ตอนที่แล้วตอนที่ 10 อาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 อสูรหมาป่าดาราจรัสแสง

ตอนที่ 11 กระบี่หลิงซี


ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm

อาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูร เป็นพรมแดนระหว่างแคว้นชางหยางและมณฑลลี่ฮัวทางตอนใต้

 

ทั้ง 2 แห่งจึงไม่จำเป็นต้องมีการคุ้มกันเขตแดน  เพราะที่นี่คือสวรรค์ของเหล่าสัตว์อสูร

 

ในขณะเดียวกัน ก็มีสมบัติต่าง ๆ อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ตามตำนานที่เล่าขาน สาเหตุที่ทำให้อาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูรนั้นแห้งแล้งจนถึงจุดที่พืชพรรณไม่สามารถเติบโตได้อีกต่อไป  เป็นเพราะสสารวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณที่มีอยู่ในบริเวณนั้น ดูดซับพลังวิญญาณจากสถานที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น

 

“เฮ้อ... ดีจริง ๆ ที่เราไม่บินไปไกลกว่านี้  ข้าว่าอีกไม่กี่วันเราก็ออกไปจากสถานที่อันเลวร้ายแห่งนี้ได้แล้วล่ะ”

 

หลิงซีซึ่งพาดอยู่บนหลังของหลงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง

 

เวลาล่วงเลยไปหนึ่งวันตั้งแต่ที่ทั้งสองร่วมชะตากรรมด้วยกัน  ดังนั้น ผู้ที่พูดเรื่องหญิงชายถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ตอนนี้กลับนอนพาดบนหลังของหลงเฉินอย่างสบายอารมณ์ และเพลิดเพลินใจกับการมีพาหนะ

 

“เสี่ยวซี หุบปากเหม็น ๆ ของเจ้าสักทีเถอะน่า วันก่อนถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพูดไม่หยุด พวกเราคงไม่ต้องเจอปัญหามากมายถึงเพียงนี้ ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าข้าต้องมาตายที่นี่ ข้าจะขืนใจเจ้าก่อนที่จะฆ่าเจ้า เช่นนั้นแล้วข้าถึงจะตายตาหลับ!”

 

เขาค่อย ๆ คืบคลานออกจากอาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูรอย่างระมัดระวัง แต่ยัยคนที่อยู่ข้างหลังกลับชอบพูดขู่ให้เขากลัวจนเหงื่อแตก

 

หลังจากผ่านประสบการณ์เฉียดตายจากอสูรหมาป่ากลืนจันทราและสัตว์อสูรอื่น ๆ หลงเฉินยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ

 

“หืม... เจ้าคนโสโครก เจ้าคิดว่าข้าโง่นักรึ? ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นแค่กระบี่ กระบี่หลิงซี เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

 

เทือกเขาทะมึนที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าบรรจบกับขอบฟ้าสีเทาดูราวกับไร้ที่สิ้นสุด  กลิ่นเหม็นของซากศพเน่าเปื่อยลอยอบอวลอยู่ในอากาศ หลงเฉินนิ่วหน้าและเดินทางต่อไป

 

“ครึ่งเดือนใกล้เข้ามาแล้ว ข้าต้องออกจากที่นี่ ขณะเดียวกันก็ต้องบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นห้าให้ได้ด้วย การประชุมตระกูลจะจัดขึ้นในอีกไม่ช้า หากไม่ได้ผนึกมังกรมาละก็ ข้าคงทำลายงานแต่งบัดซบนั่นไม่ได้ และคงไม่มีพลังพอที่จะพิสูจน์ตัวเองได้เช่นกัน...”

 

หลิงซีพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

 

“ตอนนี้เจ้าเพิ่งบรรลุถึงขอบเขตชีพจรมังกรขั้นสาม แล้วจะบรรลุขั้นห้าให้ได้ภายในครึ่งเดือนน่ะรึ? ด้วยทรัพยากรที่มีในสถานที่อันน่าสมเพชนี่ คงจะสำเร็จได้ยากมากล่ะนะ”

 

วาจาของหลิงซีทำให้หลงเฉินรู้สึกท้อแท้มากกว่าเดิม

 

เขามองไปยังเบื้องหน้า และรู้สึกว่าราวกับเทือกเขาเหล่านี้กำลังขวางทางเขาอยู่  และกักขังเขาไว้ชั่วชีวิต

 

‘นี่มันไม่ถูกต้อง…’

 

หลงเฉินฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้  เขาคิดในใจ

 

‘ภูเขามีไว้ให้ปีนขึ้นไป ยังไม่ทันถึงครึ่งเดือน แล้วทำไมข้าจะต้องมาท้อเอาตอนนี้ด้วย ท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าท้อหรอก!’

 

ความรู้สึกมากมายพุ่งพล่านอยู่ในใจของเขา

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงเปลวไฟที่ลุกโชนในดวงตาของหลงเฉิน  หลิงซีก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

 

“พิลึกคนจริงเชียว...”

 

“โอ จริงสิ เสี่ยวซี เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นแค่พื้นที่เล็ก ๆ ใช่รึไม่? แคว้นชางหยางของพวกเรามีตั้ง 17 เมือง และแต่ละเมืองก็มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ดูอย่างเมืองหยวนหลิงสิ เป็นที่ตั้งของเมืองเล็ก ๆ นับร้อยเหมือนกับเมืองพฤกษาหมอก”

 

หลิงซีกลอกตา

 

“เจ้านี่มันกบในกะลาจริง ๆ พื้นที่ที่พวกเจ้าอยู่น่ะ เรียกว่าเขตว่านกั๋ว  แคว้นเล็ก ๆ อย่างแคว้นชางหยาง ก็มีเขตแบบเดียวกันอยู่นับหมื่น และเขตว่านกั๋วก็เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น”

 

หลงเฉินตกใจ

 

เขาส่ายศีรษะ

 

“แม่นางน้อย อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก จะมีโลกที่กว้างใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่ามีแคว้นไม่กี่แคว้นใกล้ ๆ กับแคว้นชางหยางเท่านั้น”

 

“ไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า เชอะ!”

 

เสียงเท้าของเขาเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้งดังให้ได้ยิน

 

หลงเฉินไม่สนใจหลิงซี และจดจ่ออยู่กับการเดินทางที่รีบเร่ง เป็นเพราะรอยแยกของเทือกเขาเหล่านี้ หลงเฉินจึงสามารถซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี

 

เสียงคำรามดังมาจากเบื้องหน้า

 

“เสี่ยวซี ข้างหน้านั่นต้องมีอันตรายแน่ ๆ หากไม่จำเป็นก็อย่างพูดเสียงดังล่ะ”

 

หลิงซีก็รับรู้ได้เช่นกัน นางจึงตอบรับอย่างว่าง่าย

 

เมื่อผ่านภูเขาหลายลูก  และเวลาผ่านไปราวครึ่งวัน หลงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ทอดยาวไปไกลและเห็นว่าฟ้าไม่ได้ดูหม่นหมองเหมือนเช่นเคย และมีแสงอาทิตย์ลอดผ่านรำไร เขาจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมา

 

“ดีจริงที่เมฆหมอกพวกนี้ไม่ได้สร้างปัญหามากไปกว่านี้ ด้วยความเร็วของข้า หากไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น ข้าคงออกไปจากที่นี่ได้ในอีกไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม ข้าเสียเวลาไปราว 5 วันแล้ว และเหลือเวลาอีกเพียง 10 วันเท่านั้น ข้าจะสามารถสู้กับหยางหลิงเยว่ได้อย่างไรกัน?”

 

ทั้งสองยังคงเดินทางต่อไป

 

หากไม่มีอันตรายใด ๆ พวกเขาก็มักจะทะเลาะกันเอง แต่หากมีอันตราย พวกเขาจะเงียบในทันที  เป็นเพราะประสาทรับรู้ของหลิงซีนั้นแข็งแกร่งมาก นางจึงสามารถกันเหล่าสัตว์อสูรไม่ให้เข้ามาใกล้ได้

 

ขณะที่วันเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ  หลิงซีสัมผัสได้ถึงความร้อนรนในใจของหลงเฉิน ในวันนี้ นางจึงแอบพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

 

“นี่... ข้าได้กลิ่นโสมภูเขาปีศาจด้วยล่ะ ฮิ ๆ”

 

หลงเฉินผงะไปและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

 

“ได้กลิ่นงั้นรึ? เจ้าเป็นลูกสุนัขรึไง? จมูกของสุนัขน่ะ แม่นยำมากเลยนะ”

 

หลิงซีเกรี้ยวกราด

 

“เจ้าบ้านี่! ข้าอุตส่าห์ช่วยเพราะเมตตาเจ้า ยังจะมาเรียกข้าว่าลูกสุนัขอีกงั้นรึ? ข้า ... ข้าไม่ช่วยเจ้าแล้ว เจ้าต้องทำตัวเองขายหน้าในการประชุมตระกูลแน่ ๆ เชอะ!”

 

หลงเฉินรีบอ้อนวอนขอความเมตตาและพูดจาหว่านล้อมอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายนางก็ใจอ่อน

 

“ต้องอย่างนี้สิ  โสมภูเขาปีศาจน่ะถือเป็นยาที่ดีมากในระดับอำพันชั้นกลางเชียวนะ  แม้มันจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายนัก แต่มันก็พอช่วยเจ้าได้บ้าง”

 

หลงเฉินแอบหัวเราะ

 

‘แม่นางคนนี้จมูกดีจริง ๆ ต่อไปในวันข้างหน้า ข้าคงต้องคอยเก็บนางไว้ใกล้ตัวแล้วสิ’

 

เมื่อนึกถึงสสารวิญญาณมากมายที่เขาจะได้มา หลงเฉินจึงตัดสินใจ  ในตอนนี้ หลิงซี ที่กำลังตื่นเต้นกับการตามหาโสมภูเขาปีศาจ ก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลงเฉินจะทึกทักเอาเองว่านางเป็นของเขาไปเสียแล้ว

 

“โสมภูเขาปีศาจน่ะเป็นสสารวิญญาณที่แปลกประหลาดมาก  มันคือยาบำรุงจิตวิญญาณจำพวกหนึ่ง แต่หลังจากผ่านไปร้อยปี  พวกมันก็เริ่มมีจิตวิญญาณของตัวเองและเคลื่อนไหวได้ หายากมากเลยนะ  แต่ถึงอย่างนั้น พวกมันก็หนีไม่พ้นมือข้าไปได้หรอก!”

 

“ทางนี้ ทางนี้ พวกเราเกือบถึงแล้ว โธ่... เร็วเข้าสิ ไล่ตามมันไป มันจะหนีไปได้แล้ว  ทางนี้...”

 

ด้วยคำแนะนำของหลิงซี หลงเฉินก็รีบไล่ตามไป  เมื่อเขาผ่านก้อนหินใหญ่ เขาก็เห็นสิ่งที่เรียกว่าโสมภูเขาปีศาจ  มันมีรูปร่างเหมือนคนตัวเล็ก ๆ ที่สูงเพียงฟุตเดียวและเปล่งแสงสีเหลืองนวลออกมาทั่วทั้งตัว  กลิ่นหอมสมุนไพรแผ่กระจายออกมาจากตัวของมัน ทำให้หลงเฉินรู้สึกผ่อนคลาย

 

“นี่คือกุญแจสู่ความสำเร็จของข้าในวันประชุมตระกูล ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องจับมันมาให้ได้”

 

ด้วยพลังเสริมจากเกราะดาราจรัสแสง  หลงเฉินก็เร่งฝีเท้าเต็มที่และไล่ตามโสมภูเขาปีศาจไป

 

เมื่อเข้าไปในหุบเขา  ปีศาจโสมภูเขาก็ปรากฏอยู่ในสายตา ในเวลานั้นเอง หลิงซีก็ร้องตะโกน

 

“นี่ นี่ ... หยุดนะ!  หลบไป!”

 

สามวันที่ผ่านมา ทั้งสองมีความเข้าใจต่อกันมากขึ้น  แม้โสมภูเขาปีศาจจะอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่ใดมีพืชพรรณ ที่นั่นย่อมมีสรรพชีวิต และอาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูรแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะเดินไปมาได้อย่างอิสระ  เขาจำเป็นต้องห่วงชีวิตของตนเองไว้ก่อน

 

ดังนั้น เมื่อได้ยินหลิงซีร้องตะโกนให้หลบ เขาก็รีบกลิ้งตัวไปทางด้านข้างทันที และหลบอยู่ในรอยแยกแคบ ๆ รอยหนึ่งภายในหุบเขา

 

ภายในหุบเขาอันมืดมิด เสียงคำรามของสัตว์อสูรหลายตัวดังก้องให้ได้ยิน จากนั้น ร่างดำทะมึนก็กระโจนออกมาและล้อมโสมภูเขาปีศาจไว้ตรงกลาง เสียงพ่นลมหายใจอย่างแรงดังออกมาจากปากของเหล่าสัตว์อสูร

 

มีสัตว์อสูรทั้งหมด 5 ตัว  ร่างกายของพวกมันเป็นสีดำสนิทราวกับเสือดำ  แต่จมูกของพวกมันยาวเป็นสันมากกว่า กรงเล็บเหล่านั้นดูราวกับใบมีด  ขณะที่พวกมันวิ่ง จะปรากฏแถบแสงสีแดงเข้มบนร่างกาย พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่ตลบอบอวลไปทั่วหุบเขา

 

“พวกมันคือ... อสูรหมาป่าปฐพี...”

************************

ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด