ตอนที่ 18 ต่อให้อยากทำแบบนั้นแต่ก็ต้องควบคุมตัวเองหน่อยนะ
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
“แค่กๆ แหม..จุ๊บกันเหรอเนี่ย คนหนุ่มสาวเนี่ยน้า...” คุณย่าเอ่ยปากแซวแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าแต่ยังคงเห็นสายตาวิบวับที่จ้องมองลอดนิ้วมือได้ชัดเจน คนแก่หัวเราะคิกคักก่อนจะเอ่ยปากเรียกหลานชาย “เฉิงเซียวออกมาข้างนอกหน่อยสิ ย่ามีเรื่องจะพูดด้วย”
หลินเฉียนรู้สึกโกรธไม่น้อยที่ถูกอีกฝ่ายล่วงเกิน การกระทำของเขาเกิดขึ้นโดยที่เธอไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด แต่ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้เธอไม่สามารถตำหนิหรือตอบโต้อะไรเขาได้จึงมีแต่อาการฉุนเฉียวเล็กน้อยแสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น เมื่อวานเธอถูกเขาขโมยจูบไปทีนึงโดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ วันนี้ก็ยังจะต้องเจอเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมแถมยังตอบโต้ไม่ได้เลยแบบนี้อีก ‘โอ๊ยทำไมเธอถึงได้ซวยนักนะ หึ้ย!! หงุดหงิดจริงๆเลยโว้ย!’
“ครับคุณย่า” กู้เฉิงเซียวส่งเสียงตอบคุณย่าของเขา ก่อนจะหันมามองจ้องใบหน้าเล็กๆของหลินเฉี่ยน สาวน้อยถูกดวงตาคมสะกดให้มองสบด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ สายตาของเขาคมเข้มและดุดัน แววตาของเขาดูลึกซึ้งจนยากที่จะหยั่งถึง มันซับซ้อนและเต็มไปด้วยความหมายที่คลุมเครือ แต่สิ่งหนึ่งที่หลินเฉี่ยนรับรู้ได้ชัดเจนคือในแววตานั้นกำลังส่งสัญญาณเตือน! “อย่าใช้ความเอ็นดูของย่าฉันเล่นอะไรไร้สาระแบบนั้นอีกนะ” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงแล้วใช้ริมฝีปากหนากดจูบเบาๆลงบนริมฝีปากบางของเธออีกครั้งอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินออกไป ครั้งนี้ริมฝีปากของคนตัวโตให้ความรู้สึกเหมือนแมลงปอที่โฉบลงมาสัมผัสริมฝีปากสาวน้อย
“ขี้โกงนี่ ไอ้คนไม่มีสัจจะ!” หลินเฉี่ยนตะโกนด่า
กู้เฉิงเซียวที่ลุกขึ้นแล้วหันขวับมาหาสาวน้อยในทันทีก่อนจะยื่นมือออกมาจับแก้มนุ่มแล้วบีบเบาๆ
“.......” สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลินเฉี่ยนใจเต้นแรงขึ้นมา ตอนนี้สมองของเธอรับรู้ได้ถึงความโกรธ ความโกรธที่มันทำให้เธอใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม ทุกอย่างเกิดขึี้นอย่างปุปปับ ตอนนี้ในอกของหลินเฉียนเหมือนมีกลองใบใหญ่ตีระรัวอยู่ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกโกรธที่สมองของเธอรับรู้ได้ก่อนหน้านี้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกคลุมเครือที่ครอบงำทั้งสมองและปกคลุมไปทั้งหัวใจ
ผู้ชายหล่อบาดใจขนาดนี้ สิ่งที่เขาทำไปเมื่อกี้แน่นอนว่ามันทรงเสน่ห์จนยากจะต้านทาน ทุกอย่างที่เขาทำราวกับเป็นฉากของหนังรักที่สามารถกระชากใจได้ในทุกๆเฟลมและทำให้ผู้ชมไม่สามารถละสายตาจากหน้าจอได้เลย
“เธอเองก็คงจะได้ยินแล้วนะว่าย่าพูดอะไรกับพ่อแม่ฉัน ถ้าอยากอยู่ตระกูลกู้อย่างสงบสุขเธอก็ต้องทำตัวดีๆกับย่าฉันไว้ให้มากๆล่ะ”
คำพูดประโยคนั้นของกู้เฉิงเซียวเรียกสติของหลินเฉี่ยนให้กลับมาได้ในทันที คนตัวเล็กจึงสวนกลับอย่างรวดเร็ว “นายไม่บอก ฉันก็รู้ว่าต้องทำยังไง”
คุณย่าที่เห็นว่าหลานชายตัวเองยังไม่ออกมาก็รีบส่งเสียงเร่ง “พอก่อนเถอะ มัวแต่ร่ำลากันอยู่นั่นแหละ ฉันขอเวลาแค่สามนาทีเอง คุยเสร็จจะไปกันต่อก็ยังมีเวลาถมเถ”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” เฉิงเซียวตะโกนตอบกลับคุณย่า ทว่าสายตายังคงจับจ้องที่หลินเฉี่ยนก่อนจะพูดเสียงเรียบ “รู้ก็ดีแล้ว”
หลินเฉี่ยนเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรอีก เป็นเพราะอีกฝ่ายสูงเกินไปจึงทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ถึงแม้ว่ายังอยากจะเถียงเขามากแค่ไหนแต่ก็ต้องข่มจิตใจเอาไว้ก่อน
เพราะยังไงเธอก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ในตอนนี้กู้เฉิงเซียวเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเธอ มีแค่เขาเท่านั้นที่สามารถให้ที่อยู่ที่กินรวมทั้งของใช้และเสื้อผ้ากับเธอได้
คุณย่าส่งยิ้มให้หลินเฉี่ยนจากหน้าประตู เธอมองดูเด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านในชั่วครู่ก่อนที่จะลากตัวหลานชายออกไป
“ย่ารู้ว่าพวกเธอกำลังเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามัน แถมยังหนุ่มยังสาวด้วยกันทั้งคู่ แต่ช่วงท้องอ่อนๆแบบนี้มันอันตรายมากนะ จะทำอะไรต้องระวังให้ดี ยิ่งเดือนแรกด้วยยิ่งน่ากลัว เพราะฉะนั้นหลานน่ะต้องควบคุมตัวเองหน่อย เข้าใจที่ย่าพูดไหม?”
หลังจากประโยคสั่งสอนจบลง กู้เฉิงเซียวก็เข้าใจทันทีว่าย่าของเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่สถานการณ์แบบนี้ทำให้เขากระอักกระอ่วนไม่น้อย ความรู้สึกแปลกพิกลรบกวนใจเขากับการที่ต้องถูกอบรมสั่งสอน ‘เรื่องพรรค์นี้’ โดยบรรพบุรุษของตัวเอง แต่เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรคนร่างสูงจึงได้แต่ตอบกลับไปเสียงเรียบนิ่ง “ครับ ผมรู้แล้ว”
“กู้เฉิงเซียว! อย่ามาทำเป็นตอบส่งๆกับย่าแบบนี้นะ! อย่าคิดนะว่าเมื่อกี้ย่าไม่เห็นว่าหลานกำลังกอดจูบแม่หนูหลินเฉี่ยนในห้องน่ะ อะไรกันแค่เข้าไปในห้องแป๊บเดียวก็อดใจไม่ไหวแล้วเหรอ? คนหนุ่มนี่จริงๆเลย”
กู้เฉิงเซียวนิ่งอึ้ง “……”
“นี่อาเฉิง ย่าขอร้องล่ะ ช่วยเพลาๆเรื่องอย่างว่านั่นลงก่อนเถอะนะ รอให้หลานของย่าออกมาลืมตาดูโลกซะก่อน หลังจากนั้นพวกเธอจะทำอะไรกันก็ตามสบายเลย ย่าไม่ห้าม”
กู้เฉิงเซียวนิ่งเงียบมากขึ้นอีก “……”
“แล้วอีกเรื่องที่ย่าอยากจะขอร้อง...ที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก เป็นแค่ความหวังเล็กๆน้อยๆของคนแก่ที่อยากจะขอร้องลูกหลานน่ะ คือแบบว่า...ในสามปีนี้ย่าขอแค่สองคนก็พอ....ตกลงนะ?”
กู้เฉิงเซียวได้แต่นิ่งและอึ้งมากกว่าเดิม “……”
“แหมๆ ไม่ต้องอายไปหรอกหน่า ย่าเห็นเรามาตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้ แค่ขยับก้นย่าก็รู้แล้วว่าหลานกำลังคิดอะไรอยู่”
กู้เฉิงเซียวยืดตัวตรงขึ้นมา “ผมยังไม่ขยับก้นซะหน่อย”
คนเป็นย่าแสร้งทำเป็นโมโห “เอาเป็นว่าย่าขอร้องก็แล้วกัน ขอแค่นี้แหละ จำให้ดีๆอย่าทำเป็นหูทวนลม ย่าให้เวลาสามปีกับหลานสองคน จบนะ!”
“คุณย่าครับ ผม......” คนเป็นหลานพยายามโต้แย้ง
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตอนนี้ย่าพูดจบแล้ว เอาเป็นว่าหลานจำที่ย่าพูดแล้วปฏิบัติตามซะ เอาล่ะเข้าไปอยู่กับเมียเธอได้แล้ว ย่าจะดูทีวีต่อแล้ว” คนแก่พูดรวบรัดตัดบทก่อนจะเลิกสนใจหลานชายแล้วหันไปจับจ้องจอทีวีอย่างมีความสุข
กู้เฉิงเซียวได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้เขาจะแย้งหรืออธิบายอะไรคนเป็นย่าก็คงไม่ใส่ใจฟังแล้ว “ดึกป่านนี้ ทำไมคุณย่ายังไม่เข้านอนอีกครับเนี่ย?”
“มีแต่คนแก่เท่านั้นแหละที่นอนเร็ว ฉันยังเป็นวัยรุ่นอยู่จะนอนตอนไหนก็ได้”
กู้เฉิงเซียวหมดคำพูดอีกครั้ง “……”
“รีบเข้าไปได้แล้ว ดูแลเสี่ยวเฉี่ยนให้ดีล่ะ เด็กคนนี้อยู่ด้วยแล้วสนุกดี ย่าชอบ”
กู้เฉิงเซียวก็ถูกย่าแท้ๆไล่กลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง หลังจากเข้าห้องได้ไม่นานคุณย่าก็จัดแจงเรียกตัวเขาออกจากห้องไปเพื่อบอกความต้องการของตัวเอง ที่เป็นคำขอร้องแกมบังคับเขา คำขอที่ทำเอาสมองของเขาตีบตันไปชั่วขณะ และตอนนี้เขาก็เพิ่งถูกไล่กลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งซึ่งกู้เฉิงเซียวเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาเข้าใจคำพูดของคุณย่าอย่างชัดเจนแล้ว
เขายอมรับว่าเมื่อมาถึงตรงนี้ เขาไม่สามารถเรียบเรียงหรืออธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ออกมาได้แล้ว
กู้เฉิงเซียวกำลังอยู่ในภาวะสับสน เขามองเห็นภรรยาสาวของตัวเองกำลังนั่งโง่ๆ อยู่บนโซฟาตัวเดิม เธอถอดรองเท้าสลิปเปอร์ออกและยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบบนโซฟา เป็นท่านั่งที่ดูสบายๆเป็นอย่างยิ่ง ต่างหูรูปหัวกะโหลกบนใบหูเล็กๆนั่นส่องประกายวิบวับขัดตากู้เฉินเซียว ตอนนี้คนตัวเล็กตรงหน้าดูเหมือนนักเลงหัวไม้ที่น่าจับมาสั่งสอนไม่มีผิด
ภาพคนตรงหน้านี้ทำให้กู้เฉิงเซียวเกิดความรู้สึกขุ่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ เธอนินทาเขาลับหลัง ใส่ร้ายเขาเสียๆหายๆ ล่าสุดเธอยังทำให้เขาต้องถูกย่าของตัวเองตำหนิ กู้เฉิงเซียวจ้องมองหลินเฉี่ยนไม่วางตา เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็พบว่าตนเองรู้สึกโกรธผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ
“ย่านายว่าไงบ้าง?” หลินเฉี่ยนไม่ได้สังเกตเห็นบรรยากาศน่าหวาดกลัวและเปลวไฟที่กำลังลุกโชนในดวงตาของอีกฝ่าย เลย เธอยังถามเขาเสียงดังด้วยท่าทีสนอกสนใจ “คงไม่ใช่ว่ากลัวนายจะทำอะไรไม่ดีกับ ‘เด็กในท้อง’ หรอกนะ?”
พูดจบหลินเฉี่ยนก็ยืดตัวขึ้นก่อนทำท่าใช้มือลูบท้องตัวเองป้อยๆพลางส่งยิ้มให้ผู้ชายตัวโตตรงหน้าพร้อมกับยักคิ้วข้างหนึ่ง เธอใช้สายตากวนๆจ้องมองกู้เฉิงเซียวอย่างท้าทาย ท่าทางของสาวน้อยดูซุกซนปนกวนอารมณ์และน้ำเสียงเมื่อครู่ของเธอก็ฟังดูขบขันเป็นอย่างมาก
แม้ว่าทักษะในการเอาใจสาวๆ หรือความสามารถที่จะทำให้สาวๆพึงพอใจของกู้เฉิงเซียวจะมีไม่มากเท่าไหร่นักแต่ทักษะในการปกครองคนอื่นคือจุดเด่นของเขา โดยเฉพาะความสามารถในการ ‘บังคับบัญชา’ เขาจ้องมองยัยเด็กจอมโกหกที่กำลังนั่งเอกเขนกสบายใจแถมยังแสดงสีหน้าและพูดจากวนโมโหเช่นนั้นออกมาอีก อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินหน้าตรงเข้าไปหาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา สายตาคู่คมยังคงจ้องเขม็งอยู่ที่คนร่างเล็ก ทันทีที่เข้าถึงตัวเขาก็ยกเธอขึ้นมาในอากาศ
“เห้ย นายจะทำไรเนี่ย?!” หลินเฉี่ยนร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ถ้าเธออยากจะเสียแบล็คอัพดี ๆ อย่าคุณย่าฉันไป ก็ลองตะโกนดูสิ”
“…….” สาวน้อยรีบเงียบเสียงลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระซิบด่าออกมาแทน “ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต กล้าขู่ฉันเหรอ? ฉันคิดไว้แล้วว่านายมันต้องเป็นคนแบบนี้ สิ่งที่นายแสดงออกมาเมื่อวานก็แค่เสแสร้งจริงๆสินะ!”
กู้เฉิงเซียวหรี่ตามองหญิงสาวแล้วพูดเสียงเข้ม “ดี งั้นฉันจะทำตัวให้เป็นไอ้โรคจิตอย่างที่เธอว่าให้ก็แล้วกัน!”
ทันทีที่พูดจบ คนตัวโตก็แบกร่างเล็กๆขึ้นก่อนจะพาไปที่เตียงใหญ่ หลินเฉี่ยนใช้มือทั้งสองข้างระดมทุบแผ่นหลังของเขาถี่รัว พลางร่างเล็กๆก็ดิ้นอย่างบ้าคลั่งหวังจะสะบัดตัวเองให้หลุดจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายให้ได้ เธอเองก็เป็นนักสู้ชั้นดี ล้มคู่ต่อสู้เก้าคนด้วยตัวเธอเองคนเดียวก็ทำมาแล้วอย่างไม่เกรงกลัว ทว่าการเผชิญหน้ากับกู้เฉิงเซียวในครั้งนี้กลับเป็นอะไรที่ผิดคาด เมื่อหลินเฉี่ยนค้นพบว่าตัวเธอเองไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยสักนิด
การที่เขาคลุกคลีกับเหล่าทหารและได้รับการฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารมาเป็นเวลานานทำให้กู้เฉิงเซียวมีนิสัยที่แข็งทื่อราวกับหินอีกทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแรงเกินกว่าคนปกติ ถึงแม้ว่าหากดูรูปลักษณ์จากภายนอกในชุดสบายๆแล้วเขาจะดูผอมเพรียวกว่าผู้ชายสูงใหญ่ทั่วไปเล็กน้อย แต่ร่างกายของเขากำยำอย่างมาก ภายใต้เสื้อผ้านั้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแน่นๆที่ผ่านการฝึกให้พร้อมใช้งานมาเป็นอย่างดี หลินเฉี่ยนที่ตัวเล็กกว่าและมีพละกำลังเพียงแค่นั้นจึงกลายเป็นเหมือนลูกแมวน้อยตัวเล็กๆที่กำลังดิ้นขลุกขลักเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา
“กู้เฉิงเซียว นี่นายจะทำอะไรฉัน?”
“ก็เธอด่าฉันว่าไอ้โรคจิตไม่ใช่เหรอ? ฉันก็จะทำตัวเป็นโรคจิตให้สมใจเธอไง”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรอีก กู้เฉิงเซียวก็โยนร่างของหญิงสาวลงบนเตียงกว้างทันที
หลินเฉี่ยนเองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองได้อย่างว่องไว ทันทีที่ร่างสัมผัสกับเตียงเธอก็พลิกตัวและพยายามจะลุกขึ้น ทว่ากู้เฉิงเซียวกลับมีการรับรู้และปฏิกิริยาตอบกลับที่ไวกว่า ก่อนที่หลินเฉี่ยนจะยันดตัวลุกขึ้นได้ เขาก็โถมตัวเองกดทับร่างของเธอไว้แล้ว
“คุณชายกู้ ฉันว่านายเข้าใจความหมายของคำว่า ‘โรคจิต’ ผิดไปนะ บางทีนายอาจจะกำลังเข้าใจผิดแบบมหันต์อยู่ก็ได้ คนโรคจิตเขาไม่ทำกับผู้หญิงแบบนี้หรอก โรคจิตสมัยนี้เขาเป็นสุภาพบุรุษกันแล้ว พวกเขาให้เกียรติผู้หญิง” เมื่อเห็นว่ากำลังตกเป็นรองหลินเฉี่ยนจึงเริ่มใช้วาจาประนีประนอม
“เหรอ?”
“เอ่อ...อีกอย่างที่ฉันพูดคำว่าโรคจิตออกไปเมื่อกี้ เอ่อ..มันก็เป็นแค่คำสบถเท่านั้นเอง นายอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังถึงขนาดนั้นสิ” เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกรังแก หลินเฉี่ยนจึงใช้สติปัญญาอันฉับไวและทักษะทางการแถของเธอพูดเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำของเขา ตอนนี้เมื่อไม่สามารถต่อสู้ด้วยพลังทางร่างกายได้ก็ต้องใช้สติปัญญาและอำนาจการเจรจาเข้าช่วยแล้ว
“นายไม่คิดเหรอว่าที่ฉันด่านายความหมายมันก็คล้ายๆ กับฉันพูดกับเพื่อนว่า ‘โอ๊ยเกลียดว่ะ’ นั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ คือ อันที่จริงมันเป็นคำพูดที่ใช้สำหรับคนที่สนิทกันมากๆแล้วอ่านะ...นายไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”
กู้เฉิงเซียวรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่คำพูดเพื่อเอาตัวรอดของสาวน้อยตรงหน้าเท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า นอกจากจะกวนโมโหเก่งแล้วอีกฝ่ายยังช่างเจรจามากเสียด้วย
เขากดใบหน้าหล่อเหลาลงต่ำ จนมันเข้าใกล้ใบหน้านวลของคนใต้ร่างมากขึ้นเรื่อยๆ “เหรอ? งั้นความหมายของเธอก็คือ...ตอนนี้พวกเราค่อนข้างจะสนิทกันมากแล้วสินะ?”
.
.
.
.
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm