ตอนที่ 22 ดัชนีสวรรค์ทมิฬ
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
“อย่านะ!”
หยางหลิงชิงกระวนกระวายราวกับหนูติดจั่น นางร้องออกมาสุดเสียง
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากหลงเฉินฆ่าไป๋ซื่อตง และผู้นำตระกูลหยางไม่ปกป้องเขา หลงเฉินคงต้องตายอย่างแน่นอน แต่หากผู้นำตระกูลยังต้องการปกป้องชีวิตของหลงเฉินอยู่ ก็จะนำไปสู่การนองเลือดระหว่างตระกูลไป๋และตระกูลหยาง และจะมีการตายเพิ่มมากขึ้น
เมื่อคิดถึงผลที่ตามมา หยางหลิงชิงก็ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว อย่างไรก็ตาม เมื่อหลงเฉินใช้ดัชนีที่เก้าของวิชาปีศาจวายุเก้าดัชนี นางก็ตกใจถึงขีดสุด
วิชาปีศาจวายุเก้าดัชนีเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากผนึกมังกร แม้ว่าจะบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ด ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถฝึกฝนกระบวนท่านี้ได้ และแม้แต่หยางอู่ก็ทำได้เพียงดัชนีที่แปดเท่านั้น
และที่สำคัญที่สุด หยางหลิงชิงรู้ว่าเพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ตั้งแต่ที่หลงเฉินเริ่มฝึกวิชาปีศาจวายุเก้าดัชนี
ความจริงแล้ว ปีศาจวายุเก้าดัชนีเป็นวิชาที่หลงเฉินเรียนรู้ในหอฝึกยุทธ์หลังจากวันประชุมตระกูล ระหว่างที่ต่อสู้กับหยางหลิงเยวี่ย เขารู้สึกว่ากระบวนท่านี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก เขาจึงฝึกฝนมันพร้อมกับผนึกมังกร
หยกมังกรลึกลับนั้นช่างน่าอัศจรรย์ หลงเฉินเพียงแค่สัมผัสมันเพียงเล็กน้อย แต่ความเล็กน้อยนั้นกลับนำมาซึ่งประโยชน์อันไม่รู้จบ
หลงเฉิน ชายที่ลึกลับผู้นี้ ทำให้หยางหลิงชิงยอมรับในตัวเขาอย่างแท้จริง
ทว่าในตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเต็มตื้นด้วยอารมณ์ หลงเฉินกำลังทำให้ไป๋ซื่อตงถึงตายด้วยนิ้วเดียว และไป๋ซื่อตงก็ควบคุมตนเองไม่ได้เพราะความหวาดกลัว ฝูงชนส่งเสียงร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง อารมณ์ต่าง ๆ พลุ่งพล่านราวกับคลื่นลูกใหญ่
แต่แล้ว คลื่นพลังชั่วร้ายของหลงเฉินที่ดูเหมือนปีศาจ กลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
เขาดึงพลังอันรุนแรงของดัชนีที่เก้าของวิชาปีศาจวายุเก้าดัชนีกลับมา ทำให้คลื่นพลังรุนแรงหายไปอย่างฉับพลัน หลงเฉินทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเดินตัวผ่านไป๋ซื่อตงไปเฉย ๆ ก่อนจะหันกลับมาเตะบั้นท้ายของไป๋ซื่อตง ทำให้เขากระเด็นออกไปและหน้าทิ่มพื้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนมองเขาด้วยสีหน้างุนงง แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หลงเฉินเดินไปอยู่ข้าง ๆ หยางหลิงชิงด้วยท่าทีสบายใจ เขามองนางที่กำลังจ้องกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึง และเอ่ยขึ้น
“ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าตัวเองหล่อเหลาเอาการแค่ไหน แต่เจ้าก็ไม่ต้องมองข้าขนาดนั้นหรอก เจ้าก็รู้ว่าพวกเราเป็นญาติกัน ดังนั้นอย่าเผลอตกหลุมรักข้าเชียวนะ”
ขณะพูด เขายิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ
ในเวลานี้ ไป๋จื้อซิงและไป๋ซื่อตงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น
คนหนึ่งมีเลือดไหลออกจากมุมปาก และอีกคนมีน้ำหยดลงมาจากเป้ากางเกง
ทั้งสองจ้องมองหลงเฉินอยู่อย่างนั้น ความเย่อหยิ่งและทัศนคติที่ครอบงำก่อนหน้านี้ของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว โดยเฉพาะไป๋ซื่อตง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็เกือบจะไปเยือนประตูนรก เขามองหลงเฉินราวกับกวางมองราชสีห์ และไม่แม้แต่จะจินตนาการว่าในตอนนี้ตนเองดูน่าสมเพชเพียงใด…
หลงเฉินยิ้มให้เขา เพราะเขารู้สึกขอบคุณที่ไป๋ซื่อตงนำหญ้าวิญญาณนิมิตมาด้วย สิ่งที่ไป๋ซื่อตงไม่รู้ก็คือหญ้าวิญญาณนิมิตของเขาอยู่ในมือของหลงเฉินเรียบร้อยแล้ว
“หวังว่าเจ้าจะไม่ฆ่าตัวตายเหมือนเจ้าหยางจ้านโง่เง่านั่นนะ...”
ในตอนนี้ คนอื่น ๆ มองหลงเฉินด้วยสายตางุนงง ทัศนคติที่พวกนั้นมีต่อเขาได้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ภายในใจนั้น พวกเขาตระหนักแล้วว่าหลงเฉินได้กลายเป็นยอดฝีมือในเมืองพฤกษาหมอกอย่างแท้จริง
ชายวัยกลางคนทั้งสองมีสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขามองหลงเฉินด้วยสายตาชื่นชมและเอ่ยขึ้น
“สามารถใช้ดัชนีสุดท้ายของวิชาปีศาจวายุเก้าดัชนีได้ด้วยระดับพลังเพียงเท่านี้ และยังปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างอิสระ ในเรื่องของทักษะการต่อสู้แล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้นับว่าเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ...”
“ในบรรดาคนหนุ่มสาวเมืองพฤกษาหมอก นอกจากสามคนที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดแล้ว เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอายุน้อยกว่าพวกนั้นถึง 4-5 ปี อนาคตของเด็กคนนี้ช่างเจิดจรัสจริง ๆ ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเขาเป็นเพียงเด็กไม่เอาไหน ไม่คิดเลยว่าเขาจะปิดบังตัวตนไว้ล้ำลึกขนาดนี้ มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา และยังรู้จักเก็บซ่อนมันไว้อีก...”
ชายวัยกลางคนทั้งสองรู้ว่าอนาคตของหลงเฉินจะยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาทั้งคู่หัวเราะอย่างขมขื่น และเอ่ยขึ้น
“หากเขามาที่ร้านของข้าในวันข้างหน้า ข้าจะลดราคาให้เขาถึงร้อยละสามสิบเลยล่ะ!”
หลงเฉินไม่รู้ว่าคนทั้งสองกำลังพูดถึงเขา เขาได้หญ้าวิญญาณนิมิตมาแล้วและต้องการออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เมื่อฝูงชนที่มุงดูยังไม่ได้สติอย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังพาหยางหลิงชิงกลับไป เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เจ้า... เจ้าจะจากไปทั้ง ๆ อย่างนั้นน่ะหรือ?”
หลงเฉินหันกลับไป ภายใต้การคุ้มครองของกลุ่มทหารยามประจำตระกูล ไป๋ซื่อจีเดินเข้ามา ดวงตาถมึงทึงของเขาจับจ้องมาที่หลงเฉิน พร้อมปลดปล่อยพลังปราณขั้นเจ็ดในร่างกายให้แผ่ออกมา
เขาหันไปมองสภาพอันน่าสมเพชของไป๋จื้อซิงและไป๋ซื่อตง ไป๋ซื่อจีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าคนไร้น้ำยา 2 คนนี้ทำให้ตระกูลไป๋ของข้าต้องเสียหน้า ทหาร ลากเจ้าขยะไร้ค่า 2 คนนี้ไปให้พ้น”
ทหารยามที่อยู่ด้านหลังขานรับในทันที ขณะที่ไป๋ซื่อตงและไป๋จื้อซิงก็ไม่กล้าอยู่ที่นั่นอีกต่อไป
หลังจากที่พา 2 คนนั้นออกไปแล้ว ไป๋ซื่อจีมองหลงเฉินและพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เป็นเพราะข้อห้ามของผู้นำตระกูลทั้งสอง จึงแทบไม่เคยมีเรื่องบาดหมางระหว่างลูกหลานในตระกูลของพวกเรา แต่ในวันนี้ เจ้าเริ่มมันขึ้นมาเอง ด้วยการทำร้ายและทำให้คนของตระกูลไป๋ต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล ในฐานะของคนตระกูลไป๋ ข้าคงปล่อยเจ้าไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าทำกับคนตระกูลไป๋ถึงเพียงนี้ จงเตรียมตัวชดใช้อย่างสาสม...”
ก่อนที่ไป๋ซื่อจีจะพูดจบ หลงเฉินก็หัวเราะลั่นและพูดแทรกขึ้นมา
“เจ้าพูดจาไร้สาระอะไรของเจ้าน่ะ? ข้าฟังไม่เข้าใจเลย ชดใช้อย่างสาสมอะไรกัน? คุณชาย รบกวนท่านช่วยพูดภาษาคนหน่อยได้หรือไม่?”
หลงเฉินเรียกเขาว่าคุณชายด้วยการเลียนแบบเสียงของหญิงคณิกา เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อยและเมื่อผนวกกับท่าทางของเขาที่ฟังคล้ายกับหญิงคณิกาแล้ว ผู้คนที่มุงดูต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในทันที
แม้แต่หยางหลิงชิงก็ลืมคำขู่ของไป๋ซื่อจีไปชั่วขณะ นางโกรธจนหน้าแดงก่ำ และหยิกแขนหลงเฉินอยู่หลายที
ใบหน้าของไป๋ซื่อจีบิดเบี้ยวเมื่อถูกหลงเฉินล้อเลียน ไม่ว่าเขาจะต้องการปกป้องภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงผู้สง่างามไว้มากเพียงใด เขาจึงทำได้เพียงแสดงสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็งออกมาเท่านั้น
“เจ้าทำร้ายไป๋จื้อซิงด้วยเพลงดัชนี ข้าก็จะขอคืนกลับไปให้เจ้า และให้เจ้าได้เห็นว่าเพลงดัชนีที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร...”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ซื่อจี หยางหลิงชิงตกใจอย่างมาก นางคว้าแขนหลงเฉินไว้ด้วยท่าทางกระวนกระวาย
“เขาจะใช้เพลงดัชนีสวรรค์ทมิฬ! มันเป็นทักษะการต่อสู้ขั้นสุดยอดในระดับอำพันขั้นสูง รีบหนีก่อนเถอะ ตกลงไหม?”
หลงเฉินมองไป๋ซื่อจีด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเอ่ยขึ้น
“เชิญเจ้าก่อนเลย ข้าจะสู้กับเขาสักพัก”
หยางหลิงชิงลนลานขึ้นมาทันทีและอ้อนวอนเขา
“พ... พี่เฉิน ข้ายอมเรียกท่านว่าพี่เฉินแล้วนะ ครั้งนี้ฟังข้าหน่อยเถอะ หากท่านสู้กับเขาทั้ง ๆ ที่ท่านยังเทียบเขาไม่ได้ อวัยวะภายในของท่านก็จะบาดเจ็บ มันจะเป็นความพ่ายแพ้ที่ใหญ่หลวงมากนะ...”
แม้ว่าหลิงชิงจะพูดด้วยท่าทีหวาดวิตก หลงเฉินก็ไม่ขยับเขยื้อน และจ้องมองไป๋ซื่อจีอยู่อย่างนั้น
‘ไป๋ซื่อจี... หากเจ้าไม่ใช่ลูกชายของไป๋จ้านสง ข้าก็คงจะหนีไปแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าเป็นลูกชายของเขา ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่หนีไปต่อหน้าต่อตาเจ้า!’
หยางหลิงชิงไม่รู้ถึงความตั้งใจลึก ๆ ของหลงเฉิน นางจึงรู้สึกกังวลจนแทบร้องไห้ออกมา
ในตอนนั้น หลิงซีที่อยู่ข้าง ๆ หลงเฉินก็เอ่ยขึ้น
“ข้าว่าเรารีบหนีก่อนเถอะ ตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก เมื่อข้าได้หญ้าวิญญาณนิมิตและช่วยเจ้าคลายผนึกแล้ว มันก็ไม่สายเกินไปที่จะสู้กับเขาในการแข่งขันล่าสัตว์อสูร”
หลงเฉินรู้ขีดจำกัดของตนเองดี แต่เท้าของเขากลับตรึงอยู่ตรงนั้น และไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้
เมื่อไป๋ซื่อจีเห็นว่าหลงเฉินไม่กลัวตาย เขาหัวเราะอย่างเย็นชา และเดินเข้ามาหาหลงเฉินทีละก้าว ๆ ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลงเฉินต่างขยับออกไปด้านข้าง มีเพียงหยางหลิงชิงที่อยู่เคียงข้างเขา
“เห็นได้ชัดว่าไป๋ซื่อจีกำลังโกรธ ก่อนหน้านี้เด็กนั่นเป็นจุดสนใจก็จริง แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเจอเข้ากับยอดฝีมือตัวจริง คงกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียแล้ว”
“เขาอ่อนกว่าไป๋ซื่อจีถึง 4 ปี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะเผชิญหน้ากับไป๋ซื่อจีในตอนนี้ แต่ถ้าให้เวลาเขาอีก 4 ปี ข้าพนันได้เลยว่า ไป๋ซื่อจีจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน”
เสียงถกเถียงกันดังขึ้นจากผู้คนโดยรอบ ทำให้ไป๋ซื่อจียิ่งเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม พลังปราณ ของขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดกดร่างของหลงเฉินไว้ คลื่นพลังรุนแรงถาโถมเข้าใส่เขา แต่เท้าของหลงเฉินก็ยังคงปักหลักแน่นอยู่บนพื้น เขาไม่ถอยหนีเลยแม้แต่ก้าวเดียว!
‘กะแล้วเชียว ขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดแข็งแกร่งกว่าขั้นหกอย่างน้อยก็สิบเท่า ไม่แปลกใจเลย เมื่อตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับหยางหยุนเทียน ข้าถึงได้ไม่มีกำลังพอจะต้านทานเขาได้สักนิด’
สำหรับไป๋ซื่อจี เมื่อเขาเห็นว่าหลงเฉินไม่ถอยไปเลยแม้แต่ครึ่งก้าว เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็เยาะเย้ยออกมา
“อยากจะยืนปักหลักไปจนตายรึอย่างไร? หากเจ้าคิดจะยอมเจ็บตัวกับเพลงดัชนีสวรรค์ทมิฬล่ะก็ เจ้าจะต้องเสียใจ...”
นิ้วชี้ของเขาปักลงและนิ้วที่เหลือกำหมัด ด้วยพลังปราณที่หลั่งไหล แสงสีดำเลือนรางค่อย ๆ รวมตัวกันที่นิ้วชี้ แม้จะบางเบา แต่พลังที่อยู่ภายในนั้นแข็งแกร่งกว่าดัชนีเก้าของหลงเฉินไม่ต่ำกว่าสิบเท่า!
“นี่... นี่มันเพลงดัชนีสวรรค์ทมิฬของตระกูลไป๋นี่? ใช่จริง ๆ ความสามารถในการเจาะทะลวงของกระบวนท่านี้น่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ว่ากันว่าเป็นพลังที่สามารถเจาะทะลวงฟ้าดินได้เลยทีเดียว...”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำตาของหยางหลิงชิงก็เริ่มรื้นขึ้นมา แต่ความดื้อรั้นของหลงเฉินนั้นเกินกว่าที่นางจะจินตนาการ แม้แต่หลิงซีก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้
ไป๋ซื่อจีและหลงเฉินมองหน้ากันด้วยสายตาเคร่งขรึม ไป๋ซื่อจียอมรับว่าเขารู้สึกชื่นชมหลงเฉินที่พัฒนาฝีมือมาได้จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหลงเฉินอยู่ในเงื้อมมือแล้ว เขาจะไม่มีทางปรานีอย่างแน่นอน
พลังระเบิดรวมตัวกันที่ดัชนีสวรรค์ทมิฬของไป๋ซื่อจี เขาชูนิ้วขึ้นและกำลังจะจู่โจม
สายตาของหลงเฉินจับจ้องอย่างมุ่งมั่น เขายังระดมพลังปราณในร่างกายเพื่อเตรียมตัวปล่อยผนึกมังกร การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกไป
แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาเข้าใจในผนึกมังกรอย่างสมบูรณ์ถ่องแท้ เขาจึงมีเวลาพอที่จะเรียนรู้วิชาปีศาจวายุเก้าดัชนี และเขายังมีความชำนาญในการใช้ผนึกมังกรมากกว่าที่ไป๋ซื่อจีใช้ดัชนีสวรรค์ทมิฬเสียอีก!
แต่หลงเฉินก็รู้ว่าความหวังที่จะชนะนั้นมีไม่มากนัก เพราะพลังปราณของเขาน้อยกว่าคู่ต่อสู้ราว 20 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น ข้อได้เปรียบของเขาก่อนหน้านี้คือเกราะดาราจรัสแสง ซึ่งไม่มีผลหากจะใช้ต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ด
สิ่งที่หลงเฉินปรารถนาจะพิสูจน์ด้วยการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นเพียงจิตวิญญาณที่ภาคภูมิและไม่ยอมแพ้ของเขาเท่านั้น
คลื่นพลังทั้งสองพรั่งพรูออกมาขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องอยู่กับการต่อสู้อันดุเดือด
พวกเขาทุกคนประหลาดใจอย่างยิ่งที่หลงเฉินกล้าเผชิญหน้ากับไป๋ซื่อจี
ชายวัยกลางคน 2 คนก่อนหน้านี้ต่างมองไปที่หลงเฉิน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น
“เจ้าสัมผัสได้หรือไม่? คลื่นพลังผนึกมังกรเบาบางปรากฏขึ้นบนร่างของเขา หากข้าดูไม่ผิด เจ้าเด็กคนนี้เริ่มฝึกวิชาผนึกมังกรแล้ว และอาจจะสำเร็จแล้วด้วยซ้ำ”
“ในการประชุมตระกูล เขาเพิ่งจะได้ผนึกมังกรมาเองนี่ เพียงแค่ขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหก เขาก็ทำสำเร็จแล้วงั้นรึ แม้ว่าเขาจะแพ้ ก็ถือว่าน่ายกย่องมากทีเดียว...”
“พวกเขาจะสู้กันแล้ว...”
ขณะเผชิญกับความกดดันจากไป๋ซื่อจี หลงเฉินก็กัดริมฝีปาก
‘ท่านพ่อ ใช่ว่าข้าจะบ้าระห่ำ แต่เป็นเพราะข้าควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลยต่างหาก…’
‘ข้าติดอยู่ตรงนี้ ข้า ... หลงเฉิน จะถอยไปสักก้าวได้อย่างไรกัน?’
ในตอนนั้นเอง เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ร้องดังขึ้น
“ซื่อจี ... เหตุใดเจ้าถึงสู้กับผู้อื่นกลางตลาดจอมยุทธ์เช่นนี้เล่า?”
******************************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm