ตอนที่ 11 กระบี่หลิงซี
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
อาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูร เป็นพรมแดนระหว่างแคว้นชางหยางและมณฑลลี่ฮัวทางตอนใต้
ทั้ง 2 แห่งจึงไม่จำเป็นต้องมีการคุ้มกันเขตแดน เพราะที่นี่คือสวรรค์ของเหล่าสัตว์อสูร
ในขณะเดียวกัน ก็มีสมบัติต่าง ๆ อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ตามตำนานที่เล่าขาน สาเหตุที่ทำให้อาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูรนั้นแห้งแล้งจนถึงจุดที่พืชพรรณไม่สามารถเติบโตได้อีกต่อไป เป็นเพราะสสารวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณที่มีอยู่ในบริเวณนั้น ดูดซับพลังวิญญาณจากสถานที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น
“เฮ้อ... ดีจริง ๆ ที่เราไม่บินไปไกลกว่านี้ ข้าว่าอีกไม่กี่วันเราก็ออกไปจากสถานที่อันเลวร้ายแห่งนี้ได้แล้วล่ะ”
หลิงซีซึ่งพาดอยู่บนหลังของหลงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง
เวลาล่วงเลยไปหนึ่งวันตั้งแต่ที่ทั้งสองร่วมชะตากรรมด้วยกัน ดังนั้น ผู้ที่พูดเรื่องหญิงชายถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ตอนนี้กลับนอนพาดบนหลังของหลงเฉินอย่างสบายอารมณ์ และเพลิดเพลินใจกับการมีพาหนะ
“เสี่ยวซี หุบปากเหม็น ๆ ของเจ้าสักทีเถอะน่า วันก่อนถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพูดไม่หยุด พวกเราคงไม่ต้องเจอปัญหามากมายถึงเพียงนี้ ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าข้าต้องมาตายที่นี่ ข้าจะขืนใจเจ้าก่อนที่จะฆ่าเจ้า เช่นนั้นแล้วข้าถึงจะตายตาหลับ!”
เขาค่อย ๆ คืบคลานออกจากอาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูรอย่างระมัดระวัง แต่ยัยคนที่อยู่ข้างหลังกลับชอบพูดขู่ให้เขากลัวจนเหงื่อแตก
หลังจากผ่านประสบการณ์เฉียดตายจากอสูรหมาป่ากลืนจันทราและสัตว์อสูรอื่น ๆ หลงเฉินยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
“หืม... เจ้าคนโสโครก เจ้าคิดว่าข้าโง่นักรึ? ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นแค่กระบี่ กระบี่หลิงซี เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
เทือกเขาทะมึนที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าบรรจบกับขอบฟ้าสีเทาดูราวกับไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นเหม็นของซากศพเน่าเปื่อยลอยอบอวลอยู่ในอากาศ หลงเฉินนิ่วหน้าและเดินทางต่อไป
“ครึ่งเดือนใกล้เข้ามาแล้ว ข้าต้องออกจากที่นี่ ขณะเดียวกันก็ต้องบรรลุขอบเขตชีพจรมังกรขั้นห้าให้ได้ด้วย การประชุมตระกูลจะจัดขึ้นในอีกไม่ช้า หากไม่ได้ผนึกมังกรมาละก็ ข้าคงทำลายงานแต่งบัดซบนั่นไม่ได้ และคงไม่มีพลังพอที่จะพิสูจน์ตัวเองได้เช่นกัน...”
หลิงซีพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ตอนนี้เจ้าเพิ่งบรรลุถึงขอบเขตชีพจรมังกรขั้นสาม แล้วจะบรรลุขั้นห้าให้ได้ภายในครึ่งเดือนน่ะรึ? ด้วยทรัพยากรที่มีในสถานที่อันน่าสมเพชนี่ คงจะสำเร็จได้ยากมากล่ะนะ”
วาจาของหลิงซีทำให้หลงเฉินรู้สึกท้อแท้มากกว่าเดิม
เขามองไปยังเบื้องหน้า และรู้สึกว่าราวกับเทือกเขาเหล่านี้กำลังขวางทางเขาอยู่ และกักขังเขาไว้ชั่วชีวิต
‘นี่มันไม่ถูกต้อง…’
หลงเฉินฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาคิดในใจ
‘ภูเขามีไว้ให้ปีนขึ้นไป ยังไม่ทันถึงครึ่งเดือน แล้วทำไมข้าจะต้องมาท้อเอาตอนนี้ด้วย ท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าท้อหรอก!’
ความรู้สึกมากมายพุ่งพล่านอยู่ในใจของเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงเปลวไฟที่ลุกโชนในดวงตาของหลงเฉิน หลิงซีก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“พิลึกคนจริงเชียว...”
“โอ จริงสิ เสี่ยวซี เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นแค่พื้นที่เล็ก ๆ ใช่รึไม่? แคว้นชางหยางของพวกเรามีตั้ง 17 เมือง และแต่ละเมืองก็มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ดูอย่างเมืองหยวนหลิงสิ เป็นที่ตั้งของเมืองเล็ก ๆ นับร้อยเหมือนกับเมืองพฤกษาหมอก”
หลิงซีกลอกตา
“เจ้านี่มันกบในกะลาจริง ๆ พื้นที่ที่พวกเจ้าอยู่น่ะ เรียกว่าเขตว่านกั๋ว แคว้นเล็ก ๆ อย่างแคว้นชางหยาง ก็มีเขตแบบเดียวกันอยู่นับหมื่น และเขตว่านกั๋วก็เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น”
หลงเฉินตกใจ
เขาส่ายศีรษะ
“แม่นางน้อย อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก จะมีโลกที่กว้างใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่ามีแคว้นไม่กี่แคว้นใกล้ ๆ กับแคว้นชางหยางเท่านั้น”
“ไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า เชอะ!”
เสียงเท้าของเขาเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้งดังให้ได้ยิน
หลงเฉินไม่สนใจหลิงซี และจดจ่ออยู่กับการเดินทางที่รีบเร่ง เป็นเพราะรอยแยกของเทือกเขาเหล่านี้ หลงเฉินจึงสามารถซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี
เสียงคำรามดังมาจากเบื้องหน้า
“เสี่ยวซี ข้างหน้านั่นต้องมีอันตรายแน่ ๆ หากไม่จำเป็นก็อย่างพูดเสียงดังล่ะ”
หลิงซีก็รับรู้ได้เช่นกัน นางจึงตอบรับอย่างว่าง่าย
เมื่อผ่านภูเขาหลายลูก และเวลาผ่านไปราวครึ่งวัน หลงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ทอดยาวไปไกลและเห็นว่าฟ้าไม่ได้ดูหม่นหมองเหมือนเช่นเคย และมีแสงอาทิตย์ลอดผ่านรำไร เขาจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมา
“ดีจริงที่เมฆหมอกพวกนี้ไม่ได้สร้างปัญหามากไปกว่านี้ ด้วยความเร็วของข้า หากไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น ข้าคงออกไปจากที่นี่ได้ในอีกไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม ข้าเสียเวลาไปราว 5 วันแล้ว และเหลือเวลาอีกเพียง 10 วันเท่านั้น ข้าจะสามารถสู้กับหยางหลิงเยว่ได้อย่างไรกัน?”
ทั้งสองยังคงเดินทางต่อไป
หากไม่มีอันตรายใด ๆ พวกเขาก็มักจะทะเลาะกันเอง แต่หากมีอันตราย พวกเขาจะเงียบในทันที เป็นเพราะประสาทรับรู้ของหลิงซีนั้นแข็งแกร่งมาก นางจึงสามารถกันเหล่าสัตว์อสูรไม่ให้เข้ามาใกล้ได้
ขณะที่วันเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ หลิงซีสัมผัสได้ถึงความร้อนรนในใจของหลงเฉิน ในวันนี้ นางจึงแอบพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“นี่... ข้าได้กลิ่นโสมภูเขาปีศาจด้วยล่ะ ฮิ ๆ”
หลงเฉินผงะไปและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ได้กลิ่นงั้นรึ? เจ้าเป็นลูกสุนัขรึไง? จมูกของสุนัขน่ะ แม่นยำมากเลยนะ”
หลิงซีเกรี้ยวกราด
“เจ้าบ้านี่! ข้าอุตส่าห์ช่วยเพราะเมตตาเจ้า ยังจะมาเรียกข้าว่าลูกสุนัขอีกงั้นรึ? ข้า ... ข้าไม่ช่วยเจ้าแล้ว เจ้าต้องทำตัวเองขายหน้าในการประชุมตระกูลแน่ ๆ เชอะ!”
หลงเฉินรีบอ้อนวอนขอความเมตตาและพูดจาหว่านล้อมอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายนางก็ใจอ่อน
“ต้องอย่างนี้สิ โสมภูเขาปีศาจน่ะถือเป็นยาที่ดีมากในระดับอำพันชั้นกลางเชียวนะ แม้มันจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายนัก แต่มันก็พอช่วยเจ้าได้บ้าง”
หลงเฉินแอบหัวเราะ
‘แม่นางคนนี้จมูกดีจริง ๆ ต่อไปในวันข้างหน้า ข้าคงต้องคอยเก็บนางไว้ใกล้ตัวแล้วสิ’
เมื่อนึกถึงสสารวิญญาณมากมายที่เขาจะได้มา หลงเฉินจึงตัดสินใจ ในตอนนี้ หลิงซี ที่กำลังตื่นเต้นกับการตามหาโสมภูเขาปีศาจ ก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลงเฉินจะทึกทักเอาเองว่านางเป็นของเขาไปเสียแล้ว
“โสมภูเขาปีศาจน่ะเป็นสสารวิญญาณที่แปลกประหลาดมาก มันคือยาบำรุงจิตวิญญาณจำพวกหนึ่ง แต่หลังจากผ่านไปร้อยปี พวกมันก็เริ่มมีจิตวิญญาณของตัวเองและเคลื่อนไหวได้ หายากมากเลยนะ แต่ถึงอย่างนั้น พวกมันก็หนีไม่พ้นมือข้าไปได้หรอก!”
“ทางนี้ ทางนี้ พวกเราเกือบถึงแล้ว โธ่... เร็วเข้าสิ ไล่ตามมันไป มันจะหนีไปได้แล้ว ทางนี้...”
ด้วยคำแนะนำของหลิงซี หลงเฉินก็รีบไล่ตามไป เมื่อเขาผ่านก้อนหินใหญ่ เขาก็เห็นสิ่งที่เรียกว่าโสมภูเขาปีศาจ มันมีรูปร่างเหมือนคนตัวเล็ก ๆ ที่สูงเพียงฟุตเดียวและเปล่งแสงสีเหลืองนวลออกมาทั่วทั้งตัว กลิ่นหอมสมุนไพรแผ่กระจายออกมาจากตัวของมัน ทำให้หลงเฉินรู้สึกผ่อนคลาย
“นี่คือกุญแจสู่ความสำเร็จของข้าในวันประชุมตระกูล ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องจับมันมาให้ได้”
ด้วยพลังเสริมจากเกราะดาราจรัสแสง หลงเฉินก็เร่งฝีเท้าเต็มที่และไล่ตามโสมภูเขาปีศาจไป
เมื่อเข้าไปในหุบเขา ปีศาจโสมภูเขาก็ปรากฏอยู่ในสายตา ในเวลานั้นเอง หลิงซีก็ร้องตะโกน
“นี่ นี่ ... หยุดนะ! หลบไป!”
สามวันที่ผ่านมา ทั้งสองมีความเข้าใจต่อกันมากขึ้น แม้โสมภูเขาปีศาจจะอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่ใดมีพืชพรรณ ที่นั่นย่อมมีสรรพชีวิต และอาณาเขตรกร้างของสัตว์อสูรแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะเดินไปมาได้อย่างอิสระ เขาจำเป็นต้องห่วงชีวิตของตนเองไว้ก่อน
ดังนั้น เมื่อได้ยินหลิงซีร้องตะโกนให้หลบ เขาก็รีบกลิ้งตัวไปทางด้านข้างทันที และหลบอยู่ในรอยแยกแคบ ๆ รอยหนึ่งภายในหุบเขา
ภายในหุบเขาอันมืดมิด เสียงคำรามของสัตว์อสูรหลายตัวดังก้องให้ได้ยิน จากนั้น ร่างดำทะมึนก็กระโจนออกมาและล้อมโสมภูเขาปีศาจไว้ตรงกลาง เสียงพ่นลมหายใจอย่างแรงดังออกมาจากปากของเหล่าสัตว์อสูร
มีสัตว์อสูรทั้งหมด 5 ตัว ร่างกายของพวกมันเป็นสีดำสนิทราวกับเสือดำ แต่จมูกของพวกมันยาวเป็นสันมากกว่า กรงเล็บเหล่านั้นดูราวกับใบมีด ขณะที่พวกมันวิ่ง จะปรากฏแถบแสงสีแดงเข้มบนร่างกาย พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่ตลบอบอวลไปทั่วหุบเขา
“พวกมันคือ... อสูรหมาป่าปฐพี...”
************************
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm