ตอนที่ 15 การประชุมตระกูล
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
วันที่ 25 เดือน 7 การประชุมตระกูล ณ เมืองพฤกษาหมอก เหล่าคนสำคัญมากมายในเมืองพฤกษาหมอกได้รับเชิญให้เข้าร่วมชมการแข่งขันครั้งนี้ด้วย
ในช่วงบ่าย แขกทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว กิจกรรมสำคัญลำดับต่อไปคือการแข่งขันของลูกหลานตระกูลหยาง ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถในการฝึกฝนของเด็ก ๆ เหล่านี้ต่อหน้าสาธารณชน และยังเป็นโอกาสให้ทั้ง 2 ตระกูลใหญ่ในเมืองพฤกษาหมอกได้แสดงถึงพลังในด้านต่าง ๆ
บนแท่นสูงเบื้องหน้าสนามประลอง เป็นที่นั่งของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลหยาง ตระกูลหยางเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจตระกูลใหม่ในเมืองแห่งนี้ จึงยังมีสมาชิกไม่มากนัก ท่ามกลางคนเหล่านั้น มีชายชราผู้หนึ่ง เขามีผมสีขาว ร่างกายแข็งแรงกำยำ สูงโปร่ง และมีดวงตาที่ดุดัน เขาคือผู้นำตระกูลหยาง
ส่วนสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลหยาง เช่น หยางซิงเสวียน หยางเสวี่ยชิง และคนอื่น ๆ นั่งถัดไปจากผู้นำตระกูล
ผู้นำตระกูลไป๋ไม่ได้มาที่นี่ด้วย ผู้ที่มาคือบุตรชายคนที่ 3 ของตระกูลไป๋ ไป๋จ้านสง พร้อมกับบุตรชายของเขา นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมืออายุน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋จ้านสง ซึ่งก็คือผู้ที่คอยตามเกี้ยวพาราสีหยางหลิงเยวี่ย ---ไป๋ซื่อจี พี่ชายของไป๋ซื่อซวิน บุตรชายคนคนโตของไป๋จ้านสง ซึ่งความแข็งแกร่งของเขานั้น... เหนือกว่าคนรุ่นเยาว์ทุกคนในเมืองพฤกษาหมอก
ตระกูลอื่น ๆ ในเมืองพฤกษาหมอกนั่งกระจัดกระจายกันออกไป ส่วนสมาชิกทั่ว ๆ ไปในตระกูลหยางก็ไม่มีที่นั่งบนแท่นสูง พวกเขาต้องมุงดูจากด้านนอกลานประลอง
ในตอนนี้ ผู้นำตระกูลหยางกำลังหัวเราะร่วนอยู่กับไป๋จ้านสง และเอ่ยขึ้น
“น้องไป๋และข้าต่างก็เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย เจ้าไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอกสงเอ๋อร์ ตาแก่ผู้นี้คงต้องวุ่นวายอยู่กับการประชุมตระกูล เกรงว่าจะต้อนรับเจ้าได้ไม่ดีพอ ข้าจึงขอให้ชิงเอ๋อร์คอยดูแลเจ้าก็แล้วกัน”
ไป๋จ้านสงหัวเราะขึ้นมาทันที
“ข้ามาเยี่ยมตระกูลหยางอยู่บ่อย ๆ เพราะได้น้องชิงคอยดูแล ข้าจึงคุ้นเคยกับนางดี เชิญท่านลุงหยางจัดการเรื่องการประชุมตระกูลเถอะ ข้าเองก็จะได้เปิดหูเปิดตา ชมความสามารถที่โดดเด่นของลูกหลานตระกูลหยาง”
หยางเสวี่ยชิงซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ มองไป๋จ้านสงด้วยสายตามีความหมาย
บนลานประลอง ทุกการต่อสู้นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจมาก การแข่งขันใช้รูปแบบคัดเลือกแพ้ชนะ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะผ่านเข้ารอบไป พวกเขาได้รับการยกย่องจากผู้ชม แม้แต่ตระกูลไป๋ก็ยังพยักหน้ายอมรับความสามารถของลูกหลานตระกูลหยาง
หยางชิงเสวียน บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลหยาง หันมาพูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
“เจ้าคิดว่าอย่างไร อู่เอ๋อร์?”
เด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหยางชิงเสวียนอย่างที่สุด เขามีใบหน้าดุดันราวกับถูกแกะสลักด้วยมีด ร่างกายกำยำล่ำสันซึ่งล้วนได้มาจากความสามารถ และเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลหยาง
เขาได้ผนึกมังกรมาครอบครองแล้ว และกำลังฝึกฝนวิชาอยู่ระยะหนึ่ง
“น้องหลิงเยวี่ยเป็นคนเดียวที่บรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหก นับว่ายอดเยี่ยมมาก แต่หลิงชิงเองก็สามารถเอาชนะหยางชงได้อย่างง่ายดาย เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าประหลาดใจมากเช่นกัน ดูจากท่าทางของหลิงชิงแล้ว ดูเหมือนนางจะเข้าใจเพลงหมัดดาวตกได้อย่างสมบูรณ์ การบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกได้คงขึ้นอยู่กับเวลา แต่ในตอนนี้ นางยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงเยวี่ย”
หยางอู่มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง หยางชิงเสวียนจึงพยักหน้าและเอ่ยขึ้น
“ทำไมข้าไม่เห็นน้องรองที่นี่ล่ะ? แม้ว่าเขาจะสูญเสียลูกชายไป แต่ลูกสาวของเขาก็มีฝีมือโดดเด่นไม่ใช่น้อย ข้าแน่ใจว่านางน่าจะพอปลอบใจเขาได้บ้าง”
ดวงตาของหยางอู่สว่างวาบด้วยแสงเย็นเยียบ
“ท่านอารองกลับไปแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงพยายามทำใจอยู่ ลูกชายของท่านน้าสาม ข้าเคยเห็นเขาไม่กี่ครั้ง แต่เท่าที่ได้ยินมา เขามีฐานะเพียงคนรับใช้ ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาเอาชนะจ้านเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน”
“ข้าสันนิษฐานว่าเขาคงอดทนกับการดูถูกเหยียดหยาม และปิดบังความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้ มิเช่นนั้น ใครกันจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้จนบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นสามภายในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรเสีย ความสามารถของเขาก็ไม่เลวทีเดียว น่าเสียดาย ... โชคชะตาของเขาช่างไม่ดีเอาเสียเลย”
“แม้เขาจะมีความสามารถ แต่จิตใจกลับชั่วช้า และวางแผนฆ่าญาติพี่น้องของตัวเอง เพียงเท่านี้ก็มีเหตุผลพอที่จะสับเขาเป็นพัน ๆ ชิ้นได้แล้ว จริงสิ ท่านพ่อ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะท้าสู้กับหลิงเยวี่ยในการประชุมตระกูล ท่านคิดว่าเขาจะกล้าโผล่หน้ามารึไม่?”
หยางชิงเสวียนหัวเราะและเอ่ยขึ้น
“มันเป็นเพียงคำโกหกเพื่อปั่นหัวหลิงเยวี่ยเท่านั้นเอง ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงหรอก น้องรองเองก็ต้องการชีวิตเขาเช่นกัน เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมารนหาที่ตายด้วยตัวเอง เขายังจะกล้ามาอีกหรือ?”
ขณะที่หยางอู่กำลังจะเปิดปากพูด ใครบางคนก็ประกาศก้อง
“ทุกท่าน การแข่งขันของเหล่าบุตรหลานตระกูลหยางได้มาถึงการประลองสุดท้ายแล้ว สองคนที่เหลือเป็นคู่สุดท้ายจะต่อสู้กัน และผู้ชนะจะได้รับคัมภีร์ลับอันล้ำค่าของตระกูลหยางของเรา ---- ผนึกมังกร!”
“ในการแข่งขันรอบสุดท้าย ผู้เข้าแข่งขัน คือ ----- หยางหลิงเยวี่ย และ หยางหลิงชิง!”
ไป๋จ้านสงยิ้มและเอ่ยขึ้น
“น้องชิง ผู้หญิงตระกูลหยางนี่ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ การต่อสู้รอบสุดท้ายเป็นเด็กสาวทั้งสองคนเลย”
เมื่อเห็นว่าไป๋จ้านสงเอ่ยปากชม หยางเสวี่ยชิงรู้สึกอิ่มเอมใจ
“ลูกหลานตระกูลไป๋เองก็มากด้วยความสามารถยิ่งกว่าเสียอีก ไป๋ซื่อจีบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดแล้ว ลูกชายของพี่ชายท่าน ไป๋ซื่อเฉิน ก็มีชื่อเสียงในฐานะเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองพฤกษาหมอก แม้แต่อู่เอ๋อร์ก็เทียบเขาไม่ได้”
“เฉินเอ๋อร์นับได้ว่ามีฝีมือไม่เลวเลยจริง ๆ เขาเกือบจะไล่ตามข้าทันแล้ว”
ในลานประลอง หยางหลิงชิงชำเลืองมองไปยังเหล่าผู้ชม แต่ผู้ที่นางคิดถึงกลับไม่อยู่ที่นั่น
“เขาไม่กล้ามาจริง ๆ ด้วย ถูกแล้วล่ะ ใครจะกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อคำท้าโง่ ๆ กันเล่า?”
ด้านล่างลานประลอง เหล่าลูกหลานในตระกูลต่างถกเถียงกันไม่หยุด
“เจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”
“ไร้สาระน่า แน่นอนว่าต้องเป็นพี่หลิงเยวี่ยอยู่แล้ว นางเหนือกว่าตั้งขั้นหนึ่งเชียวนะ”
“พี่หลิงเยวี่ยจะต้องได้ผนึกมังกรไปตามคาดแน่ ๆ”
“จำเจ้าบ้านั่นได้หรือไม่ ที่ท้าจะเอาชนะพี่หลิงเยวี่ยในการประชุมตระกูลน่ะ? ข้าบอกแล้วว่าเขาโกหกเพียงเพื่อให้พี่หลิงเยวี่ยปล่อยเขาไป ตอนนี้ก็เป็นจริงดังว่า?”
“ให้ตายเถอะ ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องตลก เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดขึ้นมาหรอก”
บนลานประลอง หยางหลิงเยวี่ยและหยางหลิงชิงเริ่มการต่อสู้
“หมัดดาวตก!”
“ปีศาจวายุเก้าดัชนี!”
แสงดาวเจิดจ้าปกคลุมไปทั่วทั้งลานประลอง หยางหลิงชิงได้ฝึกฝนมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นเวลาหลายปี ดังนั้น หมัดนี้จึงมีพลังทั้งหมดของนางซึ่งบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นห้าแฝงเอาไว้ เมื่อผนวกกับสิ่งที่หลงเฉินชี้แนะ หมัดดาวตกจึงรุนแรงจนเกือบถึงของขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหก!
ด้วยหมัดดาวตกหมัดนี้ หยางหลิงเยวี่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ท่าทีของนางเย็นชาและคิดในใจ... เสี่ยวชิงอ่อนกว่าข้าเพียง 2 ปี ข้าเกรงว่าอีก 2 ปีให้หลัง นางคงบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกไปแล้ว ถึงตอนนั้น การฝึกฝนและบ่มเพาะจากตระกูลหยางคงเหนือกว่าข้า นี่ไม่ใช่เรื่องดีเสียแล้ว…
ด้านนอกลานประลอง หยางเสวี่ยชิงนิ่วหน้า
“เสี่ยวชิงก้าวหน้าไปมากจริง ๆ เยวี่ยเอ๋อร์คงสัมผัสได้ถึงอันตราย นางถึงกับใช้กระบวนท่าปีศาจวายุเก้าดัชนี”
เมื่อกระบวนท่าปีศาจวายุเก้าดัชนีปรากฏให้เห็น ทุกคนที่เฝ้าดูต่างก็รู้สึกชื่นชมไปตาม ๆ กัน
ผู้นำตระกูลหยางจับจ้องไปที่ลานประลองด้วยสายตาเป็นประกาย
“เด็ก 2 คนนี้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้ได้ดีจริง ๆ เยวี่ยเอ๋อร์สามารถปล่อยดัชนีทั้งเจ็ดได้อย่างต่อเนื่อง เสี่ยวชิงเองก็มีความเข้าใจลึกซึ้งกว่าในการใช้หมัดดาวตก และยิ่งไปกว่านั้น หากทั้งสองมีพลังลมปราณในปริมาณที่เท่ากัน เสี่ยวชิงอาจจะเก่งกว่าก็เป็นได้”
ผู้นำตระกูลหยางนั้นทรงพลังมาก ดังนั้น สถานการณ์การต่อสู้จึงถูกจับตามองอย่างละเอียด ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาแล้วหันมองไปรอบ ๆ
“เจ้าเด็กที่ฝึกเพลงหมัดดาวตกได้ภายใน 3 วัน เขาไม่น่าจะมาที่นี่หรอก สำหรับเขา ตระกูลหยางไม่ต่างจากภูเขามีดหรือทะเลเพลิง...”
ทัศนคติที่เขามีต่อหลงเฉินไม่เลวร้ายเท่าไรนัก แม้ว่าหลงเฉินจะฆ่าหยางจ้าน แต่การที่เขาสามารถฝึกเพลงหมัดดาวตกได้ภายใน 3 วัน นับเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้นำตระกูลหยางรู้สึกประหลาดใจมากอยู่ดี
ด้วยผลจากพลังปราณอันเต็มเปี่ยม กระบวนท่าปีศาจวายุเก้าดัชนีของหยางหลิงเยวี่ยก็ทำให้หมัดดาวตกของหยางหลิงชิงต้องยอมจำนน หน้าผากของหลิงชิงเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ นางเริ่มควบคุมปราณได้ แต่มันก็เปล่าประโยชน์เพราะคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป เมื่อกระบวนท่าปีศาจวายุเก้าดัชนีสำแดงดัชนีที่ 5 ออกมา หยางหลิงชิงก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป และถูกกดดันให้ออกจากลานประลองในที่สุด
หยางหลิงเยวี่ยยืนอยู่ในลานประลอง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บริเวณโดยรอบอื้ออึงด้วยเสียงปรบมือ และบริเวณที่นั่งของผู้ชม ผู้นำตระกูลหยางเองก็เผยรอยยิ้มให้เห็น
โดยเฉพาะบิดาของหยางหลิงเยวี่ย บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูล --- หยางชิงเสวียน เขาฉีกยิ้มกว้างถึงหู
“ผู้ชนะในการแข่งขันของบุตรหลานตระกูลหยางในวันนี้ คือ --- หยางหลิงเยวี่ย!”
ไป๋จ้านสงและหยางเสวี่ยชิงมองหน้ากันและหัวเราะ
“หลิงเยวี่ยได้คำชี้แนะจากเจ้า นางถึงได้เป็นยอดนักสู้หญิงที่ไร้เทียมทานเช่นในวันนี้!”
หยางเสวี่ยชิงยิ้ม และเอ่ยขึ้น
“พี่ไป๋ ท่านก็ชมข้าเกินไป เป็นหน้าที่ของเสวี่ยชิงอยู่แล้วที่จะต้องสั่งสอนบรรดาลูกหลานในตระกูล”
นางมองหยางหลิงเยวี่ยที่กำลังตื่นเต้นดีใจ นางได้ยินเรื่องที่หลงเฉินได้ท้าทายหยางหลิงเยวี่ยไว้ก่อนหน้านี้ นางกังวลว่าเขาจะโผล่มาเพราะความอวดดี แต่ในตอนนี้ นางตระหนักแล้วว่าเขาเป็นเพียงคนขี้ขลาดคนหนึ่ง
“เขาก็เหมือนกับพ่อของเขาไม่มีผิด พวกดีแต่ปาก!”
เช่นเดียวกับบุตรชายทั้งสองของไป๋จ้านสง หยางเสวี่ยชิงก็พอใจในตัวพวกเขามาก โดยเฉพาะ บุตรชายคนโต ไป๋ซื่อจี ซึ่งมักจะสุภาพต่อนางเสมอ และสำหรับบุตรชายของนางเอง เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ดวงตาของหยางเสวี่ยชิงก็เปล่งประกายด้วยความเย็นชา
“หากข้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นกองเถ้ากระดูก คอยดูเถอะ!”
ในเวลานี้ ผู้นำตระกูลหยางหัวเราะเสียงดังและลุกขึ้นยืน เขาเดินลงมายังลานประลอง ทุกคนเห็นม้วนคัมภีร์หนังแกะในมือเขา มันคือผนึกมังกรของตระกูลหยาง
บุตรหลานในตระกูลคนอื่น ๆ ที่ไม่เก่งกล้าพอ ก็ทำได้เพียงจ้องมองด้วยสายตาอิจฉาริษยา
ผู้นำตระกูลหยางมองหยางหลิงเยวี่ยอย่างมีเมตตา
“เยวี่ยเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ชนะในวันนี้ ปู่ก็จะมอบผนึกมังกรให้กับเจ้า ปู่หวังว่าเจ้าจะฝึกฝนทุ่มเทและบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นเจ็ดได้ในเร็ววัน รับไปสิ ... และนำเกียรติยศมาสู่ตระกูลหยางของเรา”
“เยวี่ยเอ๋อร์ขอขอบคุณท่านปู่และผู้อาวุโสทุกท่าน!”
สิ่งที่นางเฝ้าฝันถึงอยู่เบื้องหน้าของนางแล้ว ดังนั้น หยางหลิงเยวี่ยจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ด้านนอกลานประลอง หยางหลิงชิงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกขมขื่น เพราะนั่นคือสิ่งที่นางเองก็เฝ้าปรารถนามาตลอดเช่นกัน
“ครั้งนี้ข้าอาจจะไม่ได้ผนึกมังกร แต่ข้าก็ต้องขยันฝึกฝนและบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นหกให้ได้ ข้าถึงจะมีโอกาส”
ทันใดนั้น นางรู้สึกราวกับมีใครบางคนมาตบไหล่ หยางหลิงชิงคิดว่าเป็นพี่น้องคนอื่น นางหันกลับไป และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่คุ้นตา นางจึงนิ่งอึ้งไปทันที
“เจ้า... เจ้ากลับมาจริงๆ ด้วย?!”
**************************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm