ตอนที่ 1 จี้หยกรูปมังกร
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm
“นายน้อย ! บิดาของท่านเสียแล้ว” เสียงโหวกเหวกดังแหวกความเงียบ…
ในเช้าอันแสนสงบไร้ซึ่งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของผู้คนในเมือง ทุกอย่างดูปกติธรรมดา ผู้คนไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือตัวคนเดียวต่างใช้ชีวิตประจำวันไปพร้อมกับเวลาที่ดำเนินไป หยางเฉินนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของเมืองพฤกษาหมอก เขากำลังเพลิดเพลินกับชีวิตที่แสนสุขของตัวเองทว่าจู่ ๆ ก็เกิดเสียงประตูดังขึ้น
ปั้ง !
ข้ารับใช้ของเขาวิ่งกรูกันเข้ามาหาเขาจากข้างนอกโดยที่แต่ละคนแย่งกันส่งเสียงตะโกนเรียกหยางเฉินด้วยน้ำเสียงที่เศร้าโศก…
“เอะอะโวยวายอะไรกัน” หยางเฉินหยิกหูข้ารับใช้คนหนึ่งของเขาและเอ่ยถามเสียงเครียด
“หนะ... นายน้อย บิดาของท่าน สะ... เสีย... เสียแล้ว”
และแล้ว... เขาก็ได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน
ข้ารับใช้ผู้นี้ของหยางเฉินมีชื่อว่า ‘เซี่ยวฮวง’ เขาเป็นคนที่หยางเฉินไว้ใจมากที่สุดเพราะคอยดูแลรับใช้หยางเฉินและตระกูลของเขามาเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะกล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้
ทันใดนั้นเองใบหน้าของหยางเฉินก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจทว่ามันก็คงอยู่บนใบหน้าเขาเพียงชั่วครู่เดียวเพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เก็บความรู้สึกไว้แต่เพียงในใจ เขาถกแขนเสื้อของตัวเองก่อนยืนขึ้นและรีบออกจากที่นั่นในทันควันส่วนข้ารับใช้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเนื่องจากไม่สามารถตามความเร็วอันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและอดกลั้นนั้นได้
ขณะที่เขาเดินไปตามทาง หยางเฉินก็ได้แต่คิดกับตัวเอง ‘ถึงตาเฒ่านั่นจะขี้เหล้ากว่าข้าสิบเท่าก็เถอะ แต่อายุของเขาก็ยังไม่ทันจะถึงสี่สิบเลยด้วยซ้ำ คนที่ดูแล้วน่าจะอยู่ได้อีกเป็นสิบๆปีเช่นนั้นจะมาตายได้อย่างไร?!...’
เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อรีบกลับไปยังเขตของตระกูลหยางอย่างรวดเร็ว
......
เมืองพฤกษาหมอกมีสองตระกูลใหญ่ที่เป็นตระกูลมหาอำนาจนั่นก็คือ ตระกูลไป๋ และ ตระกูลหยาง สำหรับตระกูลหยางนั้นครอบครองพื้นที่และทรัพยากรเกือบครึ่งหนึ่งของเมืองพฤกษาหมอก ทั้งยังมีการปกครองด้วยความชอบธรรมจนถือเป็นตระกูลที่กุมอำนาจสูงสุดในถิ่นนี้
การได้เกิดมาในตระกูลเช่นนี้นับว่าเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาและเพียบพร้อมในตัวเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นไม่ใช่กรณีของหยางเฉินเลย
เมื่อกาลครั้งก่อน บรรพบุรุษของตระกูลหยางยังเป็นที่รู้จักและยอมรับ ด้วยพรสวรรค์และปัญญาที่มีมาแต่กำเนิดรวมถึงฝีมือการต่อสู้อันเกิดจากการมานะฝึกฝนอย่างหมั่นเพียรทำให้บรรพบุรุษของเขาก่อตั้งรากฐานในเมืองพฤกษาหมอกได้สำเร็จ พวกเขาขยายขอบเขตและขยายสาขาตระกูลจนแตกย่อยออกไปอย่างรวดเร็วและนั่นทำให้มีบุตรหลานถือกำเนิดขึ้นในตระกูลหยางอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็ก้าวเข้าไปจนกลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง
มารดาของหยางเฉินเป็นหญิงสาวที่มีสายเลือดของตระกูลหลัก นางเป็นบุตรสาวคนที่สาม ผู้ซึ่งมีพรสวรรค์มากเสียจนคนในเมืองต่างก็รู้จักนางเป็นอย่างดีทว่าบิดาของหยางเฉินนั้นกลับเป็นคนนอกตระกูลที่มาอาศัยอยู่กับตระกูลสาขา หยางเฉินไม่รู้เลยว่าบิดาของเขาเป็นคนอย่างไรเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ตั้งแต่จำความได้ บิดาของเขาก็เอาแต่ดื่มเหล้าเพื่อบรรเทาทุกข์ด้วยสุราทุกวัน เขาพาตัวเองให้ดำเนินไปถึงจุดที่ว่าอยู่ในสภาพมอมแมมและถูกทอดทิ้งไว้ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ให้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวรอวันตาย
เพราะบิดาของเขาเป็นชายที่ไร้ประโยชน์ในตระกูลใหญ่จึงทำให้บุตรชายเช่นเขาโดนตราหน้าและถูกคนอื่น ๆ ดูถูกดูแคลนไปทั่ว ด้วยเหตุนี้ทำให้หยางเฉินไร้ซึ่งความสำคัญใด ๆ ในตระกูลหยาง ชีวิตของเขาได้รับแต่ความเย็นชาและท่าทีรังเกียจ แม้แต่มารดาของเขาเองยังแกล้งทำเป็นว่านางไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดเขาขึ้นมา ดั้งนั้นเขาจึงไม่ได้รับการดูแลและสั่งสอนอย่างที่ควรจะเป็น แน่นอนว่านี่ทำให้เขาเติบโตขึ้นโดยใช้ชีวิตอย่างผิด ๆ และเอาแต่เที่ยวเล่นสนุกสนานเตร็ดเตร่ไปเรื่อย
เมื่อการรีบรุดของเขาสิ้นสุดลงและหยางเฉินมาถึงประตูเมืองพฤกษาหมอกในที่สุด เขาก็ไม่สนใจสายตาอันเย็นชาของผู้เฝ้าประตูเมืองเลยแม้แต่น้อย เขายังคงตรงเข้าไปยังที่พักของตระกูลหยางและผ่านประตูด้านข้างไปด้วยความเร็ว
ที่พักของตระกูลหยางนั้นเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างโดยมีลานกว้างที่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพันธุ์ที่สวยงาม มันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสง่างาม เฟื่องฟู และเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของตระกูลหยางทว่าห่างไปไม่กี่ก้าว มีคนสอง คนเดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม คนแรกเป็นชายสูงดูสง่างามที่สวมชุดผ้าไหมสีขาว เขานั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางเฉินผู้มีนามว่า ‘หยางจ้าน’
ด้านหลังของหยางจ้านคือญาติห่าง ๆ ของเขาผู้มีนามว่า ‘เฉินหลิว’ เขามีปากที่แหลม แก้มเหมือนลิง และยังมีหลังค่อมที่ดูตลก ๆ โดยทั่วไปแล้วเขาผู้นี้ค่อนข้างน่ารำคาญเพราะมักจะชอบพูดเอาใจหยางจ้านอยู่เป็นประจำ
เมื่อพวกเขาเดินมาเผชิญหน้ากับหยางเฉิน แทบจะในทันใดพวกเขาก็จงใจมาบังเส้นทางของหยางเฉินในทันที
และหยางจ้านก็ไม่รอช้า คำพูดร้ายกาจของเขาพ่นออกมาอย่างรวดเร็ว “เศษขยะไร้ประโยชน์อย่างไอ้แก่พ่อของเจ้า ในที่สุดก็ตายแล้วรึ ? ฮ่า ๆ ๆ น่าขบขันเสียจริงนะว่าไหม” หยางจ้านหัวเราะ รอยยิ้มที่เขาเผยอออกมาเต็มไปด้วยสีหน้าดูถูก เขามั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากเพราะตัวเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองพฤกษาหมอก เมื่อครั้งที่เขาอายุสิบเจ็ด เขาได้ทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นสี่ของขอบเขตชีพจรมังกรได้สำเร็จ ซึ่งจากการกระทำนี้ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม คนอื่น ๆ มักพูดถึงเขาด้วยความชื่นชมเช่นว่า ‘อายุแค่สิบเจ็ดปีก็สามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นสี่ของขอบเขตชีพจรมังกรได้แล้ว สำเร็จขั้นที่สี่ของขอบเขตชีพจรมังกรได้นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมาก’
เมื่อเปรียบเทียบหยางเฉินกับลูกหลานตระกูลหยางทั้งหมด เขานั้นไม่เหมือนคนอื่น ๆ เลยเพราะไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้เกิดทักษะใด ๆ ที่คนอื่นในตระกูลเขามีกัน
พี่น้องหรือเครือญาติคนอื่น ๆ ของเขาเหล่านี้ล้วนได้รับการเลี้ยงดูด้วยทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วนตั้งแต่ครั้งที่พวกเขายังเยาว์วัย ไม่ว่าจะเป็น ‘การฝึก’ รวมไปถึง ‘คัมภีร์ลับ’ ของตระกูล ทว่าหยางเฉินไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้เลย
จะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อมารดาของเขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ พวกนั้นไม่เคยเห็นค่าในตัวของหยางเฉินด้วยซ้ำ ในครั้งที่เขายังเด็ก เขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันกับเด็กคนอื่น ๆ ในตระกูลแต่เนื่องจากเขาไม่มีคนคอยหนุนหลังหรือมีทรัพยากรใด ๆ ย่อมแน่นอนว่าสภาพจิตใจของเขาที่มีต่อทุก ๆ อย่างต้องทำให้เขาหมดกำลังใจในการฝึกยุทธ์แน่อยู่แล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นแรกของขอบเขตชีพจรมังกรได้
ไม่ใช่ว่าหยางเฉินไม่เคยทำอะไรเลย เขาเองก็เคยฝึกซ้อมด้วยตัวเองอย่างลับ ๆ เช่นกันแต่ด้วยเพราะเขาขาดประสบการณ์และคำภีร์ต่าง ๆ รวมถึงไม่มีใครสอนเขา เขาจึงไม่ได้รับคำชี้แนะใด ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากบนเส้นทางที่จะฝึกยุทธ์
“เจ้า เหตุใดถึงเงียบไปล่ะ ? ข้าบอกว่าพ่อของเจ้าเป็นเศษขยะไร้ประโยชน์ นั่นมันไม่จริงหรอกหรือ...”
หยางจ้านยืนเผชิญหน้ากับหยางเฉินและพูดดูถูกด้วยสีหน้าที่เย้ยหยัน การดูถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้ใช่ว่าหยางเฉินจะไม่เคยเจอมาก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักของคนในเมือง แต่กระนั้นเมื่อเขากลับมายังตระกูลหยาง ตัวเขาก็เปรียบเสมือนเป็นสุนัขเพียงตัวหนึ่ง เขารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีค่าอะไรในตระกูลของเขาเลยจึงต้องอดทนอดกลั้นความเกลียดชังนี้เอาไว้แล้วพยายามปล่อยให้มันผ่านไป
ทว่านี่ ! ในวันนี้ ! เป็นวันที่การตายของบิดาของเขามาถึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดแม้ว่าเขาจะดูสงบอยู่มากก็ตาม เขาไม่ต้องการให้ความรู้สึกในใจของตัวเองระเบิดออกมาเพื่อแสดงให้คนภายนอกเห็นจึงต้องเก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้แต่เพียงในใจ
“หลีกไป อย่ามาขวางทางข้า !” หยางเฉินพูดอย่างสงบเยือกเย็น เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อพยายามสะกดอารมณ์เดือดพล่านเอาไว้และเงยหน้ามองหยางจ้าน
“เจ้าน้องชาย ทำไมเจ้าถึงใช้น้ำเสียงเช่นนั้นพูดกับพี่ใหญ่อย่างข้ากัน นี่เจ้าไม่พอใจข้างั้นหรือ ? เจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยและทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหยางต้องเสื่อมเสีย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะต้องสอนบทเรียนให้กับเจ้า ? หรือเจ้าว่าไม่จริง ?” หยางจ้านหัวเราะและไม่ให้โอกาสหยางเฉินได้โต้เถียงเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็ต่อยเข้าที่หน้าท้องของหยางเฉินก่อนจะเดินจากไปในขณะที่คราบของความเย้ยหยันยังปรากฏอยู่บนใบหน้า
หยางเฉินคำราม เขาทั้งรู้สึกเจ็บปวดและโกรธเคืองขณะปล่อยให้ตัวเองล้มลงไปกับพื้น
เมื่อหยางจ้านเดินจากไป เฉินหลิวก็รีบตามไปในทันที ขณะที่ทั้งสองเดินผ่านหยางเฉินที่นอนเจ็บปวดอยู่บนพื้นนั้น เฉินหลิวก็หันมองไปรอบ ๆ แล้วถ่มน้ำลายใส่หยางเฉินอย่างดูถูกทว่าหยางเฉินพลิกตัวหลบได้ทัน
“ไอ้หย๋า เจ้าหลบมันได้ ! หมาในตระกูลอย่างเจ้าค่อนข้างไวเหมือนกันนา...” หลังจากที่เยาะเย้ยทับถมหยางเฉินแล้ว เขาก็รีบเร่งฝีเท้าตามหยางจ้านไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าข้ารับใช้ที่อยู่แถวนั้นต่างก็เห็นเหตุการณ์นี้ทั้งหมดทว่ากลับไม่มีใครแปลกใจเลย ไม่มีใครเลยสักคนที่จะเห็นใจหรือสนใจหยางเฉิน พวกเขาเพียงแค่เห็นเป็นเรื่องตลกขบขันกันเท่านั้น
หยางเฉินทุรนทุรายลุกขึ้นมาจากพื้น เขาเอามือปาดปากเพื่อเช็ดเลือดที่ไหลออกมาก่อนหันมองพวกที่กำลังเดินจากไปอย่างโกรธแค้น
“หึ ! หากข้าเป็นนักสู้ หากข้าฝึกฝนได้สำเร็จ หากวันใดข้าเข้าสู่ขอบเขตชีพจรมังกรได้ ข้าจะแก้แค้นพวกเจ้าอย่างสาสม ! จำไว้เถอะไอ้หยางจ้านและไอ้หมารับใช้เฉินหลิว ข้าจะจดจำความแค้นนี้และฝังเอาไว้ในใจ หากข้ามีโอกาส... ข้าจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างน่าสังเวชในเร็ววัน” เขากำหมัดแน่นและพยายามรวบรวมสติก่อนออกเดินไปยังที่ที่บิดาของเขาอาศัยอยู่
หลายสิบปีที่ผ่านมา เขาจำได้อย่างดีว่าใครบ้างที่ดูถูกและทับถมกลั่นแกล้งเขา เมื่อใดที่เขาประสบความสำเร็จ เขาจะทำให้ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้พบกับความสงบสุขอีกต่อไป เขาแน่ใจ !
และนี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ในหมู่เพื่อนต่างขนานนามเขาว่า --หมาป่าซ่อนเขี้ยว--
บิดาของหยางเฉินนั้นมีนามว่า ‘หลงฉิงหลาน’ ชื่อของเขาเป็นชื่อที่เปี่ยมไปด้วยความน่าลุ่มหลงและเขาก็เป็นชายที่มากความเจ้าชู้เมื่อครั้งยังวัยเยาว์
เมื่อหยางเฉินเดินเข้าไปในห้องของบิดา เขาก็เห็นร่างของบิดาถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มข้ารับใช้สาว บริเวณนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเหล้าและอุจจาระผสมเข้าด้วยกันจนทำให้เขาต้องย่นจมูกเพราะกลิ่นเหม็นที่คลุ้งโชย
“เขาอยู่ที่นี่...”
เมื่อพวกนางเห็นเขาเข้ามา กลุ่มสาวใช้ก็หลีกทางให้กับเขา มันเสมือนว่าพวกนางทำหน้าที่ที่พวกนางได้รับเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงพากันถอยออกไป
เขาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาบิดาของเขาช้า ๆ ก่อนก้มลงมองใบหน้าที่ดำสนิทไร้วิญญาณนั้น…
“ท่านเป็นคนเช่นไรกันแน่ ?” เขาพึมพำ “เวลาสิบหกปี ที่ผ่านมาข้าไม่เคยเข้าใจท่านเลยและท่านก็ไม่เคยให้ข้าได้เข้าใจในตัวท่าน ที่น่าเศร้าคือที่ข้ายืนอยู่ ณ ที่นี้ เราเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มันเหมือนกับว่าข้าและท่านต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ท่านพ่อ ท่านพ่อ... ดูเหมือนข้าจะเป็นลูกอกตัญญู ขนาดท่านจากไปแล้วข้ายังไม่สามารถแม้แต่จะหลั่งน้ำตาออกมาได้เลย...”
เดิมทีเขาคิดว่าตัวของเขาเองใจร้ายแต่ตอนนี้เขารู้สึกขมขื่นในจิตใจที่ปวดร้าว เขาจมอยู่กับความเศร้าโศกตรงหน้าบิดาอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนัก หยางเฉินก็สงบสติอารมณ์ได้และเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นหญิงสาวรูปงามสวมชุดสีแดงอ่อน ผูกผมรวบรัดอย่างเป็นพิธีเดินผ่านผู้คนที่ล้อมรอบเข้ามาทางเขา นางจ้องมองมาที่ศพของหลงฉิงหลานแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ชะตากรรมที่เลวร้ายของชีวิตนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว... หยางเฉิน เขาเป็นพ่อของเจ้า...”
เมื่อพูดจบนางก็เดินจากไปโดยไม่รอให้หยางเฉินถามหรือกล่าววาจาใด ๆ
หยางเฉินหัวเราะและคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เขาคุ้นเคย เขามองไปที่ร่างของบิดาก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ ทั้งรูปลักษณ์และเครื่องหน้าของท่านช่างดูดีเสียจริง เมื่อครั้งท่านยังเยาว์วัย ชื่อเสียงความงามของท่านแผ่กว้างขวางไปทั่วทุกสารทิศจนหญิงสาวโฉมงามนับไม่ถ้วนต่างก็ตกเป็นของท่าน ใครจะคิดล่ะว่าหลังจากที่ท่านเสียชีวิตลงแล้ว บรรดาหญิงสาวของท่านก็ยังจะมาแลดูช่วงการตายของท่านให้อีก...” ในใจของเขารู้สึกหดหู่อย่างมากแต่เขาก็พยายามกดมันเอาไว้ไม่แสดงออกมาผ่านสีหน้าหรือท่าทาง
ทว่าจู่ ๆ เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นและเอื้อมไปแบกร่างของบิดาขึ้นไว้บนหลังโดยไม่สนสายตาที่มองมาอย่างแปลกใจขณะที่เดินออกจากที่พักตระกูลหยาง และเมื่อออกมาถึงหน้าที่พัก เขาก็ได้รับรถม้าและคำสั่งว่าต้องเป็นคนทำทุกอย่างเอง
และแล้ว เขาก็นำศพของบิดาออกจากเมือง…
ในขณะที่หยางเฉินตระเวนไปรอบ ๆ เขาก็ได้พบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติอันละลานตา
“ข้าคิดว่าที่แห่งนี้คงมีวิญญาณหญิงสาวสิงสถิตอยู่ไม่น้อย หากท่านยังเจ้าชู้เช่นเดิมแม้จะตายไปแล้ว เช่นนั้นท่านก็หาแม่คนที่สองหรือสามให้ข้าเลยแล้วกัน ยังไงซะ สภาพแวดล้อมที่นี่ก็สวยงามข้าจึงเห็นว่านี่น่าจะเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับให้ท่านไว้ใช้หลับไหลไปชั่วนิรันดร์… อ้อ และข้าอยากให้ท่านรู้ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้า ‘หยางเฉิน’ ก็เป็นบุตรชายของท่าน เลือดเนื้อครึ่งหนึ่งของข้าก็ได้รับมาจากท่าน เวลานี้ธรรมชาติได้พรากท่านไปแล้วซึ่งมันเร็วเกินไป ข้ายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณของท่านเลย สิ่งที่ข้าจะทำให้ท่านได้จึงมีแต่การฝังท่านไว้ในที่แห่งนี้ หากท่านมีอำนาจหรือพลังวิเศษใด ๆ เมื่อท่านกลายเป็นวิญญาณ ได้โปรดคุ้มครองข้า ปกป้องข้า ให้พรข้า เพื่อให้ข้ายังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้...”
เขาบรรจงวางร่างบิดาของตนเองไว้บนผืนดินเบา ๆ ขณะที่ก้มลงมองใบหน้าดำสนิทที่มัวหมองของบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจและอึ้งไปชั่วขณะเพราะเห็นน้ำตาใส ๆ ไหลรินอาบแก้มของผู้เป็นบิดา
หยางเฉินรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของบิดาโดยปราศจากคำพูดใด ๆ จากนั้นก็ลงมือขุดหลุมฝังศพอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง แม้ว่าเขาจะไม่เคยเรียนรู้หรือฝึกฝนการต่อสู้มาก่อนแต่เขาก็มีพรสวรรค์ที่อยู่ในตัวเอง หลังจากที่เขาฝึกฝนร่างกายในหลายปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้รับการฝึกอย่างถูกวิธีตามตำราต่าง ๆ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ นั่นทำให้เขาไม่ได้อ่อนแอเลย แน่นอนว่าการขุดหลุมขนาดใหญ่ในครั้งนี้ย่อมไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ ต่อเขา
และขณะที่เขากำลังจะนำร่างของบิดาฝังลงไปในหลุมนั้น จู่ ๆ หลงฉิงหลานก็ลืมตาขึ้นมา !
“เฮ้ย !...” หยางเฉินร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจ แวบหนึ่งเขาคิดว่าบิดาของตัวเองอาจจะยังไม่ตายแต่ด้วยความตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว แม้จะเป็นบิดา เขาก็ยังผลักร่างนั้นลงไปในหลุมทันที
หยางเฉินมองไปยังร่างที่กลิ้งลงไปในหลุมโดยยังอยู่ในอาการตื่นตระหนกตกใจ เขาลุกลี้ลุกลนมากทว่าก็ยังรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นมาได้ “ทะ... ท่านพ่อ ข้าไม่ได้พูดอะไรให้ร้ายหรือกล่าวหาท่านในทางไม่ดีเลย และวันนี้ข้าได้ขุดหลุงฝังศพให้ท่าน พาท่านออกมาจากที่ที่ไม่ต้องการเพื่อให้ท่านได้พักผ่อนอย่างสงบสุขตลอดกาล...”
ทว่าร่างของหลงฉิงหลานพลิกตัวกลับและตะโกนว่ากึ่งสาปแช่ง !! “ข้าคือบรรพชนรุ่นที่สิบแปดของเจ้า ข้ายังไม่ทันจะตายสนิทแต่เจ้าต้องการจะฝังข้าอย่างนั้นรึ ? ไอ้เด็กเวร เหตุผลที่ข้าต้องฟื้นคืนมามีชีวิตก็เพื่อให้ข้าได้บอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้ามีจี้หยกมังกรอยู่ในจุดตันเถียน หลังจากที่ข้าตาย ให้เจ้าเปิดจุดตันเถียนของข้าและเอาจี้หยกรูปมังกรไป หากทำเช่นนั้นข้าจะได้เป็นอิสระจากชีวิตนี้สักที !”
.
.
.
ติดตามตอนอื่น ๆ ได้ที่ : novelrealm