บทที่ 61 ถึงทวีปอรุณเบิกฟ้า
บทที่ 61 ถึงทวีปอรุณเบิกฟ้า
กุนหยูนอนตะแคงข้างเหม่อมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้าบนร่างของนกสัตว์อสูร ดวงอาทิตย์สีส้มปนแดงที่เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นสีเฉกเช่นเดียวกับมันมองดูแล้วงดงามเพลินตายิ่ง หากเป็นผู้คนทั่วไปคงมองมันด้วยความสวยงามดื่มด่ำไปกับธรรมชาติ ทว่าสำหรับชายหนุ่มแล้วมันเหมือนสีของโลหิตสดๆที่กำลังแต่งเติมน่านฟ้าให้งดงามในรูปแบบของมัน!
4 เดือนผ่านไป
ยามนี้กุนหยูได้มาถึงพื้นที่ของทวีปอรุณเบิกฟ้าแล้ว สายตาจ้องมองลงไปยังเบื้องล่างทำให้เห็นเมืองเล็กๆที่มีควันลอยคลุ้งขึ้นมา เสียงกรีดร้องมากมายดังระงมไปทั่ว เขารู้ได้ในทันทีว่าเมืองนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย กุนหยูควบคุมนกที่ขี่ให้มันร่อนลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
มีทหารสวมชุดเกราะสะท้อนแสงมากมายกำลังต่อสู้กับทหารสวมชุดเกราะสีดำซึ่งเป็นกองทัพของทวีปอรุณเบิกฟ้าอยู่อย่างชุลมุน
“อย่าให้เจ้าพวกทวีปทรายทมิฬหน้าโง่พวกนี้ ยึดเมืองนี้ไปได้!”
ทหารเกราะดำผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับยกดาบในมือขึ้นสูงอย่างองอาจ ดูจากท่าทางของมันแล้วคงจะเป็นหัวหน้าของทหารเหล่านี้
กุนหยูตัดสินใจจะช่วยเหลือพวกมัน นี่มิใช่ความเมตตาต่อคนเหล่านี้แต่อย่างใด แต่มันเกี่ยวข้องกับทวีปอรูณเบิกฟ้าของเขา แม้เมืองนี้จะเป็นแค่เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่สุดขอบของทวีปซึ่งไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากนัก แต่นี่ก็ทำเพื่อบิดาของเขา
ทหารของทางฝั่งอรุณเบิกฟ้าเหลือเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น มันถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพของทรายทมิฬที่มีจำนวนถึงห้าร้อยคน!
“ยอมจำนนซะ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะกลายเป็นดินให้พวกข้าเยียบตลอดไป!”
ทหารเกราะดำหัวล้านตัวใหญ่กล่าว มันยิ้มเยาะออกมาพร้อมกับหอกในมือของมันชี้มาทางฝั่งทหารอรุณเบิกฟ้า
“พวกข้าเกิดมาเป็นนักรบย่อมตายในสนามรบ ข้าไม่ยอมเป็นเฉลยศึกให้กับพวกเดรัจฉานอย่างพวกเจ้าเป็นอันขาด หากข้าตายก็ขอลากพวกเจ้าให้ตายไปมากที่สุดเท่าที่ทำได้!”
หัวหน้าทหารของทวีปอรุณเบิกฟ้ากล่าวอย่างทะนงเย่อหยิ่งองอาจ ทหารที่อยู่โดยรอบล้วนรู้สึกฮึกเหิมขึ้น พวกเขาต่างกู้ร้องตะโกนออกมาเพื่อหวังจะสู้จนตัวตาย แต่ขณะที่พวกเขาจะพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อแลกชีวิตอยู่นั้น ทุกคนพลันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากทิศทางหนึ่ง
ทุกคนต่างหันไปมองที่มาของแรงกดดันนี้ก่อนจะเห็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีที่แต่งตัวราวกับองค์จักรพรรดิ ใบหน้าอันคมคายนั้นแฝงไว้ด้วยชั่วร้ายที่ปิดไม่มิด รัศมีพลังแห่งความเกรี้ยวกราดบ้าคลั่งแผ่กระจายออกไปเป็นสายลมพัดผ่านใส่ทหารของฝั่งทวีปทรายทมิฬ
“ฮา ฮ่าๆๆๆ ข้าเห็นสวรรค์ด้วย มันอยู่ตรงหน้าข้า!”
“เจ้าอยู่ไหนไอตัวบัดซบ ข้าเกลียดเจ้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว!”
“อย่าทำร้ายข้าเลย ข้าจะฆ่าตัวตาย!”
ทุกคนที่สัมผัสกลิ่นอายพิเศษของกุนหยูต่างเป็นบ้าไปเสียหมด แต่ละคนเริ่มทำร้ายกันเอง บางคนถึงขั้นลงมือทำร้ายตัวเองด้วยซ้ำผ่านไปไม่นานพวกมันก็ตกตายไปจนหมดสิ้น
ฉากตรงหน้าทำให้ทหารทางฝั่งอรุณเบิกฟ้าล้วนรู้สึกขนหัวลุกและหวาดกลัวชายหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก ทว่าแต่ละคนต่างจับอาวุธในมือแน่นเป็นการบ่งบอกว่า จะยอมตายเพื่อแผ่นดินเสียดีกว่าอยู่อย่างอัปยศ!
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว! ข้าคือบุตรชายของท่านกุนจวิน!”
กุนหยูกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายชวนขนลุก สิ่งนี้ไม่ได้น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย แต่หากอีกฝ่ายต้องการสังหารหมู่พวกเขาแล้วละก็ คงไม่สามารถหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน
ทุกคนจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ละคนคิดว่าจะต้องต่อสู้กับปีศาจตนนี้เสียแล้ว!
“ท่านคือนายน้อย?”
หัวหน้าทหารกล่าวอย่างหวาดระแวง เพราะบุตรชายที่ตัวเขาได้ยินมานั้น เป็นคนที่สงบเยือกเย็นและมีบุคลิกอัธยาศัยดีน่าคบหา แต่ชายหนุ่มตรงหน้าของพวกเขามันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นิสัยใจคอดูโหดเหี้ยมอำหิตสามารถสังหารผู้คนได้โดยไม่ต้องรู้สึกรู้สาสิ่งนี้ทำให้ผู้คนไม่อยากเข้าใกล้ สีหน้าที่แสดงออกถึงว่าพวกเขาแค่มดกลุ่มเล็กๆนั้น มันยิ่งทำให้พวกเขาไม่แน่ใจ!
“จะเชื่อหรือไม่มันเรื่องของพวกเจ้า ข้าแค่บังเอิญผ่านทางมาก็เพียงเท่านั้น ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว!”
กุนหยูเอ่ยอย่างเย็นชาก่อนจะกระโดดขึ้นบนหลังนกสัตว์อสูรพร้อมกับสั่งให้มันบินจากไป เหล่าทหารทั้งหลายต่างมองชายหนุ่มที่อยู่บนท้องฟ้าแล้วโค้งตัวคำนับพลางกล่าวขึ้นอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณนายน้อยที่ช่วยชีวิต บุญคุณในครั้งนี้ข้าขอสาบานว่าจะจงรักพักดีต่อท่านผู้นำทวีปคนต่อไป!”
กุนหยูยิ้มออกมาอย่างแยแสขณะควบคุมสัตว์อสูรให้เร่งความเร็วให้ถึงขีดสุด จากการคาดเดาสถานการณ์โดยรวม สงครามตอนเริ่มแรกสู้กันที่พื้นที่กว้างรกร้าง แต่ตอนนี้ทางทวีปทรายทมิฬกลับสามารถมาโจมตีเมืองขนาดเล็กที่อยู่สุดชายแดนของทวีปอรุณเบิกฟ้าได้ มันบ่งบอกได้ว่าทวีปอรุณเบิกฟ้ากำลังเสียเปรียบ!
เมืองที่เขาช่วยไว้นั้นเป็นหนึ่งในเมืองขนาดเล็กที่มีถึงหลายพันเมือง ตัวเขาไม่สามารถช่วยได้ทุกเมือง แต่เมื่อผ่านมาเห็นหรือพบเจอก็ต้องช่วยเหลือ
กุนหยูใกล้มาถึงสำนักลิขิตสวรรค์แล้วคาดว่าคงใช้เวลาอีกไม่กี่วันคงจะไปถึง ระหว่างทางมีเมืองที่ถูกโจมตีจึงเข้าไปช่วยเมืองทุกครั้งที่พบเห็น
ในที่สุดชายหนุ่มก็มาถึงสำนักลิขิตสวรรค์ เขาใช้ป้ายหยกแสดงสถานะเพื่อเข้าไป เพราะไม่มีใครเคยเห็นกุนไท่ในร่างนี้มาก่อน
กุนหยูเดินมาถึงตำหนักของจ้าวสำนักลิขิตสวรรค์อย่างรวดเร็ว ทหารยามที่เห็นกุนหยูจึงเข้าไปขัดขวางโดยทันทีเนื่องจากพวกเขาจะไม่ยอมให้คนนอกย่างกรายเข้าไปโดยเด็ดขาด
“พวกเจ้าถอยไป!”
กุนหยูกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับปีศาจ เขาไม่อยากทำร้ายทหารยามที่คอยปกป้องตำหนักบิดาของตน
“เจ้าเป็นใคร กล้าถือดียังไงถึงได้กล้าบุกตำหนักท่านจ้าวสำนัก!”
ทหารยามคนหนึ่งกล่าว มันมีระดับบ่มเพาะถึงขอบเขตผู้เยี่ยมยุทธ์ ขั้นต่ำ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
ทันใดนั้นเสียงที่ทรงพลังดังขึ้น ปรากฏชายวัยกลางคนดูดีอยู่ในอาภรณ์สีขาวเปล่งรัศมีพลังอำนาจเขย่าฟ้าดิน!
“ท่านจ้าวสำนักมีคนคิดจะเข้ามาในตำหนักของท่าน!”
ทหารยามคนนั้นกล่าวด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุดก่อนจะชี้ไปที่กุนหยู เมือกุนจวินมองเห็นกุนหยูพลันรู้สึกตกใจและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ความดีใจจะฉายผ่านใบหน้าที่ได้เห็นบุตรชายของตนอีกครั้ง เขาหันไปหาทหารยามแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นสหายของกุนไท่เองเจ้าไม่ต้องกังวล ต่อไปนี้หากเขาจะเข้ามาก็ปล่อยผ่านมาได้เลย!”
ทหารยามคนหนึ่งรู้สึกว่าตนเองทำผิดแล้ว แล้วหันไปกล่าวขออภัยกับชายหนุ่มด้วยความสำนึกผิด กุนหยูไม่อยากเสวนาด้วยจึงพยักหน้ารับก่อนจะตามกุนจวินไป