ตอนที่ 52: การยอมรับอย่างหนักแน่น—ตอนปลาย
“นี่คือความจริงครับ, องค์จักรพรรดิ เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของลูกสาวข้าเอง, และมันก็ถือเป็นความผิดของข้าด้วยที่ไม่จับตาดูเธอให้ดี”
ในตอนที่ผู้กล้าหาญไปประชุมเรื่องแนวทางการเคลื่อนไหวในอนาคตกับคณะรัฐมนตรี, เขาก็คุกเข่าขอขมาและพูดแบบนั้นกับองค์จักรพรรดิ
เอลน่าเองก็กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆเขา
ซึ่งพวกรัฐมนตรีก็เอาแต่บ่นอัลเป็นการตอบสนอง
“ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ควรจะพูดออกมาตั้งแต่แรกสิ......”
“เกียรติของบ้านผู้กล้าหาญสำคัญอยู่ก็จริงแต่เกียรติของราชวงศ์นั้นสำคัญกว่า! แต่ในเมื่อพวกเราประกาศต่อหน้าทูตไปแล้วว่ามันเป็นความผิดของเขา, ตอนนี้พวกเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว!”
“เรื่องมันซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมแล้วสิ.....พวกเขาจะต้องใช้ข้อได้เปรียบจากเรื่องนี้เพื่อสร้างความอับอายให้กับราชวงศ์ของเราแน่ๆ ถ้าความผิดของลูกสาวเป็นความผิดของผู้กล้าหาญ, ความผิดของเจ้าชายก็ถือเป็นความผิดของจักรพรรดิเช่นกัน ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจตรงจุดนี้นะ!?”
“มันเป็นความผิดของเจ้าชายอาร์โนลด์มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไงเพราะเขาเป็นคนที่คลานเข้าไปในท่อระบายนั่น แค่ตรงนั้นมันก็ถือเป็นปัญหาแล้ว! นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่กันนะ! ให้ตายสิ!”
“นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องอัญมณีถูกทำลายอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันมีประเด็นที่ว่าสมาชิกของราชวงศ์เป็นคนทำมันพังด้วย พวกเราไม่สามารถแย้งอะไรกลับไปได้แล้วต่อให้พวกเขาไม่อยากจะเป็นพันธมิตรกับพวกเราอีกแล้วก็ตาม!”
พวกเขาทุกคนกำลังตำหนิอัล
เอลน่าอยากจะพูดว่ามันไม่ใช่แบบนั้นและทั้งหมดมันเป็นความผิดของเธอแต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในจุดที่จะพูดแบบนั้นได้
และนี่ก็คือสาเหตุที่เอลน่าทนฟังด้วยน้ำตาที่คลอเต็มเบ้าตาของเธอ
เมื่อเห็นเอลน่าในสภาพนี้, จักรพรรดิก็ถอนหายใจ
“ข้ารู้ว่าอาร์โนลด์พยายามจะปกป้องใครซักคนอยู่แต่ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกสาวของผู้กล้าหาญ”
“ท่านรู้หรอครับ? องค์จักรพรรดิ?”
จักรพรรดิพยักหน้าให้กับคำถามของผู้กล้าหาญ
“นี่คือกล่องอัญมณีที่มีการติดตั้งเวทมนตร์ป้องกันเอาไว้ ไม่ว่าจะใช้ดาบที่เยี่ยมยอดขนาดไหน, อาร์โนลด์ก็คงจะผ่ามันจนแหกออกมาแบบนี้ไม่ได้หรอก นี่คือสาเหตุที่ข้าพยายามจะยืนยันกับเขา แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ยังยืนกรานว่าเป็นฝีมือของเขา และถึงยังไง, ข้าก็ไม่สามารถให้เขาพูดออกมาต่อหน้าทูตได้ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่ามันเป็นความผิดของเขา”
จักรพรรดิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเอนตัวพิงบัลลังก์ของเขา
แผนแรกพังซะแล้ว ต่อให้เตรียมอัญมณีอีกชิ้น, โซคัลก็อาจจะไม่ยอมรับมัน เจ้าชายคนนั้นจะต้องใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองเพื่อขอเหมืองจากพวกเราแน่ๆ
นี่คือเหตุผลที่ทำไมทูตถึงบอกปัดข้อเสนอที่จะขอสืบสวนเรื่องนี้ตรงจุดที่เกิดเหตุเลย เขาจะไม่ยอมเชื่อผลลัพธ์ต่อให้พวกเราบอกความจริงไปว่าเป็นฝีมือของเอลน่าก็ตาม ฉันมองสิ่งที่เขากำลังคิดออก
ตราบใดที่ยังมีความจริงที่ว่าอัลอยู่ตรงนั้น, ก็ไม่มีลูกไม้อื่นให้เล่นแล้ว เพราะเขารู้ว่า, จักรพรรดิจับอัลขังคุก
“ก็ประมาณนี้แหล่ะนะ ข้าขอโทษด้วยแต่มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกต่อให้เอลน่ายอมรับผิดด้วยตัวเองก็ตาม ตอนนี้, พวกเราไม่สามารถปล่อยอัลให้เป็นอิสระได้”
“แบบนั้นไม่ได้นะคะ.........!”
เอลน่าพูดโพล่งออกมาอย่างกระทันหัน
สายตาของทุกคนหันไปมองเอลน่า
ในการเผชิญกับสายตาที่เย็นชาของผู้ใหญ่นั้น, เอลน่ารู้สึกกลัวแต่เธอก็ไม่ได้หลบตาเลย
และในขณะนั้นเอง, ผู้หญิงคนนึงก็เข้ามาในห้อง
“มองเด็กด้วยสายตาแบบนั้นมันไม่ดีนะคะรู้ตัวรึเปล่า?”
คนที่พูดก็คือผู้หญิงผมสีดำในชุดเดรสสีดำ
เธอคือภรรยาลำดับหกของจักรพรรดิเช่นเดียวกับแม่ของอัล, มิทสึบะ
วังก็มีที่ตั้งเยอะแยะ, ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
นี่คือสิ่งที่บ่งบอกจากสีหน้าของรัฐมนตรี
ถ้าลูกชายของเธอถูกจับเข้าคุก, มันก็แน่อยู่แล้วที่เธอจะเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม, มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด, มิทสึบะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยและตรงไปหาเอลน่าเป็นคนแรก
“เจ้าคือลูกสาวของผู้กล้าหาญสินะ?”
“ค, ค่ะ.....”
“เด็กดี, เจ้าถือว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์นะ ข้าคิดว่าอัลคงจะพอใจแล้วหล่ะที่ได้รู้ว่าเขาจะต้องติดคุกแทนเจ้า”
ในขณะที่พูด, มิทสึบะก็ยิ้มแล้วลูบศรีษะของเอลน่า
สายตาของพวกรัฐมนตรีเบิกกว้างกับฉากที่เห็นในขณะที่จักรพรรดิทำได้แค่ยิ้มอย่างยอมใจ
“ท, ท่านมิทสึบะ.....ท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดเรื่องของเจ้าชายอาร์โนลด์หรอครับ?”
“ข้าแค่มาที่นี่เพราะถูกเรียกมา ข้าไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องของอัลหรอก เด็กคนนั้นทำไปด้วยการตัดสินใจของตัวเองเพื่อเด็กคนนี้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่ที่เขาจะต้องได้รับโทษแทนเด็กคนนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าถ้าเกิดเขาทำแบบนั้นมันก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องผ่านพ้นมันไปด้วยตัวเอง”
“ง, งั้นหรอครับ.....”
“อีกอย่าง, ถ้าข้าขอให้ฝ่าบาทยกโทษให้แล้วฝ่าบาทจะยอมปล่อยตัวอัลหรอคะ? ถึงแม้ว่าเขาจะตัดสินใจปกป้องเด็กสาวด้วยตัวเอง, แต่ถ้ามันจบลงที่การถูกแม่ช่วยเอาไว้, ศักดิ์ศรีของเด็กคนนั้นคงจะเสียหายแย่เลยไม่ใช่หรอ? มันคือการตัดสินใจของเขาว่าจะช่วยเด็กสาวคนนี้ ความดีความชอบนี้เป็นของเขาเพียงผู้เดียว ข้าไม่คิดที่จะไปแย่งชิงความสำเร็จของเด็กคนนั้นหรอก ยิ่งไปกว่านั้น, ต่อให้อัลรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่ข้างในคุกข้าก็คิดว่ามันจะเป็นผลดีกับตัวเขาเอง เขาต้องรู้ว่าการช่วยเหลือผู้คนไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำแบบครึ่งๆกลางๆได้และด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้, เขาก็น่าจะตระหนักได้ด้วยว่าสภาพแวดล้อมที่เขาใช้ชีวิตอยู่นั้นมีความพิเศษขนาดไหน”
เหล่าคณะรัฐมนตรีปิดปากเงียบหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของมิทสึบะที่บอกได้เลยว่าสั่นสะท้าน
การที่สามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ขนาดนี้ทั้งๆที่ลูกชายของเธอ, แถมยังเป็นเจ้าชาย, ถูกจับเข้าคุกนั้น, ทำให้พวกเขาทุกคนคิดว่ามิทสึบะผิดปกติ
ภรรยาส่วนใหญ่ที่รัฐมนตรีรู้จักนั้นล้วนรักลูกจนเกินเหตุ, พวกเธอคิดแค่ว่าลูกของพวกเธอน่ารักที่สุด
“ข้าเป็นคนเรียกมิทสึบะมาที่นี่เอง เอาจริงๆข้าคิดว่าจะปล่อยตัวอาร์โนลด์ออกจากคุกนะถ้าเจ้าขอร้อง”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ข้าปล่อยให้เด็กคนนั้นใช้ชีวิตตามใจชอบมาโดยตลอด เขามักจะพูดว่าทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง เขามักจะละเลยเรื่องการเรียนและออกไปเที่ยวเล่นด้วยความตั้งใจของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คือทางเลือกของเด็กคนนั้นที่จะไม่รับความรู้เพิ่มเติม มันคือผลที่ตามมาจากการกระทำของเขาที่จะต้องถูกคนอื่นตำหนิและดูถูกดูแคลน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เขาเคลื่อนไหวด้วยการตัดสินใจของตัวเองและผลลัพธ์ก็คือ, เขาสามารถปกป้องเด็กคนนี้เอาไว้ได้แล้วถูกจับเข้าคุก ทุกความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้มันคือสิ่งที่เขาต้องแบกรับ”
“เห้อ....นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าไม่ควรปล่อยตัวเขาสินะ”
จักรพรรดิเกาศรีษะด้วยความรู้สึกลำบากใจ
ในฐานะจักรพรรดิ, เขาไม่สามารถยอมผ่อนปรนให้ลูกของตัวเองได้ นี่คือสาเหตุที่เขาเรียกแม่ของลูก, เรียกมิทสึบะมาที่นี่ ด้วยการขอร้องโดยตรงจากมิทสึบะ, เขาก็จะสามารถทำเป็นว่าการที่ต้องปล่อยตัวเขานั้นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม, ความจริงในตอนนี้ก็คือจักรพรรดิอยากจะยกโทษให้ลูกของเขาในขณะที่มิทสึบะบอกเขาว่าห้ามทำแบบนั้น
นี่คือสิ่งที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับภรรยาคนอื่นๆ
“ท่านมิทสึบะ, โปรดอภัยให้ข้าด้วยแต่มันเป็นเพราะแนวทางการสั่งสอนของท่านที่พาเรามาเจอกับสถานการณ์นี้, ข้าเข้าใจดีว่าอิสระนั้นเป็นสิ่งสำคัญแต่ในอนาคตข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยลดอิสระขององค์ชายลงหน่อย”
“มีปัญหาอะไรหรอคะ? พวกเราก็แค่เตรียมอัญมณีอีกชิ้นให้ทูตของโซคัลไม่ได้หรอ? เมื่อเทียบกับเจ้าชายและเจ้าหญิงคนอื่นๆแล้ว, อัลไม่ได้ใช้เงินส่วนตัวเยอะขนาดนั้น ตอนนี้กับแค่อัญมณีชิ้นเดียวคงไม่แพงขนาดนั้นหรอกมั้งคะ”
รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่พูดแสดงความคิดเห็นออกมามีสีหน้าไม่พอใจ
มีรัฐมนตรีและขุนนางหลายคนที่เหยียดว่ามิทสึบะเป็นแค่นักเต้น พวกเขาอาจจะทำตัวสุภาพที่ภายนอกแต่ในใจลึกๆนั้น, พวกเขาคิดว่าเธอก็แค่ตกถังข้าวสาร
ถ้ามิทสึบะหัดเจียมเนื้อเจียมตัวมากกว่านี้, รัฐมนตรีก็คงจะสามารถตอบสนองกับเธอได้ด้วยรอยยิ้ม แต่มิทสึบะไม่ใช่ผู้หญิงที่จะพึ่งพาการประจบ”
“นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินนะครับ ปัญหาในตอนนี้ก็คือว่าทูตของทางนั้นจะไม่พอใจกับแค่อัญมณีอีกแล้ว”
“ถ้างั้นก็ให้เขากลับไปเถอะค่ะ”
“เห้อ....ให้ตายเถอะ มันเป็นความผิดของข้าเองที่เอาเรื่องการเมืองมาพูดกับท่านมิทสึบะ”
คำพูดพวกนี้ใกล้เคียงกับการสบประมาทภรรยาต่อหน้าองค์จักรพรรดิ
ฟรานซ์กำลังจะเตือนสติรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่พูดเกินไปแต่จักรพรรดิก็ยกมือขึ้นเพื่อห้ามเขา
จากนั้นเขาก็มองมิทสึบะราวกับกำลังเพลิดเพลินกับการแสดงนี้
“การเมืองหรอคะ แน่นอนค่ะว่าตัวข้านั้นไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองซักเท่าไหร่ แต่ถ้าข้าเป็นท่านข้าก็คงจะไม่เข้าร่วมสงครามด้วยมุมมองที่ห่วยแตกแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ราชรัฐอัลบราโทรจะสนับสนุนจักรวรรดิเพเลอรินจากทางทะเลอย่างแน่นอนถ้าพวกเราเลือกทำสงครามกับพวกเขา พวกเราอาจจะสามารถตัดเส้นทางเสบียงของพวกเขาได้หลายครั้งแต่ถ้าพวกเขาเติมเสบียงใหม่ผ่านทางทะเลหล่ะก็มันก็จะทำให้ความพยายามของพวกเราสูญเปล่า แต่เดิมนั้น, พวกเราควรจะทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับจักรวรรดิโซคัลก่อนเพื่อที่พวกเราจะได้ตรวจสอบอัลบราโทรให้ละเอียดผ่านทางการทูต ในมุมมองของข้าถ้าไม่เตรียมตัวให้ได้ขนาดนั้นข้าก็คงไม่กล้าประกาศสงครามกับเพเลอรินหรอกค่ะ”
“หน่ะ, นั่นมัน......”
“แน่นอนค่ะว่า, นี่คือสิ่งที่คนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเมืองอย่างข้าสามารถเข้าใจได้ และแน่นอนว่ารัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่ฉลาดหลักแหลมของพวกเราจะต้องรู้ความจริงพวกนี้อยู่แล้ว มันคงเป็นเรื่องปกติ, ที่สถานการณ์แบบนี้น่าจะอยู่ในการคาดการณ์ของท่าน มันไม่มีทางที่รัฐมนตรีที่ฉลาดหลักแหลมอย่างท่านจะบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสดงท่าทีที่อ่อนแอกับจักรวรรดิโซคัลหรอกค่ะ จะว่าไป, ท่านช่วยสอนคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเมืองอย่างข้าถึงวิธีที่พวกเราจะสามารถกู้สถานการณ์นี้ให้หน่อยได้ไหมคะ?”
“.......ข, ข้าก้าวล่วงเกินไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้ด้วยครับ.......”
พอพูดจบรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศก็ก้มหน้า
รัฐมนตรีที่อยู่รอบๆนั้นครึ่งนึงรู้สึกสงสารเขาในขณะที่อีกครึ่งดูถูกเขาสำหรับพฤติกรรมโง่ๆนี้
มันเป็นธรรมดาที่มิทสึบะซึ่งเคยเดินทางมาหลายประเทศจะมีความรู้ที่พิเศษกว่าภรรยาคนอื่นๆ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องให้ใครมาคอยปกป้อง ถ้าเกิดคิดว่าเธอเหมือนกับภรรยาคนอื่นๆก็เตรียมรอรับการตอบโต้แบบนี้ได้เลย
จักรพรรดิพยักหน้าอย่างมีความสุขให้กับการตอบโต้ที่คมกริบของมิทสึบะ
อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้ฝีปากของมิทสึบะได้เปลี่ยนไปหาจักรพรรดิแทน
“ฝ่าบาท, นี่ถือว่าเป็นโอกาสดีเพราะฉะนั้นข้าขอพูดเลยนะคะ”
“อ, อืม.....อะไรหรอ?”
“ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นจักรพรรดิหน่อยเถอะค่ะ ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าข้ากลายเป็นภรรยาของคนที่ต้องมาลำบากใจกับปัญหาของประเทศอื่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
จักรพรรดิขมวดคิ้วให้กับคำพูดที่รุนแรงของเธอในขณะที่ฟรานซ์เอามือก่ายหน้าผากอยู่ข้างๆเขา
เพื่อพวกเขาทั้งสองคน, มิทสึบะจึงพูดต่อ
“การส่งอัญมณีให้จักรวรรดิโซคัลเป็นแค่มาตรการซื้อเวลามาตั้งแต่แรกแล้วถูกไหมคะ?”
“ใช่แล้วครับ, ท่านมิทสึบะ”
“มันก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีสำหรับสภาวะของจักรวรรดิแต่การทูตที่อ่อนแอสามารถทำให้ศัตรูของเราเหลิงได้นะคะ ในยุคของฝ่าบาทจักรวรรดิของเราไม่เคยทำลายจุดยืนที่แสดงถึงความเหนือกว่า ข้าเกรงว่าการแสดงท่าทีที่อ่อนแอแบบที่ทำอยู่ในตอนนี้จะสร้างความเข้าใจผิดที่ว่าพวกเราอ่อนแอลงไม่ใช่หรอคะ?”
“มันก็ใช่อยู่หรอกแต่จนกว่ากว่าพวกเราจะสามารถทำข้อตกลงพักรบกับเพเลอรินได้, พวกเราก็ทำอะไรกับโซคัลได้ไม่มากนัก”
“ถ้างั้นพวกเราก็ควรรีบส่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศออกไปทำข้อตกลงพักรบให้เสร็จสิ้นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่กำลังหงอยอยู่สะดุ้งด้วยความตกใจ
‘อย่าบอกข้านะว่าเจ้าทำไม่ได้’ คำขู่นี้สามารถรู้สึกได้จากคำพูดของมิทสึบะ มันคือหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศในการรักษาความปลอดภัยของสายการทูตกับประเทศศัตรูแม้ว่าสงครามจะปะทุขึ้นแล้วก็ตาม
“ถ้าทำแบบนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่เพเลอรินจะใช้ประโยชน์จากเรานะครับ”
“มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์มันเละเทะแบบตอนนี้ การทำลายสายเสบียงทางทะเลของเพเลอรินเป็นงานที่ยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น, เพเลอรินคงไม่พยายามใช้ประโยชน์จากพวกเราหรอก ถ้าพวกเราแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเรายึดมั่นในจุดยืนของพวกเรา, พวกเขาก็คงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเราเหมือนกัน”
“จุดยืนหรอ?”
“สิ่งที่ข้าพยายามจะสื่อก็คือจุดยืนของพวกเราในการคุ้มครองกึ่งมนุษย์ พวกเราประกาศจุดยืนนี้ออกไปแล้วในตอนที่ฝ่าบาทยอมรับคนแคระเข้ามาในจักรวรรดิ เหตุผลที่จักรวรรดิอยากจะพักรบเป็นการด่วนก็เพื่อปกป้องกึ่งมนุษย์ ถ้าพวกเขาอยากใช้ประโยชน์จากพวกเราทั้งๆที่รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว, ความไม่พอใจก็จะเพิ่มขึ้นจากทั้งข้างในและข้างนอกจักรวรรดิเพเลอริน”
นี่คือสิ่งที่มิทสึบะซึ่งเคยเดินทางมาหลายประเทศสามารถยืนยันได้
จักรวรรดิโซคัลนั้นมีกึ่งมนุษย์อยู่ไม่มากในขณะที่ประชากรกลุ่มใหญ่ของจักรวรรดิอาเดรเซียกับจักรวรรดิเพเลอรินเป็นกึ่งมนุษย์ ตราบใดที่ยังเป็นเช่นนี้, ก็มีแค่เส้นทางเดียวที่ทั้งสองประเทศสามารถเลือกได้ในตอนที่การตัดสินใจของพวกเขาคาบเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของกึ่งมนุษย์
“ฝ่าบาทตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่หรอว่าจะปกป้องกึ่งมนุษย์ ทำไมตอนนี้ท่านถึงอยากจะเปลี่ยนใจซะหล่ะ?”
“นั่นก็เพื่อจักรวรรดิของเรา”
“ถ้าท่านคิดถึงจักรวรรดิจริงๆท่านก็ควรทำตัวให้เป็นจักรพรรดิที่แข็งแกร่งค่ะ ฝ่าบาท, บางทีพวกเด็กๆก็ฉลาดกว่าผู้ใหญ่นะคะ อัลคงจะคิดอะไรเยอะแยะก่อนที่เขาจะตัดสินใจช่วยเด็กคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจักรวรรดิ, เรื่องของฝ่าบาท, และเรื่องของเด็กสาวที่กำลังร้องไห้อยู่ในขณะนั้น เขาตัดสินใจว่าจะรับคำตำหนิทุกอย่างหลังจากที่เขาพิจารณาทั้งหมดนี้ แผนการของฝ่าบาท, และความเสียหายที่เขาจะสร้างให้กับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ทั้งสองสิ่งนี้คือสิ่งที่เจ้าชายต้องคำนึงถึง แต่ว่า, ในฐานะเจ้าชาย, และในฐานะผู้ชายคนนึง, เขาก็ได้ตั้งปณิธานมั่นและเลือกที่จะฝ่าฟันมัน แม้ว่าผู้คนจะตำหนิเขา, แต่ข้าอยากจะสรรเสริญเขาค่ะ เพราะเขาได้แสดงให้ข้าเห็นถึงศักยภาพในฐานะเจ้าชาย เขายอมรับผลในสิ่งที่เขาตัดสินใจ นี่คือสิ่งที่สำคัญสำหรับเจ้าชาย และมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับจักรพรรดิ ไม่มีอะไรที่ลูกชายของท่านทำได้แล้วท่านจะทำไม่ได้หรอกนะคะ, ฝ่าบาท”
ในการตอบสนองต่อคำพูดของมิทสึบะ, จักรพรรดิได้เงยหน้ามองเพดานอยู่พักนึง
จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
ริ้วรอยที่อยู่บนหน้าของเขาตั้งแต่ตอนที่ประเทศของคนแคระถูกบุกรุกได้หายไปจากใบหน้าของเขาในที่สุด
ตอนนี้เขาถูกปลดปล่อยออกจากโซ่ที่พันธนาการเขาแล้ว
ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะคำพูดของภรรยาและการกระทำของลูกชายของเขา
“ฟรานซ์ มีอะไรจะคัดค้านรึเปล่า?”
“ข้ายังแนะนำว่าควรเลือกตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า.....แต่ข้าก็เข้าใจดีว่านี่มันขัดต่อหลักการของท่านครับ, ฝ่าบาท”
“อืม เหมือนกับที่มิทสึบะพูดนั่นแหล่ะ, อัลตั้งปณิธานมั่นและเลือกที่จะฝ่าฟันมัน ข้าอยากจะยอมรับและตระหนักถึงปณิธานของเขา ถ้าไม่ใช่ข้ากับมิทสึบะแล้วจะเป็นใครได้หล่ะ? จะมีใครอีกที่จะตระหนักถึงปณิธานนั้นของเขาได้? พวกเราเป็นพ่อแม่ของเขา ดังนั้นพวกเราก็ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง ไม่มีลูกคนไหนที่จะจดจำพ่อที่ไล่ตามลูกชายของตัวเองไม่ทันหรอก ทั้งในฐานะพ่อและในฐานะจักรพรรดิ, ข้าจะแสดงให้เขาเห็นถึงตัวตนที่เขาสามารถภาคภูมิใจได้เอง”
จักรพรรดิพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เปล่งปลั่ง
ถัดจากเขา, ฟรานซ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมมาตรการระมัดระวังล่วงหน้าเอาไว้มากมาย, แต่มันก็ยังจบลงแบบนี้
ฟรานซ์มองมิทสึบะด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูกแต่ในตอนนั้นมิทสึบะก็ได้หันกลับไปแล้ว
พอเห็นตัวตนแบบนั้น, ฟรานซ์ก็พึมพำออกมา
“ฝ่าบาท ข้ารับมือกับท่านมิทสึบะไม่ไหวจริงๆครับ......”
“บังเอิญจังเลยนะ, ข้าเองก็เหมือนกัน........”
“แล้วทำไมท่านถึงยังรับเธอมาเป็นภรรยาอีกหล่ะครับ.....?”
“ข้าคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดี.....และดูเหมือนว่าข้าจะมองไม่ผิดนะ”
ด้วยการพยักหน้าอย่างพึงพอใจ, จักรพรรดิก็ลุกขึ้น
จากนั้น, เขาก็เริ่มออกคำสั่ง
“เรียกรวมหัวหน้าอัศวินหลวงทุกคน ผู้กล้าหาญตอนนี้กลับไปได้แล้วหล่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น, ข้าจะเรียกตัวเจ้าในทันที”
“ครับ, ฝ่าบาท”
“อ้อ, แล้วก็พาตัวอัลมาที่นี่ด้วย ข้าต้องแสดงให้เขาเห็นว่าตัวตนของจักรพรรดินั้นเป็นยังไง”
จักรพรรดิแสยะยิ้ม
ด้วยความตกใจกับท่าทีที่เหมือนกับเด็กของจักรพรรดิ, ฟรานซ์ก็เริ่มเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเขา
...
จักรพรรดิและเหล่ารัฐมนตรีของเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าหัวหน้าอัศวินที่จัดแถวอยู่ในห้องบัลลังก์
เมื่อถูกล้อมด้วยอัศวินที่น่าภาคภูมิใจของจักรวรรดิ, ทูตจึงถามขึ้นมาอย่างกังวล
“ฝ, ฝ่าบาท.....นี่ท่านอยากจะปรึกษาเรื่องอะไรกันแน่ครับ......?”
“อืมม ก่อนหน้านี้ลูกของข้าได้ทำเรื่องเสียมารยาทกับเจ้าไป และเพื่อเป็นการขอโทษสำหรับเรื่องนั้น, พวกเราก็เลยเตรียมอัญมณีอีกชิ้นนึงให้เจ้า ข้าอยากให้เจ้ารับมันแล้วนำกลับไปที่ประเทศของเจ้า”
“เรื่องนี้เองสินะครับ.....ฝ่าบาท, ก็จริงอยู่ที่ประเทศของข้าต้องการอัญมณี แต่ว่า, พวกเราได้มาจำนวนนึงแล้วจากประเทศของคนแคระ สิ่งที่พวกเราต้องการในตอนนี้ก็คือทักษะและเทคนิคในการสร้างของพวกเขา ช่วยส่งตัวคนแคระมาให้ข้าซักคนเถอะครับ หรือถ้าเป็นไปไม่ได้พวกเราก็อยากจะขอสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกัน ไม่อย่างนั้น, ข้าเองก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากกลับไปบอกประเทศของข้าว่าจักรวรรดิไม่คิดญาติดีกับโซคัล”
“อืมม....ถ้างั้นก็กลับไปบอกได้เลย”
“......ครับ?”
ทูตที่มีความมั่นใจในตัวเองจนเกินไปไม่สามารถทำความเข้าใจกับคำพูดของจักรพรรดิได้อยู่พักนึง
อย่างไรก็ตาม, หลังจากได้รับสายตาที่คมกริบจากจักรพรรดิ, เขาก็เข้าใจเจตจำนงของจักรพรรดิในทันที
“.....ท่านกำลังจะบอกว่าท่านยอมที่จะเป็นศัตรูกับจักรวรรดิของเราหรอครับ?”
“ใช่แล้ว จักรวรรดิไม่ได้มีนิสัยชอบเตะคนที่อยู่ในประเทศออกไปในตอนที่พวกเขาได้รับการยอมรับแล้ว ถ้าเจ้าไม่พอใจกับอัญมณีจะต่อรองอะไรอีกก็คงไม่มีความหมาย”
“.....ข้ารู้ว่าตอนนี้จักรวรรดิกำลังอยู่ในระหว่างการทำสงครามกับเพเลอรินอยู่ ข้าว่าการเลือกเป็นปฏิปักษ์กับพวกเราแบบนี้เป็นความคิดที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นะครับ”
นี่คือการบลัฟ
และทูตก็กำลังชี้ให้เห็น
พวกเขาแข็งแกร่งก็จริงอยู่แต่ตอนนี้พวกเขาไม่น่าจะสามารถเริ่มสงครามกับอีกประเทศนึงได้หรอก
นี่คือสิ่งที่ทูตคิดดังนั้นเขาจึงยังมีสีหน้าสบายใจอยู่
อย่างไรก็ตาม,
“ข้าได้ให้คนส่งสารไปทำข้อตกลงสงบศึกกับทางนั้นแล้ว มันเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องกึ่งมนุษย์ ซึ่งทางนั้นก็น่าจะเข้าใจเจตจำนงของเรา”
“ไม่มีทางหน่า.....”
“ถ้าข้าไม่พูดตรงๆเจ้าคงจะไม่เข้าใจสินะ? ก็ได้ คนที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศของข้าถือว่าเป็นประชาชนของข้า คนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของจักรวรรดิของข้าในตอนนี้ก็คือเหล่าคนที่ข้าต้องปกป้อง ข้าจะไม่ส่งพวกเขาคนไหนออกไป ถ้าเจ้าอยากได้ตัวพวกเขาก็เชิญลองเข้ามาชิงตัวได้เลย แต่ถ้าเจ้าทำแบบนั้นเมื่อไหร่ข้าก็จะถือว่าเจ้าได้ทำการตัดสินใจมาดีแล้ว และข้าก็จะเป็นคนนำทัพอัศวินหลวงที่อยู่ที่นี่เพื่อต่อสู้กับเจ้าด้วยตัวเอง”
เหงื่อหยดลงมาอาบแก้มของทูต
อัศวินหลวงของจักรวรรดิ ถ้าจักรพรรดิบอกว่าเขาจะนำทัพนักรบที่ไร้คู่ต่อสู้นี้ด้วยตัวเองมันก็หมายความว่าจักรวรรดิเอาจริง
ไม่ว่าจะส่งผู้ส่งสารไปหาเพเลอรินมากแค่ไหน, มันก็คงไม่มีผลในทันที ในระหว่างนั้น, ถ้าจักรวรรดิโซคัลคิดจะโจมตี, พวกเขาก็จะถูกบังคับให้รับสงครามจากสองด้าน
อย่างไรก็ตาม ,จักรพรรดิบอกว่าเขาเต็มใจที่จะทำแบบนั้น
“.....นี่ท่านจะส่งบ้านผู้กล้าหาญมาด้วยรึเปล่า?”
“แน่นอน”
“.....ข้าไม่รู้หรอกนะว่าประเทศอื่นจะว่ายังไงบ้างถ้าท่านใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ตามอำเภอใจแบบนี้”
“มันเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องกึ่งมนุษย์ แค่นี้ก็มีเหตุผลอยู่ในตัวแล้ว ต่อให้พวกเราใช้สมบัติของมนุษย์ชาติอย่างดาบศักดิ์สิทธิ์ที่นี่, ประเทศอื่นก็คงไม่บ่นอะไรหรอก, ต่อให้พวกเราใช้มันเพื่อนำความวิบัติไปสู่จักรวรรดิโซคัลก็ตาม”
ถ้าพวกเขาคิดจะทำมันพวกเขาก็จะทุ่มสุดตัว จักรพรรดิกำลังพูดกับทูตด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำลายจักรวรรดิโซคัล
ในขณะที่ถูกจักรพรรดิกดดัน, ทูตก็เริ่มพูดอย่างเจ็บแสบ
“ท่านได้เสียใจกับเรื่องนี้แน่.....!!”
“อย่ามาดูถูกจักรวรรดิให้มากนัก ประเทศของข้าไม่สนใจสิ่งที่ประเทศของเจ้าคิด, และเราก็จะไม่อ้างเหตุผลข้างๆคูๆอย่างไร้จุดหมายด้วย พวกเราไม่กลัวสงครามและพวกเราก็จะไม่ทนกับการถูกทำเหมือนเป็นของเล่น! พวกเราคือประเทศมหาอำนาจและข้าก็คือจักรพรรดิที่แข็งแกร่ง! จงกลับไปบอกประเทศของเจ้าซะว่าการเจรจาในครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว”
พอถูกจักรพรรดิตะคอกใส่, ทูตก็ออกจากห้องบัลลังก์ไปด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
จากนั้นจักรพรรดิก็ให้หัวหน้าอัศวินที่มารวมตัวกันกลับไปและเรียกอาร์โนลด์ที่คอยสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องบัลลังก์ออกมา
“อาร์โนลด์”
“ครับ, ท่านพ่อ.....”
จักรพรรดิยื่นมือไปที่ศรีษะของอาร์โนลด์
จากนั้น, เขาก็ลูบมันอย่างนุ่มนวล
“นี่คืองานของพ่อเจ้า การตัดสินใจ, คือหน้าที่ของจักรพรรดิ ไม่ว่ามันจะดีหรือแย่, การตัดสินใจก็ยังคงเป็นหน้าที่ของจักรพรรดิ และการรับรู้ถึงการตัดสินใจพวกนี้ก็คือหน้าที่ของประชาชน”
“มันดูค่อนข้างลำบากจังเลยนะครับ”
“ยกโทษให้ข้าด้วยนะ......ข้าคิดว่าข้าต้องแสดงสิ่งนี้ให้อาร์โนลด์เห็น นี่คือลักษณะของจักรพรรดิที่ชอบธรรม ฟังให้ดีหล่ะอาร์โนลด์ ในอนาคต, เมื่อเจ้ามุ่งหมายจะนั่งบัลลังก์หรือเมื่อเจ้าอยากให้ใครซักคนขึ้นมานั่ง, จงจดจำตัวตนของข้าในวันนี้เอาไว้ให้ดี ถ้าเจ้าอยากกลายเป็นจักรพรรดิก็จงมุ่งเป้าที่จะเป็นเหมือนข้า แต่ถ้าเจ้าอยากให้คนอื่นกลายเป็นจักรพรรดิก็จงสนับสนุนเขาให้กลายเป็นคนคล้ายกับข้า ตัวตนนี้ของข้าคือรางวัลของเจ้า เอาหล่ะตอนนี้เป็นเด็กดีแล้วกลับเข้าไปที่คุกได้แล้ว เข้าใจไหม?”
“ครับ!”
พอเห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนหน้าของจักรพรรดิ, อัลก็เผยลรอยยิ้มคล้ายๆกันออกมา
เมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน, ฟรานซ์ก็คิดในทันทีว่าพวกเขาคล้ายกันมาก, และเขาก็รู้สึกเสียใจกับปริมาณงานที่รอเขาอยู่
....
กลับมาที่ช่วงเวลาปัจจุบัน
“ท่านแม่ ทำไมอัญมณีแค่ครึ่งเดียวถึงถูกนำมาตั้งโชว์ที่นี่หรอคะ.....?”
“มันคืออัญมณีนำโชคจ้ะ”
“นำโชคหรอคะ? แค่ครึ่งเดียวเนี่ยนะคะ?”
“ใช่แล้วจ้ะ, ต้องขอบคุณอัญมณีชิ้นนี้, อัลถึงได้สมบัติมาชิ้นนึง”
มิทสึบะอุ้มคริสต้ามานั่งตักของเธอและนึกย้อนถึงวันนั้น
หลังจากที่จักรพรรดิตัดสินใจที่จะเล่นไม้แข็ง, เอลน่าก็ไล่ตามมิทสึบะมา
เธอมาขอโทษด้วยกันกับผู้กล้าหาญ
ในทางกลับกัน, มิทสึบะก็บอกเธอไปว่า ‘ถ้าเด็กคนนั้นเอาตัวไปเจอกับปัญหาอีก, ก็คอยช่วยเหลือเขาด้วยนะ’
และเพื่อตอบสนองต่อคำพูดนี้, เอลน่าจึงยืมดาบของพ่อมาและทำการสาบานต่อหน้ามิทสึบะ
‘ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าชายอาร์โนลด์อีกต่อไป’
ในวันนั้นเอง, อัลก็ได้รับดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโดยไม่รู้ตัว
มิทสึบะไม่ได้บอกเขาว่าเด็กสาวในวันนั้นก็คือเอลน่า ซึ่งมันเป็นเพราะเธอคิดว่าเอลน่าจะบอกเขาด้วยตัวเองในซักวันนึง
“สมบัติแบบไหนหรอคะ?”
“ดาบจ้ะ ดาบที่ดีมากๆเลย มันอาจจะมีค่าเกินไปสำหรับอัลด้วยซ้ำ”
“หรอคะ แต่ข้าว่าดาบดูไม่ค่อยเหมาะกับท่านพี่อัลเลย”
พอพูดจบ, คริสต้ากับมิทสึบะก็พากันหัวเราะออกมา
แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น, มิทสึบะก็ยังคงนึกถึงอัล
อัลเคยเห็นลักษณะในอุดมคติของจักรพรรดิแล้ว นี่คือสาเหตุที่เขาอยากทำให้ลีโอเป็นแบบนั้น
สำหรับอัล, จักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่จะกลายเป็นแต่เป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น ดังนั้น, อัลจึงไม่อยากกลายเป็นจักรพรรดิด้วยตัวเอง
มันไม่ได้เกินจริงเลยถ้าจะบอกว่าการได้เห็นลีโอกลายเป็นจักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมคือความฝันของอัล นี่คือสาเหตุที่มิทสึบะค่อนข้างเป็นห่วงเขา
เพราะเธอรู้สึกว่าอนาคตที่อัลวาดเอาไว้ในหัวนั้นไม่ได้มีตัวเขารวมอยู่ด้วย
“รายงานครับ, พวกเราพึ่งได้รับรายงานจากผู้ส่งสารของเราว่าเจ้าชายลีโอนาร์ดกับเจ้าชายอาร์โนลด์กำลังจะถึงในเร็วๆนี้”
“จริงหรอ!?”
“อุ๊ยตาย, ถ้างั้นพวกเราออกไปต้อนรับสองคนนั้นกันเถอะ”
มิทสึบะเก็บความเป็นห่วงเล็กๆนี้เอาไว้ในใจเธอ
มันยังไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้
“แค่ก, แค่ก.......หนาวๆยังไงไม่รู้เนอะ พวกเราสวมเสื้อคลุมออกไปดีกว่า.......”
“ไม่สบายอีกแล้วหรอคะ?”
“จ้ะ, แต่เดี๋ยวก็หายแหล่ะ”
พอพูดจบ, มิทสึบะก็จับมือคริสต้าแล้วมุ่งหน้าออกไปพบเจ้าชายทั้งสองที่กำลังกลับมา