ตอนที่ 18 ผนึกมังกร
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
ครึ่งเดือนที่แล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาเพิ่งบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นสาม ซึ่งเป็นการบรรลุ 2 ขั้นในคราเดียว ความสามารถเช่นนี้ไม่เคยปรากฏให้เห็นในเมืองพฤกษาหมอกมาก่อน และในกรณีนี้ หากผู้นำตระกูลหยางไม่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตของหลงเฉินไว้คงเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย
หลงเฉินเชื่อว่าสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นในวันนี้นั้นน่าตื่นตาตื่นใจมากพอ และอีกไม่นาน เขาก็จะกลายเป็นประเด็นที่ถูกเอ่ยถึงมากที่สุดในเมืองพฤกษาหมอก!
ทุกอย่างดูจะเป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายดายกว่าการบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นสี่เสียอีก สรรพคุณของโสมภูเขาปีศาจ 2 ต้นถูกดูดกลืนไปจนหมดแล้ว อีกไม่นาน เขาก็จะสามารถเชื่อมต่อชีพจรมังกรเส้นที่ 5 ได้สำเร็จ
บังเกิดเสียงมังกรคำรามที่ทำให้ยุทธภพสั่นสะเทือน!
ด้วยการบำรุงโดยสรรพคุณของโสมภูเขาปีศาจ อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่บนร่างกายของเขาค่อย ๆ ดีขึ้น หลงเฉินลุกขึ้นยืนในทันที ทุกคนตระหนักว่ามีคลื่นพลังแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา พร้อมดวงตาฉายแววแห่งความมีชีวิตชีวา หากต้องประมือกับหยางหลิงเยวี่ยอีกครั้ง ชัยชนะคงเป็นเรื่องง่าย!
‘เจ้าหมอนี่ ... เขากำลังเย้ยฟ้าท้าสวรรค์…’
เฉินหลิวที่เคยกลั่นแกล้งและทำให้หลงเฉินอับอาย เขาซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน ขาของเขาสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้
บรรดาผู้ที่เคยเยาะเย้ยและดูถูกหลงเฉินต่างกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นห้าแล้ว สีหน้าของผู้นำตระกูลหยางก็เย็นชาและเรียบเฉย แต่ในใจของเขานั้น เขารู้สึกปีติยินดีอย่างยิ่ง
ท่ามกลางฝูงชน หลงเฉินสังเกตเห็นว่าสายตาของหยางหลิงชิงนั้นเต็มไปด้วยความสับสน
หลงเฉินคิดว่าคงจบเรื่องแล้ว เขามองผู้นำตระกูลหยางและกำลังจะขอผนึกมังกร แต่ในเวลานั้น คนตระกูลไป๋หลายคนก็เดินขึ้นมาบนลานประลอง สายตาของพวกเขาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ผู้นำตระกูลหยางผงะไปชั่วครู่ก่อนจะร้องถาม
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
จิตสังหารในสายตาของไป๋จ้านสงนั้นเห็นได้ชัด เขาเดินออกมาข้างหน้าและพูดกับผู้นำตระกูลหยางด้วยความเคารพ
“ท่านลุงหยาง หลานของท่านมิได้มีเจตนาก่อกวนการประชุมของตระกูลหยาง แต่พวกเรามีเรื่องจะถามเขาสักหน่อย”
เมื่อพวกเขามองมาที่หลงเฉิน เขาก็รู้ในทันทีว่าสถานการณ์นี้ไม่เข้าท่าเสียแล้ว
‘ก่อนหน้านี้ที่หลิงซีเริ่มเคลื่อนไหว และกระบี่ถูกเผยให้เห็น เมื่อไป๋ซื่อซวินเคยเห็นกระบี่หลิงซีมาก่อน เขาก็ต้องมองออกเป็นธรรมดา ทั้ง 3 คนคงรู้แล้วว่าข้าเป็นคนทำให้ไป๋ซื่อซวินเป็นหมัน!’
ขณะนั้น ผู้นำตระกูลหยางก็พินิจพิจารณาอย่างละเอียด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
ไป๋จ้านสงมองหลงเฉินด้วยสายตาเย็นชา และเอ่ยขึ้น
“ทุกท่าน ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงรู้ถึงเรื่องเลวร้ายที่ลูกชายคนเล็กของข้าพบเจอเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน คนร้ายนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต และข้าเองก็รอที่จะสับเขาให้เป็นชิ้น ๆ แทบไม่ไหว!”
“ตามที่ซื่อซวินบอก ตอนที่เขากำลังไล่ตามกระบี่เหล็กสีดำ เขาบังเอิญเจอเข้ากับชายที่ปิดบังใบหน้าซึ่งฉกเอากระบี่เล่มนั้นไป และทำให้เกิดเรื่องที่ว่าขึ้น สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็คือ กระบี่ที่เคยช่วยเขาไว้เมื่อครู่ เหมือนกับกระบี่ที่ลูกชายของข้าอธิบายไว้ไม่มีผิด!”
“เจ้าหนุ่ม ชายที่อำพรางใบหน้าคือเจ้าเอง ใช่หรือไม่?”
“เขายังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่กลับโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ จิตใจทำด้วยอะไรกัน!”
คำถามของไป๋จ้านสงทำให้ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่หลงเฉิน
ทุกคนในเมืองพฤกษาหมอกรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับไป๋ซื่อซวินดี อย่างไรก็ตาม ตระกูลไป๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองพฤกษาหมอก พวกเขาส่วนมากจึงทำได้เพียงกระซิบกระซาบถึงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างรู้ดีว่าชีวิตของไป๋ซื่อซวิน เด็กชายสูงศักดิ์ผู้นี้ ได้ถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว
หลงเฉินคิดในใจ ‘...หากข้าถูกเปิดเผยตัว ข้าเกรงว่าผู้นำตระกูลคงไม่อยากมีเรื่องบาดหมางกับตระกูลไป๋ และอาจจะผิดหวังในตัวข้า แต่ในเมื่อพวกเขาไม่มีหลักฐาน ข้าก็จะไม่ยอมรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!’
ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนเล็กของท่านมาเกี่ยวอะไรกับข้าไม่ทราบ? และอีกอย่าง อาวุธในยุทธภพนี้ต่างก็มีรูปร่างคล้ายกัน ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่านี่คืออาวุธของลูกชายท่าน?”
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่ยอมรับ ไป๋จ้านสงโกรธมาก เขาเอ่ยขึ้น
“ยุทธภพนี้มีอาวุธมากมาย แต่กระบี่เหล็กที่ถูกทิ้งและมีความยาว 2 ฉื่อกับอีก 5 ชุ่น สีดำสนิท กว้าง 2 ชุ่น คงมีเพียงไม่กี่เล่ม เจ้ายังจะเถียงอีกรึ?”
หลงเฉินพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“ท่านเองก็เพิ่งจะเห็นกระบี่เล่มนี้ แน่นอนว่าท่านต้องสามารถอธิบายลักษณะของมันได้อยู่แล้ว ท่านเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองพฤกษาหมอก แต่กลับใส่ร้ายคนธรรมดาเช่นข้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาเถียงกันไม่หยุด ผู้นำตระกูลหยางจึงพูดขึ้น
“เฉินเอ๋อร์ เจ้ากล้ายืนยันกับข้าหรือไม่ว่าเจ้าไม่เคยทำอะไรแบบนั้น?”
หลงเฉินพยักหน้า
“ไม่เคยแน่นอน จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรกับลูกชายคนเล็กของเขา เขาถูกตัดแขนขาหรือจุดตันเถียนถูกทำลายอย่างนั้นหรือ?”
การโกหกต่อหน้าผู้นำตระกูลหยาง เขาจำต้องใช้ความกล้าอย่างมาก ผู้นำตระกูลหยางเป็นคนที่มากด้วยความสามารถ แม้ว่าไป๋จ้านสงจะก้าวมาข้างหน้า แต่ผู้นำตระกูลหยางก็ไม่ยินยอมที่จะสูญเสียของดีที่เพิ่งได้รับ หรืออนุญาตให้ตระกูลไป๋ทำตามใจตัวเอง เขาจึงได้ถามคำถามนี้ออกไป
หลงเฉินคาดเดาในสิ่งที่เขาคิด จึงทำให้เขากล้าที่จะโกหกต่อหน้าผู้นำตระกูล
หลังจากได้รับคำยืนยันจากหลงเฉิน ผู้นำตระกูลหยางจึงพูดกับไป๋จ้านสง
“สงเอ๋อร์ เราต้องสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน อยู่ ๆ จะด่วนสรุปไม่ได้ เจ้ากลับไปอธิบายกับพ่อของเจ้าด้วย พี่ไป๋กับข้าเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย พี่ไป๋ย่อมไว้ใจข้า และข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับเขาเอง ที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ของเมืองพฤกษาหมอกนั้นซับซ้อนอย่างมาก และไป๋จ้านสงเพิ่งจะตัดสินใจแต่งงาน ความสัมพันธ์นี้จึงทำให้ไป๋จ้านสงนิ่วหน้าและทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ
“ในเมื่อท่านลุงหยางว่าอย่างนั้น หลานก็จำต้องทำตาม ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ตระกูลหยางเริ่มสร้างตัว พ่อของข้าก็ได้ให้ความช่วยเหลือพวกท่านไม่น้อย และความสัมพันธ์ของท่านลุงหยางกับพ่อข้าก็เหมือนพี่น้อง”
ก่อนจากไป ไป๋จ้านสงเหลือบมองหลงเฉินด้วยสายตาเย็นชา
‘ตระกูลหยาง ... หึ ๆ เจ้าเด็กเวรนั่น วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่พวกเจ้าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน พวกเจ้าเหลือเวลาไม่มากนักหรอก ตระกูลเดียวที่จะกุมอำนาจอย่างแท้จริงในเมืองพฤกษาหมอกคือตระกูลไป๋ของพวกเราเท่านั้น!’
ไป๋จ้านสงเดินออกไปจากลานประลอง แต่ไป๋ซื่อจียังคงอยู่ที่นั่น เขายิ้มให้หลงเฉินอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะเอ่ยถามผู้นำตระกูลหยาง
“ท่านปู่หยาง ในการแข่งขันล่าสัตว์อสูร ข้าคิดว่าเขาก็น่าจะเข้าร่วมด้วย ใช่หรือไม่ขอรับ?”
สายตาของผู้นำตระกูลหยางจับจ้องไปที่เขาครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เขารู้ว่าเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ากำลังเตือนเขา หากหลงเฉินเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์อสูร ผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
จากนั้น ไป๋ซื่อจี ก็เดินไปหาหลงเฉินและเอ่ยวาจาเยาะเย้ย
“จะมีการแข่งขันล่าสัตว์อสูรในวันข้างหน้า เจ้าอย่าเข้าร่วมเลยดีกว่า มิเช่นนั้น ชีวิตของเจ้าคงจบสิ้นแน่”
คลื่นพลังของขอบเขตชีพจรขั้นเจ็ดในร่างของเขาแผ่ออกมาทันที
“จะขู่ให้ข้ากลัวสินะ ... หึ...”
ดวงตาของไป๋ซื่อจีเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม หลงเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา เขารู้ดีว่าคนผู้นี้คือคู่ต่อสู้คนต่อไปของเขา
หลังจากที่ตระกูลไป๋ออกจากลานประลองไปแล้ว คนอื่น ๆ ก็จากไปเช่นกัน การประชุมของตระกูลหยางดำเนินมาถึงตอนจบ
อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่พอควร
และท่าทีของผู้นำตระกูลหยางนั้นก็ยากที่จะคาดเดาได้
“ตามข้ามา”
หลงเฉินตามเขาไปเงียบ ๆ ส่วนคนอื่นทำได้เพียงมองพวกเขาจากไป หยางหลิงชิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
‘เรื่องใหญ่โตนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า เจ้าเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ…’
การกระทำของหลงเฉินในวันนี้เป็นเหมือนกับพายุที่โหมกระหน่ำ ข่าวนี้แพร่สะพัดไปแม้กระทั่งในหมู่สาวใช้และคนรับใช้ ผู้ที่เคยดูถูกเหยียดหยามเขาก่อนหน้านี้ต่างรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจ
ตลอดทาง สายตาของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลงเฉินหัวเราะ นี่แหละคือชีวิตที่เขาต้องการ
เมื่อมาถึงด้านหน้ากระท่อมเล็ก ๆ ของผู้นำตระกูลหยางซึ่งอยู่ข้างหอคัมภีร์ยุทธ์ ผู้นำตระกูลก็นั่งลงขัดสมาธิและมองหลงเฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ก่อนอื่น ข้าอยากถามคำถามเจ้าสักหน่อย ใช่เจ้าหรือไม่ที่ทำเรื่องเช่นนั้นกับลูกชายคนเล็กของไป๋จ้านสง?”
หลงเฉินพยักหน้า
ผู้นำตระกูลคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงพินิจพิจารณาหลงเฉินอย่างละเอียด หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถอนหายใจและเอ่ยขึ้น
“เจ้าวายร้าย เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยมีใจสู้เลยด้วยซ้ำ แต่ในวันนี้ฝีมือของเจ้าช่างน่าตกใจยิ่งนัก และยังคิดจะหยิบยืมพลังของข้ามาขัดขวางหยุนเทียนและไป๋จ้านสงอีก เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน ถึงกระนั้น เจ้าก็วางเดิมพันได้ถูกฝั่ง และรอดชีวิตมาได้ในที่สุด”
หลงเฉินไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่ความคิดของเขาจะถูกชายชราผู้นี้อ่านได้อย่างเฉียบขาด เขาเอ่ยขึ้น
“เพื่อรักษาชีวิตไว้ ข้าจึงจำเป็นต้องทำเช่นนั้น หวังว่าท่านตาคงไม่แค้นเคืองหลานชายผู้นี้”
เขารู้สึกชัดเจนในหัวใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ กับชายชราผู้นี้ แต่อีกฝ่ายเป็นถึงยอดฝีมืออันดึงหนึ่งของตระกูลหยาง และด้วยกฎของตระกูลหยาง จึงไม่มีใครล่วงเกินเขาได้
ผู้นำตระกูลหยางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“หากเป็นนิสัยของข้าเมื่อก่อน เจ้าใช้ข้าเป็นเครื่องมือเช่นนี้ ข้าคงไม่ยอมให้ชีวิตเจ้าเป็นสุขแน่ แต่ตอนนี้ มีปัญหาที่ยุ่งยากยิ่งกว่า หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะทำให้เจ้าไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอีกเลย เจ้าควรรู้ไว้ด้วย ว่ามีคนในเมืองพฤกษาหมอกไม่กี่คนหรอกนะ ที่กล้าใช้ประโยชน์จากข้า”
“ข้าอยากรู้ว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?”
“30 ปีก่อน เมืองพฤกษาหมอกยังไร้ซึ่งตระกูลหยาง และมีเพียงตระกูลไป๋ ในเวลานั้น ข้าเป็นเพียงจอมยุทธที่มากฝีมือ ข้าจึงไปพบผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลไป๋ และพวกเราได้ออกผจญภัยและท่องยุทธจักรด้วยกันจนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราก็กลับมายังเมืองพฤกษาหมอก และเมื่อข้าก่อตั้งตระกูลหยางขึ้น ก็มีลูกหลานถือกำเนิดขึ้นมากมาย”
“แม้กระทั่งตอนนี้ ความสัมพันธ์ของข้ากับพี่ไป๋ก็ยังคงแน่นแฟ้น การแต่งงานระหว่างชิงเอ๋อร์และสงเอ๋อร์เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของพวกเรา อย่างไรก็ตาม ข้ามีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง”
หลงเฉินรีบร้องถาม
“มันคือสิ่งใดกัน? หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับการแข่งขันล่าสัตว์อสูร?”
ผู้นำตระกูลหยางพยักหน้า และเอ่ยขึ้น
“ตระกูลไป๋และตระกูลหยางมีความสนิทชิดเชื้อต่อกัน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อต่อกรกับคนภายนอกเสมอ อย่างไรก็ตาม ราว 10 วันก่อน เมื่อข่าวลือแพร่กระจาย ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป และเจ้า... เจ้าเป็นคนลงมือทำร้ายลูกชายคนเล็กของไป๋จ้านสง ทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีกขั้น หากข้าไม่ปกป้องเจ้าก็คงไม่เป็นไร แต่ในเมื่อตอนนี้ข้าออกหน้าปกป้องเจ้า ความสัมพันธ์ของพวกเราจึงแย่ลงกว่าเดิม ข้าเกรงว่าการแต่งงานของชิงเอ๋อร์อาจจะไม่เกิดขึ้นในท้ายที่สุด”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ ผู้นำตระกูลหยางก็ขมวดคิ้วแน่น
การแต่งงานครั้งนี้ถูกจัดแจงโดยตาแก่ผู้นี้เอง หลงเฉินสาปแช่งเขาในใจนับร้อยครั้ง เขาไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลหยางและตระกูลไป๋มาก่อน แต่เมื่อได้ยินในสิ่งที่ผู้นำตระกูลเล่า เขาจึงคิดว่าสายสัมพันธ์นี้เป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว
‘การแต่งงานอาจจะไม่เกิดขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ? ยอดไปเลย แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องเปลืองแรง ทำไมข้าถึงไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ตระกูลย่ำแย่ลงไปอีก? แต่เกรงว่าตาแก่คนนี้อาจจะฆ่าข้าเสียก่อน…’
หลงเฉินเม้มปาก และเอ่ยขึ้น
“ท่านตา การแข่งขันล่าสัตว์อสูรที่ท่านพูดถึงคืออะไรกันแน่?”
ผู้นำตระกูลหยางมองหลงเฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เมืองพฤกษาหมอกของเราอยู่ภายใต้การปกครองของนครหยวนหลิง เมื่อ 10 วันที่ผ่านมา ทางการได้ออกคำสั่งให้เหล่าคนรุ่นเยาว์ในเมืองพฤกษาหมอกไปยังภูเขาเดียวดาย เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์อสูร ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของทั้ง 2 ตระกูล ฝ่ายใดครอบครองผลึกอสูรได้มากที่สุด จะได้รับสิทธิ์ในการปกครองเมืองพฤกษาหมอกเป็นเวลา 20 ปี สำหรับคำสั่งหลังจากช่วงเวลา 20 ปีนี้ไป ก็จะพิจารณาจากการแข่งขันล่าสัตว์อสูรที่ซึ่งคนหนุ่มสาวรุ่นต่อไปของทั้ง 2 ตระกูลจะแข่งขันกันอีกครั้ง”
“เป็นเวลานานมากแล้วที่เมืองพฤกษาหมอกเป็นเขตที่ไร้ซึ่งผู้ปกครอง เมืองอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงต่างเริ่มมีผู้ดูแล และในตอนนี้ ก็ถึงคราวของเมืองพฤกษาหมอก อำนาจในการปกครองเมืองเป็นเวลา 20 ปีนั้นมีความสำคัญสำหรับทุกตระกูล แม้ว่าพี่ไป๋กับข้าจะเป็นเหมือนพี่น้อง แต่ครั้งนี้ข้าคงไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้”
ผู้นำตระกูลถอนหายใจ
“การแข่งขันล่าสัตว์อสูรจะจัดขึ้นในตอนบ่ายของวันที่ 10 เดือน 8 และงานแต่งงานของชิงเอ๋อร์ก็จัดขึ้นในคืนของวันเดียวกัน ดังนั้น ข้าจึงเกรงว่าเหล่าลูกหลานของพวกเราคงไม่มีเวลามาร่วมงาน ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างการแข่งขันล่าสัตว์อสูร เมืองหยวนหลิงจะส่งคนมาควบคุมดูแล พวกเราจะไม่สามารถเข้าใกล้ภูเขาเดียวดายได้เลย”
หลังจากที่ฟังมาโดยตลอด หลงเฉินจึงรู้ว่าเขาต้องทำอะไร
“สิ่งที่ท่านตาต้องการให้ข้าทำ คือร่วมมือกับเหล่าลูกหลานตระกูลหยางและครอบครองผลึกอสูรให้ได้มากที่สุดใช่หรือไม่?”
ผู้นำตระกูลหยางพยักหน้า และเอ่ยขึ้น
“ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลไป๋ ทั้งไป๋ซื่อเฉิน และไป๋ซื่อจี ต่างบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดแล้วทั้งคู่ และยังมีอีก 2 คนที่บรรลุขั้นหก แต่ตระกูลหยางมีเพียงหยางหลิงเยวี่ย และหยางอู่ ที่สามารถรับมือกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้ ฝีมือของเจ้าในวันนี้นับว่าไม่เลว หลังจากใช้เวลา 3 วันฝึกเพลงหมัดดาวตก เจ้าก็สามารถใช้มันได้อย่างยอดเยี่ยม ในการแข่งขันล่าสัตว์อสูร ตระกูลหยางของพวกเราคงพอมีความหวังอยู่บ้าง หากมีเจ้าอยู่”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องระวังเหล่าลูกหลานของตระกูลไป๋ไว้ให้ดี เมื่อเจ้าเข้าไปในภูเขาเดียวดาย เจ้าสามารถออกล่าสัตว์อสูรด้วยตัวคนเดียว แต่ต้องไม่เจอกับคนของตระกูลไป๋เด็ดขาด มิเช่นนั้น ผลึกอสูรที่เจ้าได้มาจะถูกตระกูลไป๋แย่งชิงไป”
ผู้นำตระกูลเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
หลงเฉินพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายของผู้นำตระกูลดีว่าต้องการให้เขาไปคนเดียว และทำราวกับเขาเป็นม้ามืดของตระกูลหยาง รวมทั้งเป็นความหวังของตระกูลหยางอีกด้วย
แต่มันจะเป็นอย่างที่ผู้นำตระกูลหยางคิดไว้หรือไม่? หลงเฉินจะสามารถหลีกเลี่ยงไป๋ซื่อจีได้จริงหรือ?
หลงเฉินพยักหน้าและเอ่ยขึ้น
“หลานจะรับฟังคำชี้แนะของท่านตา”
ผู้นำตระกูลหยางหัวเราะ
“เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลหยาง ดังนั้น ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเป็นธรรม สำหรับหยุนเทียนแล้ว ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง เจ้าควรฝึกฝนอย่างหนักในวันข้างหน้านี้ และพยายามบรรลุขั้นต่อไปให้ได้ภายใน 14 วัน”
จากนั้น เขาก็รับผนึกมังกรที่เขาปรารถนามาจากมือของผู้นำตระกูลหยาง
เมื่อเห็นคำ 2 คำที่จารึกเอาไว้ราวกับมังกรและวิหคเพลิงที่กำลังร่ายรำ หลงเฉินรู้ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
‘ด้วยผนึกมังกรนี้ ความแข็งแกร่งของข้าจะพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อยังบอกเอาไว้ว่าความลับของผนึกมังกรนั้นไม่ธรรมดา ข้าอยากจะรู้ว่ามันซ่อนความลับอะไรไว้ และนักรบมังกรคืออะไรกันแน่!’
ในตอนนี้ ผู้นำตระกูลหยางนำถุงอีกใบออกมาและเอ่ยขึ้น
“นี่คือหยกวิญญาณ 500 ชิ้น รับไปสิ อย่างไรเสีย ในการฝึกฝน เจ้าจะต้องไม่รีบเร่งเพราะความละโมบ เจ้าเพิ่งจะบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นห้า ดังนั้น เจ้าควรจะทำความคุ้นเคยกับผนึกมังกรเสียก่อนที่จะทำอะไรอย่างอื่น ตอนนี้เจ้ากลับไปพักได้แล้ว”
หลงเฉินจึงจากไป
“ในเวลาครึ่งเดือน การแข่งขันล่าสัตว์อสูรและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้น ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ทับซ้อนกัน ข้าควรจะทำอย่างไรดี? ช่างมันเถอะ ฝึกวิชาผนึกมังกรให้ได้ก่อน แล้วมาดูกันว่าตัวข้าจะแข็งแกร่งได้สักแค่ไหน!”
*****************************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm