขาจึงรีบพูดออกมา
“ถ้าข้าบอก เจ้าจะไว้ชีวิตข้างั้นรึ?”
หลงเฉินพยักหน้า
“แต่เจ้าต้องออกจากเมืองพฤกษาหมอกไปนับตั้งแต่วันนี้”
นั่นคือสิ่งที่นักฆ่าต้องการอยู่แล้ว เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ง่ายมาก ไป๋จ้านสงแห่งตระกูลไป๋อย่างไรล่ะ”
หลงเฉินแปลกใจด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรก เขาแปลกใจที่คนผู้นี้ยอมพูดออกมาตรง ๆ และอีกประการหนึ่ง คือคนบงการเรื่องนี้คือไป๋จ้านสง
“เขาแค่ต้องการแต่งงานกับแม่ของข้า จำเป็นด้วยหรือที่ต้องฆ่าข้าทิ้ง?”
หลงเฉินไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะพยายามเพียงใด
ตอนนั้นเอง นักฆ่าก็เอ่ยขึ้น
“ข้าไม่ได้โกหก ที่ข้าบอกเจ้าก็เพราะข้าเองก็ชิงชังเขาเช่นกัน เขาสัญญาว่าจะปล่อยลูกสาวข้าหลังจากที่ฆ่าเจ้าได้ แต่ลูกสาวข้าก็ถูกเขาฆ่าตายเสียแล้ว ที่ข้ายังอยู่ในเมืองพฤกษาหมอกก็เพื่อรอว่าสักวันหนึ่งข้าจะมีโอกาสแก้แค้น!”
หลงเฉินพบว่าขณะที่พูดถึงไป๋จ้านสง ดวงตาของชายคนนี้แดงก่ำ เขาจึงบอกได้ทันทีว่าชายผู้นี้ไม่ได้พูดปด และตอนนี้ ใครจะเป็นนักฆ่าก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว หากตัวการคือไป๋จ้านสงก็นับว่าเหมาะเจาะ เพราะหลงเฉินตั้งใจจะจัดการกับเขาอยู่แล้ว
หลงเฉินปล่อยมือ จากนั้นก็มองเขาและยิ้มออกมา
“เจ้าเคยเกือบจะเอาชีวิตข้า แต่มาวันนี้ เจ้าก็ไม่พ้นเงื้อมมือข้าแล้ว แต่ข้าก็ให้สัญญาว่าจะไม่ฆ่าเจ้า เช่นนั้นก็กินขี้ไปซะ”
หลังจากพูดจบ นักฆ่ายังไม่ทันได้ตอบโต้ หลงเฉินก็ผลักเขาเข้าไปในกองอุจจาระ จากนั้นก็รีบหนีออกมา
“เกือบไปแล้วเชียว ดีนะที่ข้าว่องไวกว่า...”
เวลานั้น พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ
“เสี่ยวซี ไปที่ภูเขารกร้างกันเถอะ”
หลิงซีผงะไปชั่วครู่ และร้องถาม
“ทำไมกัน? หรือว่าเจ้ากลัวว่าแม่ของเจ้าจะลงโทษเจ้า? อย่ากลัวไปเลย ตราบใดที่ข้าดูดกลืนหญ้าวิญญาณนิมิตเสร็จ ข้าจะปกป้องเจ้าและไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นมาทำร้ายเจ้าได้อีก”
หลงเฉินหัวเราะร่า
“แม่นางน้อย เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไร ข้าไม่ได้กลัวนางสักหน่อย แต่มีคนอยู่เยอะเกินไปที่ตระกูลหยาง หากเจ้าต้องการจะดูดกลืนหญ้าวิญญาณนิมิต และยังต้องค้นหาความลับในผนึกมังกรอีก ที่ตระกูลหยางคงไม่สะดวกสักเท่าไร...”
“อย่างนี้เองสินะ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ในที่สุดก็มีอาหารอร่อย ๆ ให้กินสักที...”
แม้ว่าเสียงของหลิงซีจะอ่อนแรง แต่ก็แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
“อาหารงั้นรึ?”
“อื้ม! เจ้าไม่รู้รึ ตั้งแต่ที่ข้ากลายสภาพเป็นแบบนี้ ข้าก็ไม่เคยได้กินอะไรเลย ข้าตามหาสมุนไพรวิญญาณให้ตัวเองมานาน และพวกมันก็อร่อยดีนะ...”
เสียงของเด็กสาวฟังดูมีความสุข แต่หลงเฉินกลับรู้สึกหดหู่เล็กน้อย นางไม่เคยได้กินอะไรเลย และยังต้องใช้สมุนไพรวิญญาณแทนอาหาร เขารู้ว่ามันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กสาวที่จะโตขึ้นมาอย่างมีความสุข
“เสี่ยวซี...”
“หืม...?”
“วันหนึ่ง ข้าจะต้องทำให้เจ้าทานอาหารจริง ๆ ให้ได้”
“จริงเหรอ? ข้ากินจุนะ เจ้าเลี้ยงข้าไม่ไหวหรอก กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังกินจุอยู่ หญ้าวิญญาณนิมิตนี่กินได้แค่คำเดียวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเจ้าต้องขยันให้มาก ๆ นะ!”
“ขอรับ... ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”
*******************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm